บทที่ 690 ข้อเสนอของเด็กน้อยครึ่งเซียน
กลุ่มดินแดนเทียนฮวา ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า
ในตำหนักวิญญาณขนาดใหญ่เงียบเหงาเวิ้งว้าง ยอดฝีมือที่ผ่านไปมาจำนวนนับไม่ถ้วนร่างกายและจิตใจแข็งค้าง
เงามืดมิดมรณะเข้าครอบงำทุกสรรพชีวิต
เจ้าตำหนักตำหนักวิญญาณแห่งเทียนฮวาเป็นราชันขอบเขตปราณเทวะท่านหนึ่ง ใจเขาเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว
“จักรพรรดิแห่งความตาย!”
เจ้าตำหนักกลั้นลมหายใจ สั่งให้ผู้คุ้มกฎคนอื่นๆ ในตำหนักระมัดระวังก่อนที่จะทำอะไร
‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ เหมือนว่ากำลังหาใครสักคนอยู่
ในวินาทีเดียวกัน ห้วงคิดเซียนของราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสามก็กวาดหาไปทั่วทิศทาง
หนึ่งในราชาจิตวิญญาณมรณะถึงกระทั่งเรียกใช้ ‘วิชาค้นหาวิญญาณ’ เพื่อสอบถามตรวจสอบผู้คุ้มกฎที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ
“หนีไปเร็วเสียจริง” จักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยออกมาเสียงต่ำ
พลังมรณะของเขาทะลวงผ่านทั้งตำหนักวิญญาณ แต่ก็หาร่องรอยของจ้าวเฟิงไม่พบ
“เรียนจักรพรรดิ จ้าวเฟิงผู้นั้นเหมือนจะรู้ตัว หลังจากที่มาถึงตำหนักวิญญาณแล้วจึงเรียก ‘ปีกวายุอัสนี’ หนีเข้าไปภายในดินแดนนอกทะเลความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว” ราชาจิตวิญญาณมรณะผู้นั้นเอ่ยอย่างระแวดระวัง
เขารับรู้ร่องรอยการเดินทางของจ้าวเฟิงผ่าน ‘วิชาค้นหาวิญญาณ’
จักรพรรดิแห่งความตายปิดดวงตาทั้งสองข้างลง แล้วห้วงคิดเซียนก็แผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว โดยมีตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าเป็นจุดศูนย์กลาง
พันลี้…สองพันลี้……สามพันลี้
ประสาทสัมผัสของจักรพรรดิกว้างไกลไร้ขอบเขต
หลายช่วงลมหายใจจากนั้น
ห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิแห่งความตายค้นหาเป็นรัศมีหมื่นลี้ สัมผัสได้เพียงแต่กลิ่นอายเบาบางของวายุอัสนี ที่เหลือเป็นเศษเสี้ยวในอากาศ และกำลังจะสูญสลายหายไป
“พวกข้าสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของจ้าวเฟิงไม่ได้”
เวินลั่วอันและพวกองครักษ์แห่งความตาย มือข้างหนึ่งถือตรามรณะ แต่กลับไม่มีเบาะแสอะไร
เหมือนกับว่าเป้าหมายระเหยไปในอากาศเสียแล้ว
จักรพรรดิแห่งความตายยืนนิ่งไม่ไหวติง ดั่งเงาเทพมรณะที่สูงส่งยิ่งใหญ่ ประสาทสัมผัสห้วงคิดเซียนของเขากระจายออกไปไกลถึงหมื่นลี้เพื่อค้นหาทิศทางของกลิ่นอายวายุอัสนี
เขาขมวดคิ้วในฉับพลัน กลิ่นอายวายุอัสนีที่หลงเหลืออยู่แบ่งออกเป็นสิบกว่าส่วนในฉับพลัน แล้วกระจายตัวออกไปยังทิศทางต่างๆ
ยิ่งระยะทางไกลออกไปเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิแห่งความตายจะไปถึง แต่ ‘ความแม่นยำ’ ก็ไม่มากพอ
ในทะเลความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่ไพศาล กลิ่นอายทั้งหมดนั้นล้วนถูกทำให้มีลักษณะเดียวกัน
“ผู้เยาว์จอมปลิ้นปล้อน” นัยน์ตาสีดำทะมึนทั้งสองข้างของจักรพรรดิแห่งความตายราวกับระลอกน้ำลึกที่ยะเยือกเย็น
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้จะทำเช่นไรต่อไป?” เวินลั่วอันเอ่ยปากถาม
การโต้ตอบของจ้าวเฟิงรวดเร็วอย่างยิ่ง ความเร็วในการโบยบินของปีกอัสนีเหนือกว่าราชันธรรมดา
“ไปตามทิศทางพวกนี้”
จักรพรรดิแห่งความตายยื่นมือออกมาเล็กน้อย แล้วจึงปรากฏภาพแผนที่ส่องสว่างขึ้นเบื้องหน้า
แผนที่ส่องสว่างฉายภาพแผนที่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง แล้วยังแสดงพื้นที่ใกล้เคียงกับกลุ่มดินแดนเทียนฮวาอย่างละเอียดด้วย
จากกลิ่นอายวายุอัสนีพิฆาตที่เหลือเพียงเศษเสี้ยว จักรพรรดิแห่งความตายจึงพอจะยืนยันตำแหน่งคร่าวๆ ที่จ้าวเฟิงหนีไปได้
