Skip to content

King of Gods 63

King Of Gods

บทที่ 63 : การกลับมาของผู้ชนะ

ภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นภายในมิติในดวงตาซ้ายของเขา เขาได้คัดลอกภาพนั้นลงในสมองและแม้ว่ามันจะไม่ใช่วิชาเซียนที่สมบูรณ์ มันก็ยังคงเหนือกว่าวิชาระดับสุดยอดไปอย่างมาก

กระบวนท่าลมเคลื่อน!

จ้าวเฟิงมองเห็นชื่อของมันใต้ภาพ กระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าเดียวกับที่จ้าวหลินหลงใช้ก่อนหน้า ทว่าชายหนุ่มนั้นกลับสามารถแตะได้เพียงชายขอบของมัน ไม่ช้าภาพที่สองก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา รายละเอียดมันของมันนั้นซับซ้อนกว่าภาพแรก

กระบวนท่าที่สอง ลมกรรโชก!

จ้าวเฟิงคัดลอกภาพลงในสมองสำเร็จ ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยอ่อนที่อาบย้อมร่าง ยิ่งสิ่งที่เขาคัดลอกซับซ้อนเท่าใด พลังสมาธิที่ต้องใช้ก็มากขึ้น

กระบวนท่าที่สาม เสี้ยววายุ!

จ้าวเฟิงกัดฟันกรอดขณะฝืนคัดลอกภาพนั้นเข้าสู่สมองของเขา ภาพนี้กระทั่งซับซ้อนกว่าก่อนหน้าและทำให้เขาเหนื่อยอ่อนกว่าเดิม

เหงื่อเย็นเยียบไหลออกจากหน้าผากของเด็กหนุ่ม ด้วยพลังงานที่หลงเหลืออยู่ มันชัดเจนว่าเขาไม่อาจคัดลอกภาพที่สี่ไปได้

เฮือก!

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะปิดดวงตาลง จากนั้นจึงเริ่มโคจรเคล็ดตัดลมหายใจเพื่อฟื้นฟู ด้านนอกห้องนั้น ผู้อาวุโสทั้งสามสามารถเปิดห้องนั้นเพียงแค่สามสิบลมหายใจ และเวลาก็ลดลงเรื่อยๆ ทุกวินาทีที่ผ่านไป

สิบลมหายใจ… สิบห้าลมหายใจ… ยี่สิบลมหายใจ…

เวลากำลังจะถึงขีดจำกัด

ยี่สิบห้าลมหายใจ… ยี่สิบหกลมหายใจ… ยี่สิบเจ็ดลมหายใจ…

ลมหายใจของจ้าวเฟิงถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ บัดนี้ความเหนื่อยล้าค่อยๆ จางหายไป

สองลมหายใจสุดท้าย

ตัดวายุเพลิง!

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันเปิดขึ้นพร้อมกับแสงสีเขียวซีดที่ส่องสว่าง เด็กหนุ่มฝืนคัดลอกภาพที่สี่ลงไปในสมองของเขา

วูบ

เสี้ยววินาทีถัดมา เขาก็รู้สึกราวกับจิตวิญญาณได้พุ่งผ่านกำแพงเพลิง ลมร้อนแผดเผาที่พัดกรรโชกราวกับจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง

“นี่นับเป็นพลังที่อยู่ในขีดจำกัดของผู้ฝึกตนหรือ?”

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าปากของเขาแห้งผาก ราวกับน้ำทั่วร่างได้ระเหยออก แต่ในความเป็นจริงนั้นเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มันเป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น

ฟุ่บ!

ภาพที่สี่ถูกนำเข้าไปภายในดวงตาซ้ายของเขา

เสร็จแล้ว!

จ้าวเฟิงล้มลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน และแทบจะเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสทั้งสามด้านนอกก็ดึงพลังภายในของพวกเขากลับ

วิ้ง!

