Skip to content

King of Gods 717

King Of Gods

บทที่ 717 ค่ายกลนรกกลืนวิญญาณ

จ้าวเฟิงอยู่ท่ามกลางกลุ่มวายุอัสนีสีชาด ใบหน้าติดรอยยิ้มเยาะขณะที่จ้องมององครักษ์แห่งความตายอย่างพินิจพิเคราะห์

ใต้อาณัติของจักรพรรดิแห่งความตาย มีราชาจิตวิญญาณมรณะสี่คนและองครักษ์แห่งความตายสามสิบหกคน

ถ้าหากเป็นสองสามปีก่อน นี่คือฝันร้ายจากคำสั่งล่าสังหารที่จ้าวเฟิงต้องเผชิญ

ในอดีต ไม่ว่าเป็นองครักษ์แห่งความตายในลำดับที่เท่าไหร่ จ้าวเฟิงต้องรีบหลีกหนีไปให้ไกล หรือไม่ก็ต้องเสียอะไรไปเป็นจำนวนมากจึงจะเอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างยากลำบาก

แต่ในตอนนี้

แววตาขององครักษ์แห่งความตายผู้นั้นเผยความหวาดกลัวยำเกรงลึกๆ ออกมา ในหัวปรากฏข่าวสารใหม่ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายสังหาร

กลัวก็แต่ในองครักษ์แห่งความตายทั้งสามสิบหกคน ไม่มีผู้ใดจะต้านทานบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้

ความรวดเร็วในการพัฒนาของฝ่ายตรงข้ามทำให้ลึกๆ ในใจเขาถึงกับหมดแรง

“ในละแวกนี้ไม่มีกำลังเสริม ยากที่ข้าจะก้าวผ่านไปได้” องครักษ์แห่งความตายผู้นี้ผ่านการต่อสู้มามากมายหลายสนาม จึงไม่สูญเสียความสงบเยือกเย็น

“เงาปีกค้างคาวมาร!”

องครักษ์แห่งความตายสีหน้าเครียด กัดฟันแน่น ปราณที่แท้จริงทั่วร่างเผาไหม้ลุกโชน ร่างดำมืดเหมือนเงาบิดเบี้ยวไปมาแล้วพลันกลายร่างเป็น ‘เงาค้างคาวบิน’ ปีกสองข้างที่ยาวกว่าสิบจั้งกางออกราวกับค้างคาวมารตัวหนึ่ง

 

กลิ่นอายของปีกค้างคาวมารทั้งกระหายเลือดและโหดเหี้ยม ส่งคลื่นเสียงจิตวิญญาณที่แหลมคมทิ่มแทงไปยังชั้นดวงวิญญาณ

จ้าวเฟิงเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นเช่นนั้น องครักษ์แห่งความตายผู้นี้ไม่เสียดายชีวิต เพิ่มระดับพลังขึ้นเป็นขั้นราชันในระยะเวลาอันสั้น

อีกทั้งความเร็วของปีกค้างคาวมารยังรวดเร็วจนน่าตกใจ ความเร็วในการโจมตีนั้นขนาดราชันธรรมดายังยากจะหลบพ้น

“ฮึ!” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น แล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าให้

วิ้ง แซ่ด~

ทันใดนั้น พลังมหาศาลของราชันทะลักออกไปในอากาศ ปกคลุมทั่วร่างของปีกค้างคาวมาร ความเร็วในการเผาผลาญของฝ่ายหลังเชื่องช้าลงไปหลายส่วน

นี่ก็คือความต่างของพลังระหว่างคนขั้นราชันและคนในขั้นที่ต่ำกว่าราชัน

แซ่ด แซ่ด วูบ!

