Skip to content

King of Gods 711

King Of Gods

บทที่ 711 อารยธรรมความลับสวรรค์

จ้าวเฟิงควบคุม ‘ราชาเถาวัลย์มารทมิฬ’ ให้มุ่งไปข้างหน้า เถาวัลย์สีเขียวเข้มที่มีมากมายจนมืดฟ้ามัวดินแหวกออกเป็นทาง

เถาวัลย์สีเขียวเข้มนั้นมีพลังชีวิตและการฟื้นคืนชีพแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ความเร็วของมันกลับไม่มากนัก

เมี้ยว เมี้ยว!

ในมือของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏธงเพื่อตั้งค่ายกลร้อยศพต้องสาป

ในเพลิงหมอกควันสีดำมืดมีดวงตาสีแดงก่ำฉายแววอำมหิตหลายคู่ แรงอาฆาตจากจิตวิญญาณทำให้ต้องขนลุกขนพองเหมือนวิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง

ค่ายกลหุ่นเชิดศพช่วยทำให้การขยายตัวของเถาวัลย์รวดเร็วมากขึ้น

ค่ายกลหุ่นเชิดศพเองก็ดูดซึมชีวิต และส่งผลกับทุกสรรพชีวิตไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม

โดยเฉพาะพลังคำสาปอาฆาตที่ทำให้เถาวัลย์สีเขียวเข้มในละแวกใกล้เคียงแห้งเหี่ยวลงไปอย่างรวดเร็ว

ตรงกันข้ามกับหุ่นเชิดศพต้องสาปในค่ายกล ดวงตาสีแดงก่ำโหดเหี้ยม แววตาทำให้คนตื่นตระหนก กลิ่นอายของมันยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“เถาวัลย์สีเขียวเข้มเหล่านี้มีระดับขั้นที่สูงส่ง พลังชีวิตแข็งแกร่ง ถือว่าเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชั้นยอด”

จ้าวเฟิงลอบยินดีในใจ

เถาวัลย์ที่ถูกกลืนกินในทุกๆ ระยะสิบจั้ง ผลลัพธ์จะเท่ากับดูดกลืนคนในระดับผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง

เหล่าหุ่นเชิดศพต้องสาปในค่ายกลร้อยศพ พลังฝึกบำเพ็ญด้านร่างกายล้วนแต่เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง

ในขณะที่รุกคืบเข้าไปเป็นระยะหลายสิบลี้ หุ่นเชิดศพต้องสาปจำนวนมากมีพลังฝึกตนแตะถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นช่วงกลาง มีอีกส่วนหนึ่งไปถึงระดับต้นช่วงปลาย

เด็กน้อยครึ่งเซียนมองดูแล้วตกใจจนเอ่ยอันใดไม่ออก

เถาวัลย์สีเขียวเข้มเป็นพืชประเภทเถาวัลย์ที่เก่าแก่โบราณนัก มีภูมิต้านทานสูงต่อการโจมตีทางกายภาพ

แต่ทว่าเถาวัลย์นี้โดนค่ายกลหุ่นเชิดศพและเถาวัลย์มารทมิฬควบคุมเอาไว้อย่างประจวบเหมาะพอดี

ในระหว่างที่รุกคืบเข้าไป เถาวัลย์ที่ถูกดูดกลืนโดยค่ายกลหุ่นเชิดศพมีจำนวนมากมาย กลิ่นอายยิ่งรุนแรงมากขึ้น แรงอาฆาตจิตวิญญาณที่สาดกระจายออกมาก็น่ากลัวขึ้นอีก

เวลาดังกล่าว

ในค่ายกลหุ่นเชิดศพปรากฏดวงตาดุร้ายสีแดงก่ำร้อยคู่จ้องมองกันสลอน แรงอาฆาตจิตวิญญาณสามารถกดข่มคนระดับพลังราชันธรรมดาได้

ครึ่งวันต่อมา

เมื่อเถาวัลย์มารทมิฬและค่ายกลหุ่นเชิดศพร่วมมือกัน ก็รุกคืบเข้าไปด้านในได้เป็นระยะทางร้อยสองร้อยลี้

ในเวลานี้ หุ่นเชิดศพต้องสาปแตะไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นช่วงปลาย ส่วนน้อยก็แตะไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสุดยอด

 

แรงอาฆาตและปราณศพที่สาดซัดออกมาจากเพลิงหมอกควันน่าสะพรึงขวัญมากพอจะทำให้ยอดฝีมือในขั้นราชันธรรมดาต้องหลีกหนีไป