ภาพบนกำแพงได้กลับไปเงียบงันและหยุดเคลื่อนไหวอีกครั้ง มันราวกับเป็นเพียงรูปภาพธรรมดาๆ

“เจ้าเข้าใจมากเพียงใดล่ะ?” ผู้อาวุโสด้านนอกทั้งสามเอ่ยถาม

เข้าใจ?

จ้าวเฟิงผงะ ตอนนี้เขายังไม่ได้ทำความเข้าใจใดๆ จากสิ่งที่ได้จากชั้นสามเลย

“ไม่เป็นไร ภาพเหล่านั้นค่อนข้างเลือนรางและอัจฉริยะเกือบทั้งหมดที่เข้าไปในนั้นก็แทบจะไม่ได้สิ่งใดเลย” ผู้อาวุโสจ้าวเอ่ยปลอบ

พวกเขาไม่รู้สึกแปลกอันใดที่จ้าวเฟิงจะไม่เข้าใจสิ่งใดเลย

“ใช่ และแม้เจ้าจะเข้าใจ เศษเสี้ยวเล็กๆ เหล่านั้นก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมไปกว่าวิชาระดับสุดยอดเท่าใด” ผู้อาวุโสอีกคนผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย

ชั้นสามนั้นไม่เคยถูกเปิดออกเพราะสองเหตุผล หนึ่งคือมันต้องใช้พลังของผู้อาวุโสสามคนในเวลาเดียวกัน และพวกเขาสามารถเปิดมันได้เพียงแค่สามสิบลมหายใจ อย่างที่สองนั้นคือภาพวิชาเซียนนั้นพร่าเลือนเกินไปและความเข้าใจที่พวกเขาได้รับนั้นน้อยนิด

สามสิบลมหายใจนับว่าน้อยเกินไปสำหรับทุกคนในการที่จะเข้าใจบางอย่างอย่างถ่องแท้

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ลำบาก” จ้าวเฟิงไม่ได้ดูผิดหวังแม้แต่น้อย

ใช่ มันเป็นความจริงที่เขาไม่ได้เข้าใจสิ่งใดในเวลาสามสิบลมหายใจ แต่เขาได้คัดลอกภาพทั้งสี่ลงในสมองเขาแล้ว

กลับไปยังบ้าน

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลงและเพ่งความสนใจไปยังการฟื้นฟูพลังสมาธิของเขา จากนั้นเมื่อพลังสมาธิของเขาเข้าสู่สถานะสมบูรณ์พร้อม เขาจึงเริ่มมองไปยังเศษเสี้ยวทั้งสี่ของวิชาเซียน

ทั้งสี่นั้นไม่ใช่วิชาเซียนที่สมบูรณ์ พวกมันมีส่วนที่ขาดหายและพร่าเลือน ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่าวิชาเหล่านี้ไม่ได้ยากเพียงนั้น

กระบวนท่าแรกและกระบวนท่าที่สองนั้นง่ายกว่าฝ่ามือลมลี้ลับของเขา ส่วนกระบวนท่าที่สามนั้นเทียบเท่าได้กับมัน

กระบวนท่าที่สี่นั้นเต็มไปด้วยความต้องการทำลายล้างทุกสิ่ง แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์ มันก็ยังเกินกว่าขีดจำกัดร่างของมนุษย์…

หลายชั่วยามหลังจากนั้น

จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวเหยียดและส่ายศีรษะ เขานั้นเพิ่งจะสามารถเข้าใจกระบวนท่าแรก กระบวนท่าลมเคลื่อน ได้ทั้งหมด ทว่าการเข้าใจกระบวนท่านี้ทั้งหมดไม่ได้มีผลต่อความแข็งแกร่งโดยรวมของเขามากนัก มันเทียบไม่ได้แม้แต่วิชาระดับสุดยอด

นั่นเป็นเพราะกระบวนท่าแรก กระบวนท่าลมเคลื่อนนั้นเป็นวิชาสนับสนุน มันไม่ใช่วิชาป้องกันหรือวิชาโจมตี

