Skip to content

King of Gods 595

King Of Gods

บทที่ 595 ศึกของสำนักสองดาว

สองเดือนหลังจากนั้น ทะเลความว่างเปล่าที่เวิ้งว้าง

สวบ!

เรือหลานเหลยบินแหวกไปในทะเลหมอกความว่างเปล่าด้วยความเร็วน่าตื่นตะลึงที่ใกล้เคียงความเร็วของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

สองเดือนที่ผ่านมา ตลอดทางที่เรือแล่นผ่านล้วนแต่ราบรื่นปลอดภัย เรือที่หลอมรวมกับเลือดหัวใจวาฬสาดซัดกลิ่นอายสัตว์ทะเลบรรพกาลออกมา ทำให้สัตว์ที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลความว่างเปล่าหวาดกลัวจนต้องล่าถอยไป

โจรสลัดของทะเลความว่างเปล่าบางส่วนก็ทำอะไรพวกจ้าวเฟิงไม่ได้

เพราะเรือโจรสลัดทะเลทั่วไปตามเรือหลานเหลยไม่ทัน กลุ่มโจรสลัดธรรมดาก็ไม่กล้าลงมือกับเรือแห่งทะเลความว่างเปล่าที่อยู่ในระดับนี้

ภายในเรือ

“หัวหน้าเรือ โบยบินมาสองเดือน พวกเรามาถึงชายแดนของ ‘ดินแดนเกาะเชียนหลิว’ กำลังจะเข้าสู่ดินแดนเกาะแห่งหนึ่งแล้ว” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ยรายงาน

ในช่วงเวลาสองเดือน บรรดาลูกเรือก้าวหน้าไปมาก

เมื่ออาบเลือดหัวใจวาฬ องค์ประกอบชีวิตของบรรดาลูกเรือจึงยิ่งสมบูรณ์ขึ้น พลังฝึกตนจะอยู่เหนือขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงขึ้นไป ลูกเรือบางส่วนสภาวะวิญญาณก็เข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไปแล้ว

“จุดหมายต่อไป…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่!” น้ำเสียงหนักแน่นของจ้าวเฟิงก้องกังวานไปทั่วเรือหลานเหลย

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่!

เหล่าลูกเรือในเรือหัวใจกระตุก เลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงในฉับพลัน

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ นั่นมันเป็นหนึ่งในสามดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งชางไห่เชียว

ต้องรู้ว่า ทุกๆ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปกครองดินแดนทะเลความว่างเปล่าฟากหนึ่ง ดินแดนเกาะที่อยู่ภายในนั้นมีจำนวนนับร้อย

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจุดหมายของหัวหน้าเรือจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่”

“ด้วยความสามารถของท่านหัวหน้า ไม่แน่นะว่าอาจจะยืนหยัดอยู่ที่ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้ พวกเราทั้งหลายก็จะเจริญรุ่งเรืองไปด้วย” เหล่าลูกเรือถกกันอย่างลับๆ

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่” โหลวหลานจื๋อสุ่ยสูดหายใจเข้าลึก ในแวววตามีความหวังเปล่งประกาย

ถัดจากนั้น จ้าวเฟิงและโหลวหลานจื๋อสุ่ยจึงเริ่มศึกษาเส้นทางในแผนที่

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่อยู่ในบริเวณที่เป็นใจกลางของมหาสมุทรแถบนี้ พวกเรายังต้องผ่านดินแดนเกาะหลายสิบแห่งจึงจะไปถึง” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ย

ดินแดนเกาะอีกหลายสิบ นั่นเป็นระยะทางที่ยาวไกลเพียงใดกัน

หากไม่มีเรือล่องทะเลอย่างเช่นเรือโหลวหลานลำนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะคาดคิด

สำหรับผู้สูงศักดิ์ธรรมดา การข้ามระหว่างดินแดนเกาะก็นับได้ว่าห่างไกลเหลือเกินแล้ว

“ดินแดนหมู่เกาะกู่ชิง…ดินแดนหมู่เกาะเทียนหลู…ดินแดนหมู่เกาะเชียนหลิว กับดินแดนหมู่เกาะแห่งใหม่ที่จะไป” จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

เขาออกห่างจากดินแดนบ้านเกิดของตนเองไกลขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