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยตรงไปยังทิศทางด้านหน้าด้วยความตื่นเต้น

เหมือนจะมาถึงสุดทางของเถาวัลย์สีเขียวเข้ม เบื้องหน้าปรากฏชั้นแสงสีเขียวตระการตา

“มาถึงแหล่งกำเนิดแสงสีเขียวแล้ว”

ในแววตาของจ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนฉายแววปีติ

เมื่อเดินผ่านระยะทางสุดท้ายแล้วทะลุผ่านเถาวัลย์สีเขียวเข้มที่ไร้ขอบเขต ในครรลองสายตาเห็นวงแสงสีเขียวงดงามปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง วงแสงสีเขียวนั่นมีขนาดใหญ่เกินจะเปรียบ

ภายในแสงสีเขียวจะเห็นปราสาทเหล็กกล้าที่จมดิ่งลงใต้ท้องทะเล ทั้งยังเป็นเหมือนกับพื้นที่โลหะขนาดมหึมา อย่างน้อยมีรัศมีกว่าพันลี้

วงแสงสีเขียวเจิดจ้าครอบคลุมอยู่ เป็นประหนึ่งพลังไร้รูปร่างที่ปิดกั้นระหว่างมหาสมุทรไว้

สิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดที่ทำจากเหล็กกล้าตั้งอยู่มากมายในปราสาทนั้น มีหอระฆังขนาดใหญ่สูงเสียดฟ้า หอดูดาวเก่าแก่ลี้ลับ และยังมีน้ำพุบริเวณกลางจตุรัส…ทั้งหมดเหมือนว่าจะไม่ใช่ของในยุคนี้

จ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนใจสั่นสะท้าน สัมผัสได้แต่กลิ่นอายเก่าแก่ที่สาดซัดออกมาจากปราสาทเหล็กกล้าหลังใหญ่

“สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มาจากเผ่าพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้า หรือว่าจะเป็น…”

เด็กน้อยครึ่งเซียนคาดเดาในใจ

ผืนเหล็กกล้าที่มีขนาดกว้างใหญ่นี้ก็คือเมืองเก่าแห่งหนึ่งที่จมลงใต้น้ำ

“มีความคล้ายคลึงกับ ‘เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์’ ”

จ้าวเฟิงหวนระลึกถึงรายละเอียดของเผ่าพันธุ์นี้ใน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’

เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ที่จัดอยู่ในลำดับที่สาม เคยสร้างอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองเกินจะเปรียบ มิติลึกลับและมรดกน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่วผืนพสุธา

ที่เดาว่าเป็น ‘เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์’ เป็นเพราะมีบันทึกที่เกี่ยวข้องในเรื่องเล่าตำนานของจักรพรรดิโจรสลัด

ว่ากันว่าจักรพรรดิโจรสลัดเคยค้นพบมิติลับแห่งหนึ่งของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์

หนึ่งมนุษย์ หนึ่งเด็กน้อย และแมวตัวหนึ่ง ผ่อนฝีเท้าลงเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของวงแสงสีเขียวสว่างไสว

ในวงแสงสีเขียวมีกลุ่มพลังไร้รูปร่างต้านทานน้ำใต้ทะเลรวมไปถึงสรรพชีวิตจากโลกภายนอกด้วย

ด้วยความสามารถของจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ บางทีอาจจะพอฝืนรุกล้ำเข้าไปภายใน แต่ว่าพวกเขาไม่กล้าผลีผลามเข้าไป

เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์เป็นถึงเผ่าพันธุ์ในตำนานสามอันดับต้นๆ ของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ!

ถึงแม้ว่าร่องรอยที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์นี้ได้เลือนหายไปในสายธารประวัติศาสตร์ แต่ว่าอิทธิพลที่ส่งผลต่อโลกยุคหลังกลับลึกล้ำและยาวนาน

อย่างเช่นพวกเรือทะเลความว่างเปล่า หุ่นเชิดกลไก หรือค่ายกลข้ามผ่านดินแดน…ของเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์คิดค้นและหลงเหลือเอาไว้

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกธงไหวๆ แล้วจึงมุ่งหน้าเข้าไปยังตำแหน่งหนึ่งของปราสาทเหล็กกล้า

ครู่เดียว ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็มองสำรวจจนเห็นประตูโลหะสีดำบานใหญ่ซึ่งยังเปิดกว้างอยู่