เพราะเช่นนั้น จ้าวเฟิงจึงไม่ได้พึ่งพามันมากนัก แม้ว่าเขาจะมีความรู้สึกว่าแม้วิชาทั้งสี่นี้จะไม่สร้างประโยชน์ให้เขาในตอนนี้มากนัก มันก็อาจจะมีในอนาคต

เช้าของวันที่สอง จ้าวเฟิงและบิดามารดาได้กลับไปยังหมู่บ้านใบไม้เขียว

อีกสองวันเขาจะจากเมืองประกายอรุณและไปยังนครหลวงกว่านจวินที่ห่างออกไปนับพันลี้

“ในเสี้ยวพริบตา ข้าก็ได้ไปอยู่ที่ตระกูลหลักเกือบปีแล้ว”

จ้าวเฟิงอดนึกถึงยามที่เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นหนึ่งและเพิ่งเข้าไปยังตระกูลหลักไม่ได้ เขาได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเข้าสู่ขั้นหก

“ด้วยพลังฝึกตนและอายุของเจ้า ไม่มีสิ่งใดในหมู่บ้านใบไม้เขียวที่จะหยุดเจ้าได้” ผู้เป็นบิดา จ้าวเทียนหยางเอ่ย

ทั้งบิดาและมารดานั้นภูมิใจในตัวบุตรชายของพวกเขายิ่งนัก หัวหน้าตระกูลสาขา จ้าวคาหยวน ชายชราที่มีพลังฝึกตนขั้นสี่ นอกจากเขาแล้วผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังเพียงขั้นสามเท่านั้น

เมื่อพวกเขาได้ข่าวการกลับมาของจ้าวเฟิง หัวหน้าตระกูลก็ได้ออกมาตอนรับด้วยตนเอง เมื่อคิดย้อนกลับไป จ้าวเฟิงก็เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในหมู่บ้านใบไม้เขียว บัดนี้เขากลับมาราวกับวีรบุรุษ

ไม่ช้า พวกเขาก็เดินเข้าไปภายในที่พักของพรรคสาขา สิ่งก่อสร้างนี้ไม่มีสิ่งใดที่ใกล้เคียงกับสิ่งก่อสร้างที่พรรคหลักเลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยร่องรอยแตกระแหงทุกที่ แสดงให้เห็นถึงอายุที่ยาวนาน

“เฟิงเอ๋อร์ ความสำเร็จของเจ้าวันนี้เหนือกว่าที่ข้าคาดมากนัก” จ้าวคาหยวนอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี จ้าวเฟิงกลับเข้าสู่ขั้นห้าและแข็งแกร่งที่สุดในพรรคสาขา มันเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ปกติแล้วเด็กหนุ่มสาวที่ถูกแนะนำจากพรรคสาขามักจะถูกส่งกลับ ความจริงแล้ว ผู้อาวุโสของพรรคสาขานั้นไม่ได้คาดหวังกับพวกเขามากนัก

จ้าวเฟิงนิ่งงันไปเล็กๆ เมื่อเขารู้ความจริง เหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านใบไม้เขียวไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของพรรคหลัก พวกเขากระทั่งเตรียมรับการถูกส่งกลับแล้วด้วยซ้ำ

ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันนั้น เสียงกรีดร้องตะโกนก็ดังขึ้นจากด้านนอกประตู

เกิดอันใดขึ้น?

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน บทสนทนาในห้องหยุดชะงักลง

“หัวหน้าพรรค คนของตระกูลหลิวมาหาเรื่องอีกแล้ว” เด็กหนุ่มส่วนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำพุ่งเข้าไปภายในห้องอย่างเร่งรีบ

“น่าขัน!”