จำได้เลือนลางว่าในยามที่จากมา ลัทธิมารจันทราชาดกำลังกลับมารุ่งเรืองบนดินแดนบุปผาคราม และกำลังพยายามจะสู้กลับในทุกด้าน

แล้วในเวลานี้เอง

“ฮี่ฮี่ฮี่…” ภายในประคำหมื่นวิญญาณมีกลิ่นอายมรณะล่องลอยออกมา มากพอจะสร้างความตกอกตกใจให้กับผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาได้

“เจ้าหอโครงกระดูก เจ้าทำสำเร็จแล้ว” จ้าวเฟิงระบายยิ้ม ประสาทสัมผัสดำดิ่งไปสำรวจภายในประคำหมื่นวิญญาณ

เวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เจ้าหอโครงกระดูกปิดด่านฝึกตนมาโดยตลอด ผลลัพธ์ของการดูดซึมเอา ‘เลือดหัวใจ’ และ ‘ผลึกกระดูกฉวนโม่’ จนหมดสิ้น ส่งผลให้เขาทะลวงไปยังขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะทะลวงผ่านขั้นได้ในขณะที่ถูกใช้เยี่ยงทาสเช่นนี้” เจ้าหอโครงกระดูกนึกสะท้อนในใจ

ถ้าหากเป็นที่ทวีปบุปผาครามหรือดินแดนธรรมดาทั่วไปที่อื่น เขาจะฝึกตนจากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดช่วงกลางผ่านไปยังช่วงปลาย ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลายาวนานมากขนาดไหน

“เหอะเหอะ ถูกใช้เยี่ยงทาสงั้นรึ? เจ้าหอโครงกระดูก ฟังดูแล้วตอนนี้เจ้าไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่เลยนะ” จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ

พรึ่บ!

เจ้าหอโครงกระดูกปรากฏตัวเบื้องหน้าจ้าวเฟิง กลิ่นอายน่ากลัวของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย เมื่อเทียบกับคนอื่นที่อยู่ในขั้นเดียวกันยังแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย

 

เพราะถึงอย่างไรเจ้าหอโครงกระดูกก็ดูดซึมเลือดหัวใจไปสองถัง แล้วยังหลอมรวมกับผลึกกระดูกฉวนโม่ พลังป้องกันร่างกายส่วนต่างๆ เทียบกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายแล้วแข็งแกร่งกว่ากันมากนัก

ในวันนี้ การโจมตีของผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงลงไป ก็ยากจะทำร้ายร่างกายของเจ้าหอโครงกระดูกได้

“ต่อให้เผชิญหน้ากับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ข้าเองก็พอจะฝืนรับมือได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากว่ามีค่ายกลร้อยศพต้องสาป อาจจะยังมีโอกาสชนะอยู่มากโข” ความมั่นใจของเจ้าหอโครงกระดูกเพิ่มขึ้นมาก

เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงในยามนี้ เขามั่นใจอย่างมาก ไม่ได้เกรงกลัวเหมือนในยามก่อนแล้ว

เจ้าหอโครงกระดูกจึงลอบสังเกตเจ้านายผู้นี้ของเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็ต้องตกใจอย่างยิ่ง

กลิ่นอายแข็งแกร่งที่สาดซัดออกมาจากแก่นชีวิตของจ้าวเฟิงทรงพลังมหาศาลประหนึ่งมาจากสัตว์อสูรโบราณ เขาถึงขั้นรู้สึกคล้ายเผชิญหน้ากับสัตว์ขนาดยักษ์อย่างวาฬทะเลความว่างเปล่าด้วยซ้ำ

“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร!” สีหน้าอารมณ์ของเจ้าหอโครงกระดูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา

จากการคาดคะเนของเขา ระดับสภาวะวิญญาณของจ้าวเฟิงเข้าใกล้ขั้นสุดยอดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

อาจเรียกได้ว่า จ้าวเฟิงยังฝึกตนไม่ถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง แต่ว่าสภาวะวิญญาณกลับเหนือกว่ายอดผู้สูงศักดิ์ส่วนมากในขั้นนี้ไปแล้ว

 