ประตูโลหะบานใหญ่สูงหลายสิบจั้ง บริเวณหน้าประตูมีทหารยามยืนเรียงหน้ากระดานสองแถว ทั่วร่างแข็งทื่อไม่ไหวติง ทั้งหมดล้วนเป็นหุ่นเชิดกลไก

แต่ที่เกินจะคาดเดาก็คือ ดวงตาที่มีแสงสีแดงผุดขึ้นของทหารยามโลหะส่วนหนึ่งพากันจ้องมาที่พวกจ้าวเฟิง สีหน้าระแวดระวัง

“ที่นี่เป็นเมืองที่สาบสูญของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ ขอต้อนรับการมาเยือนของทุกท่าน”

หัวหน้าทหารยามหนึ่งในนั้น ทั่วร่างหุ้มเกราะหนักสีเงินเข้ม ในมือกำกระบี่เล่มใหญ่ไว้

“แต่ว่าจะเข้าไปในเมืองต้องมีค่าใช้จ่าย” ทหารยามผู้มีกระบี่เล่มใหญ่เอ่ยเสริม

จ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนมีสีหน้าแปลกประหลาด

หุ่นเชิดกลไกเหล่านี้ที่แท้แล้วมีสติปัญญา สามารถสื่อสารกับคนได้

หลังจากที่ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้สำรวจตรวจตรา ก็พบว่าไม่มีร่องรอยของชีวิตแต่อย่างใด

“ค่าเข้าเมืองงั้นรึ?”

จ้าวเฟิงมองเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นนัยๆ

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยหยิบผลึกเริ่มต้นระดับกลางกองหนึ่งส่งไปยังเบื้องหน้าขององครักษ์กระบี่กระบี่ยักษ์

“ไม่พอ” ทหารยามกระบี่ยักษ์รับผลึกเริ่มต้นไปแล้วส่ายศีรษะ

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บแล้วต่อรองราคาด้วย

ค่าเข้าเมืองก็ยังคงสูงชะลูด

ต่อมาเจ้าแมวขโมยตัวน้อยส่งผลึกเริ่มต้นระดับสูงจำนวนมากไปให้อีก

ทหารยามกระบี่ยักษ์ก็ยังคงส่ายศีรษะด้วยท่าทีอย่างกลไก “พลังงานของผลึกเริ่มต้นยังไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ!”

จ้าวเฟิงหมดสิ้นหนทาง ทำได้เพียงกัดฟันเอาผลึกเริ่มต้นจำนวนมหาศาลออกมาอีกครั้ง รวมถึงหินผลึกที่มีค่าส่วนหนึ่งด้วย

ทหารยามถือกระบี่ยักษ์ไม่ได้มีอารมณ์เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ยึดตามกฎติกาอย่างเคร่งครัดเท่านั้น

ในที่สุดเมื่อรวบรวมผลึกเริ่มต้นไปนับไม่ถ้วนแล้ว ทหารยามกระบี่ยักษ์ถึงค่อยๆ ผายมือออก “แขกผู้มาเยือนจากแดนไกล เชิญเข้าเมืองได้”

จ้าวเฟิงกลอกตาขึ้นมองด้านบน นี่มันจะมากเกินไปแล้ว

จะต้องรู้ว่า หินผลึกที่เขาใช้ไปเมื่อครู่มากพอที่จะซื้ออาวุธชั้นพิภพได้หลายชิ้นเลยทีเดียว

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเก็บค่ายกลหุ่นเชิดศพเข้าไป แล้วจึงเดินนำหน้าเข้าไปในบานประตูโลหะนั่น

เหล่าทหารยามเหล็กพวกนั้นไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด

“แขกผู้มีเกียรติทั้งสาม พวกท่านอยู่ในตัวเมือง ห้ามทำลายสิ่งก่อสร้างส่วนรวม ห้ามบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม ถ้าหากฝ่าฝืนจะถูกไล่ออกจากเมือง หากผิดกฎร้ายแรงจะโดนตามล่าสังหาร”

ทหารยามเหล็กกล้าเอ่ยเตือน จ้าวเฟิงผงกศีรษะเป็นการยอมรับ

ตามที่ดวงตาเทพเจ้าของเขาสำรวจและวิเคราะห์ ความสามารถของทหารยามกระบี่ยักษ์น่าจะต่อกรคนในขั้นราชันได้เลยทีเดียว

หนำซ้ำไม่รู้เลยว่าทั้งเมืองมีทหารยามหุ่นเชิดเช่นนี้อยู่อีกกี่ตนกันแน่ บางทีอาจจะมีระดับขั้นที่สูงส่งกว่านี้ก็เป็นได้

ในเมื่อหัวหน้าทหารยามผู้นี้เป็นเพียงแค่คนในระดับล่างที่คอยเฝ้าประตูเท่านั้น

สวบ สวบ! สวบ สวบ!