คนทางฝั่งจักรพรรดิแห่งความตายแบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม ในนั้นมีกลุ่มของจักรพรรดิแห่งความตายและเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลน เวินลั่วอันและกองกำลังองครักษ์แห่งความตายเป็นอีกหนึ่งกลุ่ม
ราชาจิตวิญญาณมรณะสามคนต่างแยกกันนำคนละกลุ่ม รวมทั้งหมดเป็นจำนวนห้ากลุ่ม แล้วมุ่งหน้าตามไล่ล่าไปยังอาณาเขตที่คาดคะเนไว้อย่างคร่าวๆ
พรึ่บ! พรึ่บ!
ไม่นานนัก เงาร่างของพวกจักรพรรดิแห่งความตายทยอยหายวับไปจากตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า
เฮือก!
เจ้าตำหนักเทียนฮวาและอัจฉริยะจำนวนมากที่เดินทางผ่านไปมาผ่อนลมหายใจยาวเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ณ กลุ่มดินแดนเทียนฮวา ในทิศทางหนึ่งของทะเลความว่างเปล่า
“ประกายปีกอัสนี!”
เห็นเพียงแต่เงาของปีกอัสนีสีแดงอ่อนลักษณะคล้ายเสี้ยวสายฟ้าพาดผ่านทะเลความว่างเปล่า ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันแทบจะไม่สามารถสัมผัสถึงเค้าโครงเงาปีกอัสนีได้
“ช่างรวดเร็วนัก!”
ยอดฝีมือนอกดินแดนหลายคน หรือไม่ก็เรือทะเลความว่างเปล่าที่ผ่านไปมาแถวนั้นเป็นครั้งคราวต่างพากันตกใจไม่น้อย
กลิ่นอายความเร็วที่เงาปีกอัสนีแสดงออกมาเกรงว่าจะเป็นหลายเท่าของราชัน
ประกายปีกอัสนีเป็นเคล็ดวิชาลับในการโบยบินของปีกวายุอัสนี ซึ่งจะกระตุ้นความเร็วของวายุและอัสนีไปจนถึงขีดสุด
พรึ่บ! พรึ่บ!
ปีกวายุอัสนีที่อยู่บนหลังของจ้าวเฟิงโบกสะบัดอย่างรวดเร็วรุนแรง จนร่างกายเป็นดั่งลมพายุสายฟ้า
ความเร็วของเขาในเวลาดังกล่าวอยู่เหนือกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะทั่วไป แต่ทว่าการใช้ ‘ประกายปีกอัสนี’ จะทำให้สิ้นเปลืองพลังไปมาก
ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนั้นเอง
ความเร็วของจ้าวเฟิงก็เชื่องช้าลงไป ร่างกายสั่นน้อยๆ แล้วแยกออกเป็นเงาวายุอัสนีหลายสิบร่าง แต่ละร่างล้วนมีพลังราชันของเขาเพิ่มเข้าไปด้วย กลิ่นอายจึงเหมือนกับร่างจริงของจ้าวเฟิงไม่มีผิดเพี้ยน
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
เงาวายุอัสนีเหล่านี้พากันโบยบินออกไปในทิศทางที่แตกต่างกัน มีเพียงความเร็วที่เชื่องช้ากว่าเล็กน้อย ทว่ากลับยากจะแยกแยะความแตกต่างได้
ในทุกระยะหมื่นลี้ จ้าวเฟิงก็จะแบ่ง ‘เงาวายุอัสนี’ ออกไปเป็นจำนวนมาก คาดการณ์ไว้ว่าทุกๆ ร่างเงาจะสามารถอยู่ได้นานครึ่งชั่วยาม ด้วยเพราะร่างปลอมพวกนี้ล้วนแต่หลอมรวมพลังราชันของจ้าวเฟิงเข้าไปด้วย
ในขณะที่โบยบินนั้น จ้าวเฟิงได้ปิดผนึกโลกทะเลวิญญาณอย่างแน่นหนา
พลังของเนตรมรณะถูกจ้าวเฟิงใช้แก่นจิตวิญญาณเหมันต์กับเคล็ดวิชาลับของ ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ปิดผนึกไปเรื่อยๆ และด้วยเหตุนี้พวกของจักรพรรดิแห่งความตายจึงสัมผัสตำแหน่งของจ้าวเฟิงได้อย่างยากลำบาก
“ในตอนนี้ แค่เพียงข้าไม่ใช้เคล็ดวิชาในแขนงวิญญาณหรือสายเลือดดวงตาตามอำเภอใจ พวกของจักรพรรดิแห่งความตายก็ยากที่จะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของข้า”
จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ จนสุดท้ายแล้ว เขาจึงไม่ใช้พลังราชันและห้วงคิดเซียนตามอำเภอใจ
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเขา ดวงตาแมวราวอัญมณีสีนิลหมุนไปมาเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงถึงทิศทาง
ในขณะที่อยู่ในดินแดนจิตวิญญาณฝูเมิ่ง เป็นเพราะการทำนายของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย จึงทำให้จ้าวเฟิงหนีออกจากขอบเขตการติดตามของจักรพรรดิแห่งความตายได้อย่างรวดเร็ว
ประกายปีกอัสนี!