นอกเหนือจากนี้ พลังสายเลือดที่เต้นตุบๆ ในร่างกายของจ้าวเฟิง มีกลิ่นอายโบราณแข็งแกร่งกว่ายามอยู่ที่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่ามาก

“ต่อให้มีเลือดหัวใจวาฬจำนวนมากก็ไม่น่าจะได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วเช่นนี้” เจ้าหอโครงกระดูกไม่อาจรับความจริงในข้อนี้ได้

ภายใต้แก่นชีวิตที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ครึ่งก้าวของปราณที่แท้จริงภายในร่างจ้าวเฟิง ไม่ว่าจะจำนวนหรือคุณสมบัติล้วนแต่อยู่เหนือคนในขั้นเดียวกันทั้งสิ้น

“เจ้าหอโครงกระดูก เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร จงเอ่ยมาได้?” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มที่เหมือนไม่ใช่ยิ้ม

หากพูดถึงสภาวะวิญญาณ เขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าหอโครงกระดูกมาก แทบไม่รู้สึกอะไรกับกลิ่นอายกดดันบนร่างของอีกฝ่าย

“ความเห็น…ไม่มี! จะมีได้อย่างไร!” หัวสมองของเจ้าหอโครงกระดูกหมุนวนราวปัวลังกู่[1]

ก่อนหน้านี้พลังฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เดิมทีอยากจะปรึกษากับจ้าวเฟิงเพื่อเปลี่ยนสภานภาพข้ารับใช้ของตน ถ้าหากเป็นไปได้ก็จะกำหนดเวลาที่ต้องติดสอยห้อยตามจ้าวเฟิงด้วย

แต่เขากลับค้นพบว่าตนสร้างความกดดันอะไรให้จ้าวเฟิงไม่ได้เลย

พื้นฐานสายเลือดของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งกว่ามากเกินไป

“เจ้าหอโครงกระดูก เรื่องความแข็งแกร่งอีกขั้นของร้อยศพต้องสาปคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว” จ้าวเฟิงไม่ได้รู้สึกอะไรกับการต้องกดขี่และใช้ประโยชน์ทุกอย่างจากเจ้าหอโครงกระดูก

พรึ่บ!

ใบหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกห่อเหี่ยวเศร้าโศกขณะกลับเข้าสู่ประคำหมื่นวิญญาณ

ภายในห้องหัวหน้าเรือ

จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ในระยะเวลาชั่วคราวเขายังคงสามารถสร้างความกดดันให้เจ้าหอโครงกระดูกได้ นี่ล้วนเป็นเพราะได้ ‘ห้วงฝันบรรพกาล’

สองเดือนที่ผ่านมา จ้าวเฟิงทนอยู่ในห้วงฝันบรรพกาลได้ถึงสี่สิบช่วงลมหายใจ

“ขอแค่ทนได้ถึงหนึ่งร้อยช่วงลมหายใจ ข้าก็จะลองเดินไปมาภายในห้วงฝันบรรกาลหรือกระทั่งสำรวจตรวจตราได้…” จ้าวเฟิงมีเป้าหมายในใจ

เขาพบว่าผลจากการดูดซึมกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลลดลงไปทุกวัน ตามความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของพื้นฐานสายเลือด

ที่ผ่านมา เขาดูดซึมกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลไปเพียงเล็กน้อย ก็รู้สึกว่าพื้นฐานสายเลือดเพิ่มระดับขึ้น แต่ในขณะนี้ เขาต้องดูดซึมกลิ่นอายมากขึ้นถึงจะรู้สึกว่ามีการพัฒนาขึ้นบ้าง

ในตอนนี้จ้าวเฟิงทำได้เพียงแค่ใช้ ‘ปริมาณ’ มาเติมเต็มผลลัพธ์ในส่วนนี้

ผลของเลือดหัวใจวาฬเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

แต่ว่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี สภาวะวิญญาณจากนายเหนือแท้ระดับสุดยอดทะลวงผ่านขึ้นมาจนใกล้ขั้นสุดยอดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ถ้าหากว่าพูดออกไปล่ะก็จะต้องมีคนอกสั่นขวัญหายเป็นแน่