หัวหน้าตระกูล จ้าวคาหยวน ลุกขึ้นยืน

“ตระกูลหลิว?” ประกายแสงแล่นผ่านในดวงตาของจ้าวเฟิง

เขาเกิดในหมู่บ้านใบไม้เขียว ดังนั้นแล้วเขาจึงคุ้นเคยกับตระกูลหลิวเป็นอย่างดี ในชั่วระยะสิบปีผ่านมา ตระกูลหลิวได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและแผ่ขยายอำนาจออก ก่อนจะกลายเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านใบไม้เขียว

แม้ว่าหมู่บ้านใบไม้เขียวจะเทียบกับเมืองประกายอรุณไม่ได้ มันก็ยังมีกองกำลังที่ต้องยำเกรงอยู่ จ้าวเฟิงเคยได้ยินข่าวลือว่ามีผู้ฝึกตนขั้นห้าสองสามคนอยู่ที่ตระกูลหลิว

“ในปีที่ผ่านมา ตระกูลหลิวได้เก็บส่วยจากหลายตระกูล บัดนี้พวกมันต้องการจะซื้อเหมืองของพวกเราด้วยเงินเพียง 3,000 เงิน” จ้าวคาหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว

“หึหึ ตระกูลหลิวนับว่ามีความกล้า!”

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็นขณะที่เดินออกไปด้านนอก

“เฟิงเอ๋อร์ อย่าได้รีบร้อน บัดนี้ตระกูลหลิวมีผู้ฝึกตนขั้นหกแล้ว…”

หัวหน้าพรรคพลันพยายามหยุดเด็กหนุ่มในทันที จ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่ง แต่เขามีเพียงคนเดียว เขาจะสู้กับตระกูลหลิวทั้งตระกูลได้อย่างไร?

ตระกูลหลิวเพียงตระกูลเดียวก็มีผู้ฝึกตนนับสิบแล้ว สองในนั้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นห้า และบัดนี้หนึ่งในนั้นได้เข้าสู่ขั้นหก!

หมัดมังกรคลั่ง!

ด้านนอกประตู จ้าวเฟิงชกหนึ่งในผู้ฝึกตนตระกูลหลิว

“ไอ้หมอนี้มันขั้นห้า ทุกคนโจมตีด้วยกัน!” ผู้เป็นหัวหน้าตวาด

เหล่าคนตระกูลหลิวพลันพุ่งเข้าหาจ้าวเฟิงทันที

“เร็วเข้า! สนับสนุนเฟิงเอ๋อร์!” จ้าวเทียนหยางและจ้าวคาหยวนต่างตะโกนลั่น

สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นวุ่นวาย

“ให้ข้าสู้คนเดียว” เสียงของจ้าวเฟิงตะโกนดังขึ้นจากในฝูงชน

ตูม ตูม ตูม

ขาของเขาส่งร่างของผู้ฝึกตนตระกูลหลิวหลายคนลอยออกไปในทันใด เด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับคนนับสิบเพียงคนเดียว ทุกคนที่เข้ามาในระยะโจมตีของเขาต่างแขนขาหักเป็นการตอบแทน

ไม่นานร่างของเด็กหนุ่มก็พร่าเลือนและล้มผู้เป็นหัวหน้าลง

“อ๊ากกก”

“นายน้อย! โปรดอภัยให้เราด้วย!”

ทั้งกลุ่มถูกเอาชนะด้วยคนเพียงคนเดียว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและกลุ่มควัน ร่างที่ยืนอยู่นั้นดูสูงส่งและหล่อเหลานัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ผู้คนจากตระกูลสาขาปลดปล่อยเสียงหัวเราะของพวกเขาออกมาในที่สุด จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ คนเหล่านี้อ่อนแอยิ่ง

“ตระกูลหลิวย่อมมาเพื่อแก้แค้นเป็นแน่ เราควรเพิ่มการป้องกันก่อนหรือไม่?” จ้าวคาหยวนดูกระวนกระวายใจ

อย่างไรก็ตาม ตระกูลหลิวนั้นเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านใบไม้เขียว และมันแข็งแกร่งกว่าตระกูลสาขาจ้าวนับสิบเท่า

ป้องกัน?

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา

“เหตุใดต้องป้องกัน? เหตุใดจึงไม่ไปหาเสียเลยเล่า?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version