ปีกวายุอัสนีบริเวณหลังของจ้าวเฟิงโบกสะบัดอย่างรวดเร็ว เหมือนประกายสายอัสนีบาตพาดผ่านทะเลความว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าบินเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ ปราณที่แท้จริงในร่างกายของจ้าวเฟิงหายไปมากกว่าครึ่ง บนใบหน้ามีอาการอ่อนล้า
เงาวายุอัสนีที่เขาสร้างขึ้นจึงย่อมอ่อนแอลงจนถึงระดับขั้นที่สูญสลาย เขาจึงเก็บปีกวายุอัสนีและกลิ่นอายของร่างกายตน
โครม!
ร่างของจ้าวเฟิงหายไปในทะเลความว่างเปล่า
เวลาไม่นานนัก
วูบ ฟุ่บ~
เรือสีเงินที่ครอบคลุมไปด้วยปราณศพของภูติผีตัวหนึ่งปรากฏขึ้นในทะเลความว่างเปล่า
“เจ้าหอโครงกระดูก เจ้าเป็นคนควบคุมเรือ ส่วนเส้นทางการเดินเรือให้เจ้าแมวขโมยตัวน้อยตัดสินใจ”
จ้าวเฟิงกลับถึงห้องหัวหน้าเรือแล้วจึงนั่งขัดสมาธิลง
เรือทะเลในตอนนี้ได้เจ้าหอโครงกระดูกควบคุม กะลาสีเรือให้พวกหุ่นเชิดศพโครงกระดูกที่พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้างรับหน้าที่ไป
“ขอรับ นายท่าน” เจ้าหอโครงกระดูกรับคำสั่ง
ในห้องหัวหน้าเรือ
จ้าวเฟิงใช้โอสถวิญญาณและสมบัติล้ำค่าเพื่อฟื้นฟูไอสวรรค์ ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มพิจารณาแผนที่ในอาณาเขตกว้างใหญ่ของ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง’
ตำแหน่งที่ตั้งของ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ มีระยะห่างจากจ้าวเฟิงราวสิบกว่าดินแดนเกาะ
“จักรพรรดิแห่งความตายไม่รู้จุดหมายปลายทางของข้า” จ้าวเฟิงดวงตาเป็นประกาย
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกพบตัว เขาตัดสินใจที่จะไม่ไปตำหนักทะเลความว่างเปล่าที่ไหน อย่างไรเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร
ในตอนนี้ เรือทะเลที่พัฒนาขึ้นจากการซ่อมแซม ความเร็วสูงสุดเท่ากับคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน
อย่างมากที่สุดหนึ่งปี เรือทะเลของจ้าวเฟิงก็จะสามารถไปถึงตำหนักเซียนพิณสวรรค์
“ข้าได้ใช้เคล็ดวิชาปิดผนึกทะเลวิญญาณแล้ว จักรพรรดิแห่งความตายยากจะสัมผัสได้ถึงข้า แล้วจะตามล่าข้าในทะเลความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขตได้อย่างไร?”