หลายวันจากนั้น เรือหลานเหลยก็เข้าสู่ดินแดนเกาะที่ใกล้เคียง

ยามที่เรือแล่นผ่านดินแดนหมู่เกาะแห่งหนึ่ง ไอสวรรค์ฟ้าดินในพื้นที่ทะเลในละแวกใกล้ๆ ประหนึ่งกระแสน้ำ เสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลื่อนลั่นชวนให้ตกใจ

“เรื่องอะไรกัน!” เหล่าคนในเรือหลานเหลยล้วนแต่สัมผัสได้ถึงความปกติ

เสียงของการต่อสู้ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนว่ามีการประมือครั้งใหญ่เกิดขึ้น

“เกรงว่านี่จะเป็นการต่อสู้ของสำนักมีระดับดาว จะต้องมีสำนักสองดาวยื่นมือเข้ามายุ่งด้วยแน่” กะลาสีเรือชราเอ่ยด้วยสีหน้าหวาดกลัว

การต่อสู้ครั้งใหญ่ของสำนักสองดาวงั้นรึ?

คนทั้งหมดไม่กล้าจินตนาการถึงสถานการณ์โหดร้ายภายในดินแดนหมู่เกาะนั้น

วูบ!

จ้าวเฟิงล่องลอยขึ้นมาบนเรือ ปลดผนึกดวงตาเทพเจ้าเพียงเล็กน้อย แล้วจึงมองที่ไกลออกไป

ดวงตาเทพเจ้าทำให้ประสาทสัมผัสการมองเห็นของจ้าวเฟิงกว้างไกลขึ้นหลายเท่าตัว

“น่ากลัวยิ่งนัก!”

สนามรบภายในดินแดนที่ไกลออกไป ทำให้ใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ

ภายในดินแดนอีกฝั่งนั้น ยอดฝีมือทั้งหลายของสำนักสองดาวต่อสู้กันจนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เขายังสัมผัสได้ถึงพลังที่ลึกลับยิ่งใหญ่ของ ‘ราชันในขอบเขตปราณเทวะ’ ทุกการเคลื่อนไหวสะเทือนฟ้าดิน ราวกับ ‘เทพเจ้า’ ที่คอยรับมือกับสนามรบในดินแดน

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงแทบไม่กล้าสอดแนม ด้วยเกรงว่าจะโดนราชันปราณเทวะสัมผัสได้

“รีบอ้อมหนีดินแดนหมู่เกาะแห่งนี้” จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี รีบถ่ายทอดคำสั่งอย่างรวดเร็ว

ต่อให้ต้องอ้อมไปไกลสักหน่อย จ้าวเฟิงก็ไม่ยอมเข้าไปมีส่วนในการสู้รบของสำนักสองดาว

อำนาจของสำนักสองดาวน่ากลัวยิ่งนัก สามารถจัดการควบคุมดินแดนลักษณะเดียวกับทวีปบุปผาครามเกินกว่าสิบแห่ง

สวบ!

เรือหลานเหลยพยายามอ้อมผ่านดินแดนหมู่เกาะที่เป็นสนามรบใกล้ๆ กันนี้

“ดินแดนหมู่เกาะนั่นไม่ต่างกับทวีปบุปผาครามเท่าไหร่ กลับกลายเป็นสนามรบของสำนักสองดาวไปเสียแล้ว” จ้าวเฟิงรู้สึกสะท้อนในอก

ที่ทวีปบุปผาคราม ในยามที่ลัทธิมารจันทราชาดปรากฏตัวขึ้น เดิมทีก็เป็นการคานอำนาจกันระหว่างสำนักสองดาวเช่นกัน

“ท่านหัวหน้า! ด้านหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา” โหลวหลานจื๋อสุ่ยพลันเอ่ยเสียงต่ำ

จ้าวเฟิงจ้องมองเขม็งไปยังทะเลหมอกไกลๆ มีเรือทะเลความว่างเปล่าสิบกว่าลำกำลังลอยมา เรือทะเลความว่างเปล่าลำใหญ่ที่สุดภายในนั้น ระดับอยู่สูงกว่าเรือหลานเหลยบางส่วน

คาดการณ์ได้เลยว่า กลุ่มกองทัพของเรือเหล่านั้นมียอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้ขึ้นไปนับร้อยคน เกรงว่าน่าจะเป็นกำลังเสริมของสำนักสองดาวสำนักหนึ่ง

“รีบอ้อมไป!”

