บทที่ 594 องครักษ์แห่งความตายปรากฏตัว
เพียงพริบตาผู้อาวุโสขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายคนหนึ่งก็ตายด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิง
“หลานชาย!” ผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นจ้องเขม็ง ทั้งโมโหทั้งเกรี้ยวกราด ผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่ตนเองนำมาทั้งสามคนตายไปจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว
“ประทับตราฟ้าทมิฬ!” ปราณที่แท้จริงของผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นระเบิดออกอย่างรุนแรง แสงสีดำเขียวที่หนาแน่นและสว่างแสบตากระจายในอากาศเป็นรัศมีเกือบสิบลี้ ก่อนรวมตัวกันเป็นลำแสงคมมีดกึ่งโปร่งแสงที่สั่นระริก ประหนึ่งเป็น ‘ไอมีดลงฑัณฑ์จากเทพเซียน’ กับพลังอำนาจของจักรวาล แล้วสาดซัดพลังสายอัสนีบาตไร้ขอบเขตตรงดิ่งมาตัดฉับที่จ้าวเฟิง
สายฟ้าน่าสะพรึงกลัวที่ฟาดลงมาทำให้ฟ้าและดินสั่นสะเทือนน้อยๆ
คนอื่นที่อยู่ในที่ดังกล่าว เจ้าหอโครงกระดูก และผู้สูงศักดิ์อีกคนหนึ่งล้วนแต่ใจเต้นถี่รัวเร็ว
สวบ!
‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ คือจ้าวเฟิงในรูปลักษณ์ของเหลว แสงวารีสว่างขึ้นวาบหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถจะหลบหลีกพลังก้อนนี้ได้ทั้งหมด
โครม ตูม!
ร่างกายของ ‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ ที่เป็นระลอกคลื่นน้ำสีฟ้าเข้มค่อยๆ อับแสงลง หวิดโดน ‘ตราประทับฟ้าทมิฬ’ ฟันออกเป็นสองส่วน
ผัวะ วิ้ง!
‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ ที่สูงราวสามจั้ง ระลอกแสงวารีสั่นกระเพื่อม ส่วนของ ‘บาดแผล’ ที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยถูกรักษาอย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์ในการใช้ ‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ ร่างกายและเลือดเนื้อของจ้าวเฟิงได้หลอมรวมแนบสนิทกับพลังสายวารีอย่างลึกล้ำ ทำให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นกึ่งของเหลวในระยะเวลาชั่วคราว
ภายใต้สภาวะเช่นนี้ การป้องกันของร่างกายกึ่งๆ ว่าจะเป็นอมตะ พลังฟื้นฟูรักษาตัวเองเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนสภาพของร่างกาย
จ้าวเฟิงไม่ยี่หระ รับพลังโจมตีของผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นตรงๆ พลังวารีสว่างวาบแล้วตรงดิ่งไปยังขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายอีกคนหนึ่ง
โครม ตูม!
มนุษย์จิตวิญญาณวารีโบกสะบัดมือ พลังมวลน้ำรุนแรงมหาศาลสาดซัดร่างของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนนั้นกระเด็นจนกระอักเลือด
ซึ่งครานี้ไม่เหมือนกับยามที่อยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิง
‘มนุษย์จิตวิญญาณวารียักษ์’ ที่จ้าวเฟิงกระตุ้นออกมาเป็นแบบฉบับสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะมีการป้องกันเกือบเป็นอมตะในสภาพของเหลว หนำซ้ำยังทำให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ในทุกการกระทำ ทุกอริยาบถ ล้วนแต่มีพลังที่พลิกฟ้าพลิกดินได้
ทั้งนี้ พลัง ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ ของจ้าวเฟิงล้ำหน้ากว่าผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นซึ่งอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายในครั้งก่อนไปแล้ว
เพราะว่าในระยะครึ่งปีที่ผ่านมา ผลประโยชน์ที่ได้รับจาก ‘เลือดหัวใจวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า’ และ ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ ทำให้สภาวะวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำทั่วไป พลังสายเลือดแกร่งกล้าขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ด้วยพลังสายเลือดและองค์ประกอบชีวิตที่แข็งแกร่ง ‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ ที่เกิดขึ้นจึงไม่เหมือนดังในวันเก่า
“ยั้งมือ…” ผู้เฒ่าสามแห่งหอเฉียนอวิ๋นร้องคำราม แล้วจ้องมองคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่เหลืออยู่โดนโจมตีจาก ‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ และ ‘โครงกระดูกเพลิง’
จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกอยู่ในสภาวะที่เคล็ดวิชาแข็งแกร่งอย่างที่สุด พลังจึงเกินกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
ผัวะ ตูม!