จ้าวเฟิงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ดวงตาข้างซ้ายและเส้นผมของเขากลับมาเป็นสีเดิมตามปกติแล้ว
“นายท่าน หากว่าข้าสามารถหลอมรวมกับพลังครึ่งเซียนได้ ความสามารถก็จะเลื่อนไปยังระดับใหม่ เมื่อถึงตอนนั้นจะสามารถเป็นแรงช่วยเหลือให้ท่านได้”
เสียงของเด็กน้อยครึ่งเซียนเล็ดลอดออกมาจากภายในแหวน เขาเอ่ยด้วยอารมณ์เคร่งขรึม ทว่าเสียงเล็กอ้อแอ้ ดูแล้วน่าขบขันอย่างยิ่ง
“รออีกหน่อยแล้วกัน” จ้าวเฟิงสั่นศีรษะ
ในตอนนี้พลังของเด็กน้อยครึ่งเซียนเทียบเท่าได้กับครึ่งก้าวสู่ราชันเป็นอย่างน้อย
หากว่าหลอมรวม ‘พลังครึ่งเซียน’ เข้าไป พลังจะเพิ่มขึ้นเร็วราวติดปีก ความเร็วในการฟื้นฟูพลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จ้าวเฟิงไม่ได้ผลีผลามอยากจะทำสำเร็จ เขายังต้องการควบคุมการเจริญเติบโตของเด็กน้อยครึ่งเซียน
ความรู้สึกของเขาบอกให้รู้ว่า ถ้าหากปล่อยให้การเติบโตของเด็กน้อยครึ่งเซียนเป็นไปตามธรรมชาติ พลังอำนาจในอนาคตอาจจะเหนือกว่าจักรพรรดิแห่งความตาย ด้วยเพราะเด็กน้อยครึ่งเซียนถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้งจากหยดเลือดของครึ่งเซียน
การเจริญเติบโตของเขาไม่ใช่ ‘การฝึกฝน’ แต่คือขั้นตอนในการ ‘ฟื้นฟู’ อย่างรวดเร็ว
ในทันทีที่มีพลังครึ่งเซียน บวกกับทรัพยากรที่มีให้อย่างไม่จำกัดแล้ว พลังของเด็กน้อยครึ่งเซียนจะฟื้นฟูไปเป็นจักรพรรดิอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี
ณ ทะเลความว่างเปล่า ในทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไปหลายแสนลี้
“หายไปอีกแล้ว” จักรพรรดิความตายขมวดคิ้ว จ้องมองกลิ่นอายวายุอัสนีที่สลายไป
จ้าวเฟิงไม่เพียงแต่รวดเร็วว่องไว แต่ในทุกช่วงเวลาที่โบยบินยังแบ่งร่างปลอมที่มีกลิ่นอายเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนออกมาหลายร่าง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การจะไล่ตามจากกลิ่นอายจึงยากเอาการอยู่
“ป๋ายหลิน” จักรพรรดิแห่งความตายมองไปยังเด็กสาวตัวน้อยนัยน์ตาขาวที่อยู่ข้างกาย
เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนมี ‘เนตรทำนาย’ ถึงแม้ว่าสายเลือดดวงตาจะยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่ว่าความสามารถในการทำนายนั้นอยู่เหนือยอดฝีมือในศาสตร์พยากรณ์ทั่วไปมากนัก
นี่จึงเป็นสาเหตุที่จักรพรรดิแห่งความตายนำตัวเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนผู้นี้มาด้วย
เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนขบนิ้วน้อยๆ หยิบพู่กันออกมา แล้วจ้องมองไปยังกระดาษขาวที่ว่างเปล่าพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ผ่านไปสักพักใหญ่ เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนมีใบหน้าซีดขาว ฝืนวาดเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งอันมีลายเส้นที่ไม่ชัดเจนด้วยท่าทีอ่อนล้า
“พิณ?” จักรพรรดิแห่งความตายแยกแยะเครื่องดนตรีนั่นได้ เป็นพิณโบราณคันหนึ่ง
หลังจากวาดเสร็จแล้ว เด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนจึงเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที
การทำนายในครั้งนี้ยากกว่าที่ผ่านมามากมายอย่างยิ่ง ยิ่งฝ่ายตรงข้ามที่จะจับกุมมีระดับขั้นพลังสูงส่งเท่าไหร่ ระดับความยากก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ เบาะแสข้อมูลที่มีอยู่ยังส่งผลกระทบต่อระดับความยากของการทำนายด้วยเช่นกัน
“พิณ” จักรพรรดิแห่งความตายพึมพำเสียงต่ำ ใช้เวลาขบคิดอยู่นาน
พิณ คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเงื่อนงำอย่างหนึ่ง แต่ว่าปัญหาก็คือเงื่อนงำข้อนี้เป็นนามธรรมเกินไป
พิณ? ตกลงว่านี่เป็นตัวแทนของเครื่องดนตรี หรือเป็นคน หรือว่าจะเกี่ยวโยงในด้านอื่น?