“ไม่ทันแล้ว!”

เสียงของโหลวหลานจื๋อสุ่ยกังวลลนลาน

สวบ สวบ สวบ!

ในกลุ่มกองกำลังเรือเหล่านั้นมีเงาบินออกมาหลายร่าง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

สองคนในนั้นยังเป็นถึงยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย!” จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง

ต้องรู้ว่า ราชาหูสั่วกับยอดผู้สูงศักดิ์ชุดคลุมดำที่เคยพบมาในครั้งก่อน ล้วนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงต้น หรืออย่างมากที่สุดก็เข้าใกล้ช่วงกลาง

แต่ผู้มาเยือนสองคนเบื้องหน้า คนหนึ่งเป็นคนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง ส่วนอีกคนอยู่ในระดับสูงช่วงปลาย

สวบ!

จ้าวเฟิงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่ากลัวที่กระทบเข้ากับระดับชั้นดวงวิญญาณ ซึ่งล่องลอยออกมาจากภายในตัวเรือลำใหญ่ที่สุด

เขาคาดเดาว่ากลิ่นอายนั้นอย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตปราณเทวะ!

“นี่มันใครกัน!” กองทัพที่สำนักสองดาวส่งมาล้อมเรือหลานเหลยเอาไว้

“ท่านหัวหน้าเรือ ควรจะทำอย่างไรกันดี?” โหลวหลานจื๋อสุ่ยหน้าถอดสี สนามรบใหญ่ระดับนี้นางก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

จ้าวเฟิงรู้สึกลำบากใจ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาอยู่ท่ามกลางการรบราฆ่าฟันของสำนักสองดาว

“ยอมแพ้เถอะ” จ้าวเฟิงเปลี่ยนใจในฉับพลัน แล้วรีบร้อนเก็บกลิ่นอายทั่วร่าง ทำให้ตนเองดูเป็นเพียงแค่ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาคนหนึ่ง

ภายในเรือ คนทั้งหมดแทบหยุดหายใจ

“ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกเราเป็นเพียงแค่พ่อค้าที่ผ่านทางมาเท่านั้น มิได้ต้องการเข้ามามีส่วนในการรบระหว่างสำนักของพวกท่าน” โหลวหลานจื๋อสุ่ยที่ดูบอบบางอ่อนแอก้าวไปเบื้องหน้า

“ฮ่าฮ่าฮ่า…พ่อค้าที่ผ่านทางมางั้นรึ? ‘ดินแดนเกาะอู่เยว่’ ของเราโกลาหลวุ่นวายมาหลายปี ในหมู่เกาะละแวกนี้ล้วนแต่เป็นสนามรบ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีพ่อค้าคนใดกล้าผ่านมา”

‘ผู้อาวุโสหน้าดำ’ ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายมีสีหน้าเยาะๆ

“พวกเราล่องเรือผ่านมาจากดินแดนหมู่เกาะเชียนหลิวที่อยู่ข้างเคียง จึงไม่รู้สถานการณ์ของที่แห่งนี้” โหลวหลานจื๋อสุ่ยอธิบายละลั่กละล่ำ

“หยุดพล่าม จับมันมาก่อน!” ผู้อาวุโสหน้าดำผู้นั้นยิ้มเย็นยะเยือกพลางโบกมือ ยอดฝีมือทั้งหลายบินมาจัดการควบคุมเรือหลานเหลย

แต่ว่า ผู้อาวุโสหน้าดำคนดังกล่าวเห็นว่ามีเพียงจ้าวเฟิงคนเดียวเท่านั้นที่ฝึกตนสูงสุดอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด จึงออกจะรู้สึกแปลกใจ

ดังนั้น เขาจึงเพียงแค่สั่งให้คนเข้าควบคุมเรือแห่งทะเลความเปล่า แล้วจัดการเอาจ้าวเฟิงและพวกทั้งหมดขังไว้ในห้องโถงเล็กๆ บนเรือ

 

 

……………………………………………..

 

 

[1] ปัวลังกู่ หมายถึง กลองป๋องแป๋ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version