ร่างกายของจ้าวเฟิงปลดปล่อยแสงวารีสีฟ้าเข้ม แล้วรับการโจมตีของผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นซึ่งๆ หน้า
พลังจิตวิญญาณวารีที่เคลื่อนไหวยวบยาบประหนึ่งแม่น้ำมหาสมุทร กดดันคนขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้นั้นจนตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน
“อ๊าก…”
ผู้อาวุโสในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายคนสุดท้ายตายอย่างอนาถจากการโจมตีของเจ้าหอโครงกระดูกและจ้าวเฟิง ศพดังกล่าวเน่าเฟะเละเป็นกองเลือดอยู่ภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป
เมื่อค่ายกลร้อยศพต้องสาปดูดซึมเอาเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสี่คนแล้ว พลังอาฆาตหุ่นเชิดศพโขมงขึ้นทั่วฟ้าจนเทพหรือมารยังต้องหลีกหนี
แซ่ด!
สีหน้าของผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว เขาสูดหายใจลึก แล้วลอยตัวอยู่เหนือกลุ่มหมอกเพลิงปีศาจ โดดเดี่ยวลำพังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ ของข้าน่าจะทนต่อไปได้อีกมากที่สุดสิบช่วงลมหายใจ” ร่างกายของจ้าวเฟิงสั่นน้อยๆ ลำแสงวารีทะยานไปที่ร่างของผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋น
แน่นอนว่าต่อให้อยู่ในสภาวะ ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ เขาก็ทำได้เพียงแค่รับมือกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง แต่ไม่สามารถลงมือทำร้ายได้อย่างจริงจัง
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงกลับโบกธงสีดำ นำกลิ่นอายมรณะและพลังอาฆาตที่น่ากลัวทั้งหมดของค่ายกล พุ่งดิ่งไปที่ผู้เฒ่าสามแห่งหอเฉียนอวิ๋นอย่างมืดฟ้ามัวดิน
“เจ้าหัวขโมยสามานย์…”
ผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นโบกมือ พลังจากฟ้าและดินที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตโจมตีกลุ่มหมอกควันปีศาจแหลกละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ทว่าสีหน้าของเขาซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด อาการผิดปกติของร่างกายยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที
ตั้งแต่เริ่มลงมือสู้กันจนถึงตอนนี้ ร่างของเขาโดนพลังคำสาปอาฆาตกัดกร่อนไปไม่น้อย จิตวิญญาณชีวิตและแก่นดวงวิญญาณไหลทะลักออกไม่หยุด ความเร็วนั้นยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ และ ‘โครงกระดูกเพลิง’ ของจ้าวเฟิงและพวก อาศัยโอกาสครั้งนี้ร่วมมือกันตอบโต้คนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
โครม ตูม! โครม ตูม พรึ่บ!
ภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพที่สาดกระจายรัศมีหลายลี้ ยอดฝีมือสามคนต่อสู้พัวพันจนเกิดเสียงดังออกมาติดๆ กัน
หลายช่วงลมหายใจจากนั้น
ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกกระเด็นถอยร่น ควันเพลิงสีดำบนร่างหายไปหลายส่วน
ส่วน ‘มนุษย์จิตวิญญาณวารี’ ที่จ้าวเฟิงสร้างขึ้น ระลอกคลื่นลำแสงก็อ่อนลงไปส่วนหนึ่งเช่นกัน
แต่ว่าผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำที่อยู่อีกฟากหนึ่ง ใบหน้าซีดขาวราวแผ่นกระดาษ ร่างกายก็สั่นสะท้านเล็กน้อย
ในชั้นที่มองไม่เห็น มือซีดขาวโทรมเลือดจำนวนนับร้อยพันปรากฏขึ้น แล้วพันรัดทั้งตัวเขา คอยดูดกลืนจิตวิญญาณชีวิตและแก่นดวงวิญญาณของเขาอยู่ทุกเวลา
เมื่อสู้รบมาถึงตอนนี้ ผู้เฒ่าชุดคลุมสีดำตกอยู่ในสภาวะอ่อนแรงจนถึงขีดสุด ถึงกระทั่ง
ในการรบเมื่อครู่ได้รับบาดเจ็บอยู่หลายส่วน
เมื่อจ้องมองให้ดีๆ แล้ว ผิวหนังของผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำเหี่ยวย่น เวลาสั้นๆ แทบยังไม่ถึงสิบช่วงลมหายใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาราวกับแก่ลงไปสิบปี
“ฮ่าฮ่า…ตาแก่! หุ่นเชิดศพต้องสาปร้อยร่างทำให้อายุขัยชีวิตของเจ้าหายไปหลายปีแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกแสยะยิ้มด้วยสีหน้าสะใจ
สีหน้าของผู้เฒ่าชุดคลุมสีดำซีดขาวราวฝุ่นธุลี ผิวพรรณบนร่างกายเหี่ยวลง มีแผลเน่าเฟะพุพอง คำสาปอาฆาตทะลักเข้าไปภายในร่าง
“เจ้าหัวขโมย! หอเฉียนอวิ๋นจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไป…”
สีหน้าของผู้เฒ่าสามแข็งกระด้าง หวาดหวั่นจับขั้วหัวใจ ความกลัวเล็ดลอดออกมาจากส่วนลึกที่สุดของนัยน์ตา
เมื่อเอ่ยจบ เขาพยายามกระตุ้นปราณที่จริง แล้วยกมือขึ้นโบกพลังฝ่ามือที่ไร้ขอบเขตเพื่อผลักจ้าวเฟิงออกไป
พรึ่บ!
ในวินาทีต่อมา ร่างของผู้เฒ่าในชุดดำก็หายวับไป
จ้าวเฟิงและพวกแหงนหน้ามอง ยอดผู้สูงศักดิ์ชุดคลุมสีดำบินออกไปเป็นระยะหลายลี้ โซเซอยู่กลางอากาศแล้วกระอักเลือดออกมา
“นายท่าน ตาแก่คนนั้นมีพลังของ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพ’ อยู่ในส่วนลึกของร่างกาย ปราณชีวิตสลายออกไปมาก อ่อนแออย่างที่สุด เกือบจะฆ่ามันได้แล้วเชียว” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างไม่พอใจอยู่บางส่วน
ถ้าหากกลืนกินแก่นแท้จิตวิญญาณของคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้ น่าจะเป็นประโยชน์กับหุ่นเชิดศพร้อยร่างเป็นอย่างมาก
“อย่างไรเสียก็เป็นยอดผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง” จ้าวเฟิงสั่นศีรษะน้อยๆ ค่อยๆ เก็บระลอกพลังทั่วร่างกายทีละน้อย เลือดเนื้อร่างกายจึงกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
เมื่อกลับเข้าสู่สภาพร่างกายปกติแล้ว สีหน้าจ้าวเฟิงซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด
ราคาที่ต้องจ่ายจากการใช้เคล็ดวิชา’จิตวิญญาณเทพวารี’ มากยิ่งนัก จ้าวเฟิงสามารถทนได้แค่ในระยะเวลาสั้นๆ
พรึ่บ! จ้าวเฟิงโบกธงเก็บค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป
แล้วพยักหน้าอย่างพออกพอใจ ในครั้งนี้ได้โจมตีคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงจนบาดเจ็บสาหัส เมื่อเทียบกับการเผชิญกับ ‘ราชาหูสั่ว’ ในครั้งก่อนแล้วราบรื่นสบายกว่ากันมาก ที่สำคัญคือจ้าวเฟิงไม่ได้ใช้สายเลือดดวงตาเลย
จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกร่วมมือกัน ใช้พลังค่ายกลร้อยศพต้องสาป เอาชนะยอดผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงธรรมดาได้
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน คนทั้งสองไม่กล้าจะจินตนาการ
“รีบหนี” จ้าวเฟิงกลับไปที่เรือหลานเหลยแล้วถ่ายทอดคำสั่งในทันที
การรบเมื่อครู่เสียงดังกึกก้อง มีคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดห้าหกคนเข้าร่วมรบ แล้วยังมีคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงลงมือด้วย จึงดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือนอกดินแดนจำนวนไม่น้อยในละแวก
“ช่างเป็นการรบที่รุนแรงยิ่ง มีผู้สูงศักดิ์ตายไปหลายคนเลย!”