จากเบาะแสข้อนี้ จักรพรรดิแห่งความตายค้นหาต่อไป ในขณะเดียวกันยังสั่งคนให้ไปหาเงื่อนงำที่เกี่ยวข้องกับ ‘พิณ’ มามากกว่านี้ด้วย
ในทะเลหมอกขมุกขมัว
เรือทะเลความว่างเปล่าขนาดกลางที่เต็มไปด้วยปราณศพอัดแน่นแล่นผ่านมาด้วยความเร็ว
ปราณศพนั่นปิดกั้นประสาทสัมผัสของคนต่ำว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันลงไป
“เรือโจรสลัด? เรือหุ่นเชิดศพสายมาร?”
เรือทะเลละแวกนั้นกับยอดฝีมือนอกดินแดนล้วนแต่เดินทางอ้อมไปไกล
กลิ่นอายของเรือหุ่นเชิดศพนี้สะพรึงขวัญอย่างยิ่ง ขนาดว่าเหล่าเรือโจรสลัดส่วนหนึ่ง หรือกระทั่งเรือโจรสลัดขนาดใหญ่ยังไม่กล้าจะหาเรื่องใส่ตัว
เวลาผ่านไปสองสามวัน
เรือหุ่นเชิดศพเงียบสงบไร้การรบกวน จิตวิญญาณของจ้าวเฟิงฟื้นฟูเรียบร้อย
ในระยะนี้เขาเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาลหลายครั้ง จากนั้นก็นำเลือดเนื้อและศพจำนวนมากออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงร้อยศพต้องสาปด้วย
เลือดเนื้อร่างศพจากห้วงฝันบรรพกาลส่งผลลัพธ์อันน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่งต่อการหล่อเลี้ยงหุ่นเชิดศพต้องสาป
ในวันนี้ เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ “นายท่าน หุ่นเชิดศพต้องสาปทั้งหมดเลื่อนขึ้นไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์แล้ว!”
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าจึงแสดงความอิ่มเอมดีใจ
พรึ่บ!
เจ้าหอโครงกระดูกเรียกหุ่นเชิดศพต้องสาปขั้นผู้สูงศักดิ์ออกมา
หุ่นเชิดศพต้องสาปสูงถึงสามจั้ง บนร่างของมันห้อมล้อมไปด้วยปราณศพที่ดั้งเดิมโบราณที่สุด พลังคำสาปที่สาดซัดออกมารุนแรงกว่าเมื่อก่อนเป็นสิบเท่า!
“แข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดไว้มาก”
จ้าวเฟิงคาดเดาไว้ว่า หุ่นเชิดศพต้องสาปในระดับขั้นผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำแทบไม่อาจต่อกร กระทั่งต่อสู้กับยอดผู้สูงศักดิ์ได้ด้วยซ้ำ
ถึงจะเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อแปดเปื้อนคำสาปในปราณศพ ร่างกายก็ล้วนโดนคำสาปนั้นเกาะติดพัวพัน
อีกทั้งเมื่อหุ่นเชิดศพต้องสาปร้อยร่างรวมตัวกันเป็นกระบวนทัพ อานุภาพของมันไม่ได้เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดศพร้อยร่างธรรมดาๆ เท่านั้น
“หุ่นเชิดศพเหล่านี้มีร่างกายที่แข็งแกร่ง มีกลิ่นอายเลือดเนื้อก่อนหน้านี้แฝงอยู่ในร่าง…”
เด็กน้อยครึ่งเซียนแววตาเป็นประกายขณะจ้องไปที่หุ่นเชิดศพร่างนี้ เขาสงสัยมานานแล้วว่าจ้าวเฟิงยังมีของอะไรพรรค์นี้อีก
ในความเป็นจริงแล้ว หุ่นเชิดศพต้องสาปร้อยร่างดูดซึมแก่นแท้เลือดเนื้อไปมหาศาลจนน่าสะพรึงขวัญ
เด็กน้อยครึ่งเซียนขาดแคลนของที่จะเพิ่มการฟื้นคืนพลังให้ไวขึ้น และช่วยฟื้นฟูสายเลือดครึ่งเซียนให้สมบูรณ์ชนิดนี้อยู่พอดี
“พวกเรามาแลกเปลี่ยนกัน”
แววตาของเด็กน้อยครึ่งเซียนเป็นประกายแวววาว เอ่ยด้วยเสียงเล็กอ้อแอ้ แต่กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะจ้องมองไปที่จ้าวเฟิงผู้เป็นนาย