กรงเล็บแสงสีชาดขนาดยักษ์พลันดิ่งลงมาจากฟ้าโดยมีวายุอัสนีหมุนวนรอบๆ ก่อนคว้าเอา ‘ปีกค้างคาวมาร’ ไว้ได้ในหนเดียว

“ไม่มีแรงจะต้านทานแม้แต่น้อย…”

องครักษ์แห่งความตายผู้นี้วิญญาณสั่นสะท้าน การรับรู้ของร่างกายเหมือนถูกกักขังไว้กลางอากาศ

เขาจึงตระหนักได้ว่า จ้าวเฟิงสามารถสังหารราชันในระดับลึกซึ้งได้จะต้องไม่ใช่เพราะโชคช่วยแน่ๆ

“ในเมื่อยากจะหนีพ้นไปได้ เช่นนั้นก็…”

 

สายตาขององครักษ์แห่งความตายปรากฏความบ้าคลั่งในความสิ้นหวัง ปราณที่แท้จริงและพลังวิญญาณทั่วร่างพลุ่งพล่านประหนึ่งลูกกลมๆ ที่กำลังสูบลมเข้าไป

“เหอะ เหอะ จะระเบิดตัวเองงั้นหรือ?” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเรียบ ดวงตาข้างซ้ายจ้องเขม็ง

วินาทีต่อมา

เจตจำนงดวงตาที่แข็งแกร่งมหาศาลกักขังดวงวิญญาณและร่างกายขององครักษ์แห่งความตายไว้กลางอากาศ

“อะไรกัน…” องครักษ์แห่งความตายไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้ สตินึกคิดยากที่จะขยับเขยื้อน

นอกเหนือจากจักรพรรดิแห่งความตายแล้ว เขาไม่เคยพบเจอเจตจำนงดวงตาที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน

“สืบวิญญาณ!”

ในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงทะลักระลอกพลังดวงวิญญาณโจมตีไปยังวิญญาณขององครักษ์แห่งความตาย

ด้วยระดับขั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงลึกซึ้งในศาสตร์วิญญาณ จะสำแดงวิชาสืบวิญญาณก็ง่ายดายอย่างยิ่ง

ในความเป็นจริงแล้ว

เคล็ดวิชาศาสตร์วิญญาณหรือกระทั่งพลังลวงตาส่วนหนึ่ง ต่อให้ไม่มีสายเลือดดวงตาก็สามารถใช้ได้

แต่ถ้าใช้สายเลือดดวงตา อานุภาพของเคล็ดวิชาจะยิ่งแข็งแกร่ง ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้น ทั้งยังสิ้นเปลืองไอวิญญาณน้อยลงเป็นที่สุด

หนึ่งสองช่วงลมหายใจต่อมา

จ้าวเฟิงโบกมือ วายุอัสนีพิฆาตสีชาดทะลักออกมา ทำให้ร่างกายขององครักษ์แห่งความตายสูญสลายกลายเป็นธุลี

กายเนื้อและดวงวิญญาณดับสูญไปในเวลาเดียวกัน ตายสนิทเรียบร้อย

เหมือนอย่างในครั้งก่อน ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะชนะองครักษ์แห่งความตาย แต่ลักษณะพิเศษของร่างเงามรณะ รวมไปถึงตรามรณะที่เป็นโล่ป้องกันดวงวิญญาณ ทำให้ไม่อาจกำจัดให้สิ้นซากอย่างแท้จริง

“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้…” จ้าวเฟิงสืบดวงวิญญาณแล้วจึงได้ข่าวสารที่สำคัญส่วนหนึ่งจากองครักษ์แห่งความตาย

ในนั้นก็ยังมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสะกดรอยตามจ้าวเฟิงด้วย

เนื่องจากจ้าวเฟิงกำจัดพลังดวงตามรณะไปครั้งใหญ่ ปฏิกิริยาตอบสนองจึงลดลงไปจนถึงขีดสุด แล้วบวกกับการผนึกกลิ่นอายของเคล็ดวิชาศาสตร์ดวงวิญญาณอย่าง ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ไปอีก องครักษ์แห่งความตายและราชาจิตวิญญาณมรณะจึงยากที่จะสัมผัสถึงเขาได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงที่ดูดซึมอัสนีเทวะเข้าไปทำลายพลังดวงตามรณะในดวงวิญญาณ

ตราคำสั่งมรณะสัมผัสถึงจ้าวเฟิงได้ยากนัก นอกเสียจากว่าจะอยู่ในระยะทางใกล้เคียง

คำสั่งล่าสังหารสามารถตามหาจ้าวเฟิงได้เพราะ ‘จักรพรรดิมู่อวิ๋น’