“คนในเรือทะเลความว่างเปล่านั่นเป็นเทพเซียนมาจากไหนกัน แทบจะสังหารผู้อาวุโสห้าคนของหอเฉียนอวิ๋นเกือบหมด หอเฉียนอวิ๋นเป็นสำนักแข็งแกร่งอันดับต้นๆ ในละแวกนี้เชียวนะ”
เนื่องจากอยู่ใกล้ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า จึงมีเหล่ายอดฝีมือนอกดินแดนหลายส่วนได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด
สวบ…
เรือหลานเหลยแล่นแหวกทะเลความว่างเปล่าด้วยความเร็วสูงสุด เป็นความเร็วที่ทิ้งห่างผู้สูงศักดิ์ธรรมดาไปแบบไม่เห็นฝุ่น
ในช่วงพริบตา ผู้เฒ่าสามแห่งหอเฉียนอวิ๋นที่แพ้อย่างราบคาบก็หายไปจากครรลองสายตา
ถึงแม้ว่าผู้ที่ก่อเรื่องจะจากไป แต่ว่าภายในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน เรื่องนี้ก็กระฉ่อนไปหลายดินแดน และทำให้สำนักหนึ่งดาวหลายแห่งตื่นตระหนกกันไปหมด
หอเฉียนอวิ๋นจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของสำนักหนึ่งดาวระดับสุดยอดในดินแดนแถวนี้ พลังอำนาจก็เป็นรองเพียงแค่สำนักสองดาวไม่กี่แห่ง
หลังจากเกิดเรื่องไม่นาน หอเฉียนอวิ๋นสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทุ่มเทกำลังทุกอย่างในการประกาศจับคนบนเรือลำนั้น
วันหนึ่งในเวลาครึ่งเดือนต่อมา
แซ่ด~
ภายในทะเลหมอกความว่างเปล่า เงาความตายมืดมิดขนาดใหญ่ที่เย็นเยือก เป็นประดุจดวงวิญญาณไร้น้ำหนักลอยล่องอยู่เหนือทะเลหมอกแห่งความว่างเปล่า
เงาสีดำมืดมิดนี้เดินทางผ่านที่ใด ที่นั้นล้วนเงียบสงัด
ในรัศมีพันลี้ สัตว์ทะเลนับไม่ถ้วนตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจนแทบหยุดหายใจอย่างน่าพิศวง ประหนึ่งโดนยมทูตอุดจมูกเอาไว้
“คนผู้นั้น…”
ยอดฝีมือบางส่วนในละแวกนั้นรวมไปถึงผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย ใจต่างเต้นระรัว
ด้วยสิ่งที่ร่างเงาสีดำนั้นนำมาด้วยคือพลังกดดันมรณะจากดวงวิญญาณ ซึ่งส่งผลกับทุกสรรพชีวิต
“กลิ่นอายพลังมรณะขององค์จักรพรรดิเคยหยุดอยู่ที่นี่” ร่างเงาดำขนาดใหญ่ล่องลอยมาหยุดที่ละแวกใกล้เคียงกับตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า
พรึ่บ!