ทุกฝีก้าวของจ้าวเฟิงเสียงดังแจ่มแจ้งเมื่อก้าวเข้ามาภายในโลกของอารยธรรมโลหะใต้ท้องมหาสมุทร

ภายในเมืองเหล็กกล้าแห่งนี้ ในทุกๆ ย่างก้าวจะสามารถมองเห็นกองกำลังทหารเหล็กที่กำลังเดินลาดตระเวนไปมาได้

“ไม่มีกลิ่นอายของชีวิต”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดตามองอยู่นาน ก็ยังไม่เจอกลิ่นอายชีวิตใดๆ

เมี้ยว ~

เจ้วแมวขโมยตัวน้อยกลับคึกคักอย่างยิ่ง โยนเหรียญทองแดงโบราณออกมาหลายเหรียญ แล้วจึงเดินนำทางอยู่ด้านหน้า

 

ระหว่างทางผ่านสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตมากมายที่ทำจากโลหะ มีบางส่วนที่เข้าไปภายในได้ และมีบางส่วนที่มีทหารยามเฝ้าอยู่

ในที่สุดก็เดินมาจนถึงจตุรัสพื้นสีเงินที่เงียบสงบ เจ้าแมวขโมยตัวน้อยผ่อนฝีเท้าลง

ตรงกลางของจตุรัสมีน้ำพุพวยพุ่ง ยังมีเสียงดนตรีไพเราะเพราะพริ้งแว่วมา เสน่ห์ที่ทำให้ดวงวิญญาณต้องเคลิบเคลิ้มแผ่กระจาย

ฟุ่บ~

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดโลดเต้นเข้าไปยังภายในร้านค้าที่อยู่ในละแวกจตุรัส

นี่เป็นเมืองที่หายสาบสูญ เหลือเพียงลักษณะเดิมในวันวานเท่านั้น คุณลักษณะบางอย่างก็ยังคงหลงเหลือมาจนถึงวันนี้

บนท้องถนนหลักยังมีหุ่นเชิดกลไกปัดกวาดทำความสะอาด

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเข้าไปในห้องหนังสือห้องหนึ่ง ภายในนั้นมีตำรับตำราหลากหลายจากทั่วทุกหนแห่ง

“แขกผู้มีเกียรติจากแดนไกล มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”

หุ่นเชิดกลไกในรูปลักษณ์สตรีอ้อนแอ้นอรชรตนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

ใบหน้าของจ้าวเฟิงเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง

นี่มันเมืองประหลาดอะไรกันแน่ เมื่อเปรียบกันแล้วหุ่นเชิดกลไกที่โลกภายนอกอ่อนแอกว่ามากทีเดียว

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยวาดกรงเล็บเพื่อสื่อสารกับสตรีหุ่นเชิดกลไกตนนั้น

 

ไม่นานนัก เจ้าแมวขโมยตัวน้อยใช้ผลึกเริ่มต้นระดับกลางชิ้นหนึ่งแลกกับแผนที่ในมือของสตรีหุ่นเชิดกลไก เมื่อเทียบกับราคาค่าเข้าเมืองแล้ว ราคานี้นับว่าสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

“เอ๊ะ!”

จ้าวเฟิงมองแผนที่แผ่นดังกล่าวปราดหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นลักษณะภูมิประเทศของทั้งเมือง ในทันทีดวงตาปราดมอง แสงของข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็จะฉายขึ้นมา

“ตามข้อมูลที่แผนที่บอกเอาไว้ แถวนี้มีร้านขายของเก่าอยู่แห่งหนึ่ง หอประเมินราคาหลังหนึ่ง มีร้านขายอาวุธกับร้ายขายทรัพยากรด้วย”

จ้าวเฟิงกวาดตามอง

สรุปคือ สิ่งที่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่ามี ที่นี่ก็มีเช่นกัน

สิ่งที่ตำหนักวิญญาณไม่มี ที่นี่มีพร้อมสรรพ

ภายในสิ่งปลูกสร้างที่ขายสินค้าล้วนแต่มีหุ่นเชิดกลไกในประเภทรับใช้

เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดเข้าไปภายในหอสูง ข้อมูลในแผนที่ชี้ว่าเป็นโรงหลอมโลหะ มีไว้เพื่อสร้างและเพิ่มความแข็งแกร่งของอาวุธเป็นหลัก

“มีอะไรให้ข้าช่วยท่านหรือไม่” หุ่นเชิดกลไกวัยฉกรรจ์ที่มีผิวสีเข้มและรูปร่างใหญ่โตเอ่ยถามเสียงเรียบ

เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกรงเล็บ ในมือของมันปรากฏกริชสีดำมืดคล้ายเงาเล่มหนึ่งขึ้น

“เอ๊ะ!”