เนตรพิฆาตกระบวนท่านั้นของจ้าวเฟิงโคจรพลังดวงตาและวิญญาณจำนวนมหาศาล มีกลิ่นอายพลังดวงตามรณะปะปนอยู่

กลิ่นอายที่แปดเปื้อนไปบนร่างของจักรพรรดิมู่อวิ๋นถูกราชาอินหยางจับได้

“จักรพรรดิมู่อวิ๋น ที่แท้ก็โดนจักรพรรดิแห่งความตายประทับ ‘เนตรเพ่งมรณะ’ ผ่านกลุ่มดินแดนมากมาย และฉกฉวยเอาดวงวิญญาณไป”

ในใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน

การแสดงเคล็ดวิชาต้องห้ามดวงวิญญาณผ่านกลุ่มดินแดนจำนวนมาก จะสิ้นเปลืองพลังบวกไปอีกหลายสิบเท่า หรือกระทั่งหลายร้อยเท่า

ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายยังเป็นดวงวิญญาณของระดับจักรพรรดิด้วย!

“ยังดีที่พลังวิญญาณและพลังดวงตาของจักรพรรดิแห่งความตายไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาหมด ยังอยู่ในช่วงพักฟื้น”

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าตนโชคดีอยู่บ้าง

ถ้าหากจักรพรรดิมู่อวิ๋นเป็นเพียงแค่โจรสลัดตัวเล็กๆ ถึงจักรพรรดิแห่งความตายจะเรียกใช้ ‘เนตรเพ่งมรณะ’ ข้ามผ่านกลุ่มดินแดนมากมาย ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรมากนัก แล้วยังสามารถไล่ล่าได้ด้วย

แต่แน่นอนว่าโจรสลัดตัวเล็กๆ ธรรมดาก็ไม่สามารถบีบบังคับให้จ้าวเฟิงต้องใช้เนตรพิฆาต

“ธนูเหนือนภา!”

จ้าวเฟิงเปิดเนตรเทพเจ้ากวาดผ่านทะเลความว่างเปล่าส่วนหนึ่ง ธนูโบราณคันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

วิ้ง!

บนธนูเหนือนภาสีเงินเข้มคันนั้นมีรอยสลักลี้ลับ สว่างเรืองรองจนเกิดเป็นลวดลายที่มีชีวิตชีวาเหมือนกับลูกกบหลายต่อหลายตัว

จ้าวเฟิงง้างคันธนูสีทองนั่น เรือนผมสีม่วงสะบัดพลิ้ว

ฟุ่บ!

 

ลำแสงธนูสีทองแสบตาปรากฏขึ้นบนสายธนู ลากวายุอัสนีพิฆาตออกมาชั้นหนึ่ง สว่างวาบแล้วหายไป

พริบตาเดียว ไอที่แหลมคมก็ทะลวงผ่านอากาศไปทำลายแกนกลางของมิติ

ในเวลาเดียวกัน หลายพันลี้ที่ไกลออกไป องครักษ์แห่งความตายผู้หนึ่งร่างกายแข็งค้าง ร้องเสียหลงอย่างตกใจ

กลิ่นอายแหลมคมที่ทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่งเล็งเป้าหมายไปยังดวงวิญญาณของเขา ขนาดอากาศในละแวกใกล้เคียงยังเหมือนหนักอึ้งเล็กน้อยเมื่อโดนพลังลึกลับผนึกเอาไว้

วูบ!

แสงสว่างสีเงินสสว่างวาบ ลำแสงธนูสีทองที่คล้ายจะปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันกลางอากาศทะลุผ่านร่างกายของเขาในทันที

“อ๊าก!”