เงาสีดำหายไปจากที่แห่งนั้น เพียงก้าวเดียวก็เข้าไปภายในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า
“เป็นกลิ่นอายที่น่ากลัวยิ่งนัก!” เหล่าผู้สูงศักดิ์ที่เฝ้าทางเข้าตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าร่างกายเย็นเฉียบ ที่แผ่นหลังมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว
เงาทมิฬปริศนานั่นออกจากตำหนักวิญญาณแล้วพุ่งตรงดิ่งมาที่ดินแดนเกาะแห่งหนึ่ง
ความเร็วของเขารวดเร็วยิ่งนัก เมื่อเทียบกับคนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงทั่วไปแล้วเร็วกว่ากันเกือบสิบเท่า!
ดินแดนซงเหิง ใจกลางสำคัญของทางเข้าสำนักเฉียนอวิ๋น
ภายในจวนหรูหราหลังหนึ่ง
พู่~ ผู้เฒ่าสามแห่งหอเฉียนอวิ๋นถอนหายใจน้อยๆ อย่างโล่งอก เมื่อร่างกายเค้นเลือดสีดำออกมาจากแผลเน่าเปื่อย
“โชคดีที่บันทึกโบราณของสำนักมีวิธีการรับมือกับหุ่นเชิดศพต้องสาป” ผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นที่มีสีหน้าอิดโรยรู้สึกโชคดีอยู่หลายส่วน
ถ้าหากว่ายืดเวลาต่อไปเรื่อยๆ พลังคำสาปอาฆาตจะแทรกซึมเข้าสู่กระดูกและดวงวิญญาณ ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดของหอเฉียนอวิ๋นก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อีก
“เจ้าก็คือผู้เฒ่าสามแห่งหอเฉียนอวิ๋น?” น้ำเสียงนั้นเย็บแหบแห้งราวกับดังมาจากหุบเหวมรณะ
“เจ้า…เจ้าคือ…” ผู้เฒ่าสามขนลุกชูชัน ตกใจจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
เงาร่างสูงใหญ่มืดมิดประหนึ่งตัวแทนของเทพแห่งความตายปรากฏขึ้นข้างตัวเขา
เงาใหญ่โตนั่นค่อยๆ ยื่นมือที่ล้อมรอบด้วยกลุ่มควันสีดำออกมา แล้วจับรอบคอผู้เฒ่าสามอย่างสบายๆ
“ช่วย…ช่วยด้วย…” ผู้เฒ่าสามหวาดกลัวอย่างที่สุด
มือที่ล้อมรอบด้วยควันสีดำเป็นเสมือนเคียวมรณะ จับดวงวิญญาณของเขาไว้มั่น แล้วกดปราณที่แท้จริงแห่งชีวิตทั่วร่างเขาไว้
“ไว้ชีวิตด้วย…เจ้าต้องการอะไร ข้าให้ได้ทุกอย่าง!” ผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นเหมือนนกน้อยที่ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ยังไม่มี
“ชีวิตและวิญญาณของเจ้าไม่ใช่ของตัวเจ้าอีกต่อไป” เงาสูงใหญ่มืดมิดนั้น บนใบหน้ามีแววยิ้มเยาะ เสียงแหบต่ำที่ออกมาทำให้ผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นหมดสิ้นความหวัง
ขวับ!
มืออีกข้างของเงามืดมิดสูงใหญ่กดอยู่ข้างขมับของผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋น
แล้วสติสัมปชัญญะของเขาก็มืดดับไป
“วิชาอ่านใจ!”
เส้นสายเล็กๆ สีดำโปร่งแสงทะลวงเข้าไปภายในดวงวิญญาณของผู้เฒ่า
สามเฉียนอวิ๋นหนำซ้ำฝ่ายหลังยังเป็นเหมือนท่อนไม้แข็งทื่อ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่
โครม!
ผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นหกคะเมนลงกับพื้น ภายในห้องที่ว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาใด แต่ว่าในระดับชั้นจิตวิญญาณมีเสียงหนึ่งลอดมา คล้ายเป็นเสียงพึมพำของวิญญาณมรณะ
“คำสั่งล่าสังหารเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น…”
“หนีไปเถิด ดูซิว่าเจ้าจะหนีไปได้ไกลขนาดไหน หวังก็แค่…เจ้าอย่าอ่อนแอเกินไปนักก็แล้วกัน”