หุ่นเชิดกลไกวัยฉกรรจ์ดวงตาเป็นประกาย รับเอากริชจักรพรรดิเงาสังหารไปพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมุดกลับเข้าไปในแหวนเหล็กโบราณ เอาทรัพยากรล้ำค่าหลายชิ้นออกมา

แน่นอนว่ายังต้องจ่ายผลึกเริ่มต้นเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน

“หากจะเพิ่มความสามารถที่ทำให้เกิดอาการชาแก่อาวุธชิ้นนี้ เจ้ายังขาดทรัพยากรหลายชิ้น สามารถไปซื้อหาได้ที่ร้านขายทรัพยากรเยื้องไปฝั่งตรงข้าม”

ช่างตีเหล็กกลไกเอ่ย

เมี้ยว เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยวิ่งไปที่ร้านขายทรัพยากรฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว

หลายชั่วยามต่อจากนั้น

เกิดเสียง ‘ตุบ ตุบ’ ‘กรอก แกรก’ ขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นหุ่นเชิดกลไกผิวดำผู้นั้นหยิบกริชจักรพรรดิสังหารออกมาจากเตาหลอมลึกลับขนาดใหญ่

บนพื้นผิวของกริชเงาจักรพรรดิสังหารปรากฏแสงสีแดงร้อนแรง แล้วจึงค่อยๆ อับแสงลงจนกลายเป็นเส้นสายสีเทาเข้ม

“ลองดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวเฟิงมีท่าทีสนใจอย่างยิ่ง

เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกริชจักรพรรดิเงาสังหารกรีดลงบนหลังมือของเด็กน้อยครึ่งเซียนเบาๆ ทิ้งคราบเลือดเล็กๆ เอาไว้

“เจ้า…”

เด็กน้อยครึ่งเซียนตื่นตกใจ บริเวณมือที่โดนกรีดไปรู้สึกเหน็บชา ความรู้สึกชาที่สัมผัสได้เหมือนจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย

เขารีบโคจร ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ จึงจะขับความชาออกไปได้

“ภูมิปัญญาและอารยธรรมของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์นับว่าเยี่ยมยอดเสียจริง” จ้าวเฟิงประหลาดใจอย่างยิ่ง

การจะเพิ่มความสามารถที่ทำให้เกิดอาการชาซึ่งหาได้ยากกับอาวุธวิเศษในตำนานอย่างกริชจักรพรรดิเงาสังหารภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านอาวุธของสำนักสามดาวก็ไม่อาจทำได้

“แขกผู้มาเยือนทั้งสาม พวกท่านต้องการอาวุธประเภทไหน ข้าสามารถสร้างและเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกท่านได้”

ช่างตีเหล็กผู้นั้นเอ่ยอย่างเป็นมิตร

นานมาแล้วที่ไม่มีแขกมาเยือนร้านค้าโรงหลอมอาวุธของเขา จำนวนของผลึกเริ่มต้นนับวันยิ่งลดลงไปทุกที รายได้น้อยกว่ารายรับมาก

“ดูอาวุธชิ้นนี้ของข้าหน่อย”

ในฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏระลอกเหมันต์สีฟ้า ก่อตัวกลายเป็นหอกเหมันต์

ซึ่งก็คือหอกจักรพรรดิเหมันต์นั่นเอง

“อาวุธธาตุอัสนี เหมันต์ และวารี อาวุธสามประเภทนี้มีพลังทำลายล้างสิบส่วนในร้อย ซึ่งถือว่ายังขาดแคลน หลังจากที่ซ่อมแซมฟื้นฟูแล้ว พลังเหมันต์ก็จะเพิ่มขึ้นไปจนถึงแปดสิบส่วน สามารถปรากฏเป็นเกราะป้องกันเหมันต์ และมังกรเหมันต์วิญญาณ…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version