องครักษ์แห่งความตายผู้นี้ร้องครวญอย่างเจ็บปวด จากนั้นสูญสลายหายไปกลางลำแสงสีทองเจิดจ้าและวายุอัสนีพิฆาตสีชาด

การตายต่อเนื่องกันขององครักษ์แห่งความตายสองคน ย่อมต้องทำให้องครักษ์แห่งความตายและราชาจิตวิญญาณมรณะที่เหลือตื่นตระหนก

บนเรือสำเภามรณะ

“เส้นทางของเราโดนจับได้แล้ว” น้ำเสียงของราชาอินหยางหนักแน่นจริงจัง

ตามแผนการก็คือพวกเขาจำเป็นต้องจับตาดูจ้าวเฟิงก่อน รอให้จักรพรรดิแห่งความตายออกจากการปิดด่าน

เช่นนี้จึงสามารถรับรองได้ว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดหรือการสูญเสียใดขึ้น

แต่ว่าเพิ่งจะมาถึงชายแดนของหุบเขาสิบแปดยอดก็โดนจ้าวเฟิงเห็นเสียแล้ว ซึ่งรวดเร็วกว่าที่คาดไปมากนัก

“องครักษ์แห่งความตายทั้งหมดฟังคำสั่ง ล้อมสังหารเป้าหมายเสีย!”

น้ำเสียงทับซ้อนคล้ายทั้งชายและหญิงของราชาอินหยางดังผ่านตราสั่งมรณะ กระจายไปยังทะเลความว่างเป็นระยะทางหลายหมื่นลี้

ไม่เพียงกี่ช่วงลมหายใจต่อมา

“เริ่มแผนการล้อมฆ่าได้!”

ราชาจิตวิญญาณมรณะอีกสองคนที่เหลือและบรรดาองครักษ์แห่งความตายล้วนแต่ได้รับข่าวสารแล้ว

โครม โครม!

พลังของราชันสองกลุ่มทะยานมาจากทะเลความว่างเปล่าในละแวกใกล้เคียง

ขณะกำลังบินตรงมายังเรือหุ่นเชิดศพ เหมือนโดนเทือกเขาขนาดใหญ่กดทับอยู่ ความเร็วในการบินเชื่องช้าลงราวติดอยู่ในบ่อโคลน

เวลาเดียวกัน

ร่างเงาขององครักษ์แห่งความตายที่เป็นดั่งเงาดำมืดหลายเส้นสาย ก็ตรงดิ่งมาล้อมเรือหุ่นเชิดศพไว้ด้วยเช่นกัน

องครักษ์ที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ล้วนใกล้ขั้นราชันไปทุกที

นอกจากนี้ ยังมีกลิ่นอายทรงพลังของราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสามตรงมาจากหลายทิศทาง ละม้ายคล้ายกับพายุแห่งความตายที่หมุนวนเข้ามาหา

หน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนสีเล็กน้อย แล้วเอ่ย “คุนอวิ๋นน้อย เจ้าแมวขโมยตัวน้อย เจ้าหอโครงกระดูก…”

ถ้าหากมีเพียงเขาอยู่ลำพังตัวคนเดียว จ้าวเฟิงย่อมหนีไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่กล้าที่จะสู้รบด้วยแน่

ต่อให้พลังของเขาจะแข็งแกร่งสักเท่าไหร่ ก็ไม่บ้ามากพอจะไปประมือกับราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสามเพียงคนเดียว แล้วยังมีเวินลั่วอันที่มีพลังอยู่ในขั้นราชัน รวมทั้งบรรดาองครักษ์แห่งความตายที่อยู่กึ่งกลางระหว่างขั้นราชันและครึ่งก้าวสู่ราชันอีก

แต่สิ่งที่ต่างจากกาลก่อนคือ จ้าวเฟิงไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังอีกแล้ว เขายังมีข้ารับใช้ที่แข็งแกร่งและสัตว์วิเศษ

“เจ้าหอโครงกระดูก ตั้งค่ายกลให้ดี องครักษ์แห่งความตายพวกนี้ก็สามารถร่วมมือกันตั้งค่ายกลได้เช่นกัน”

จ้าวเฟิงเอ่ยสำทับ

แล้วในทันทีที่เอ่ยจบ

สวบ วูบ!

เพลิงหมอกควันหุ่นเชิดศพที่คละคลุ้งหนาแน่นก็ครอบคลุมไปเป็นรัศมีกว่าสิบลี้ ด้านในปรากฏดวงตาสีแดงก่ำหลายคู่จ้องมองมาอย่างดุร้าย

สิ่งที่ต่างจากที่ผ่านๆ มาคือ ในกลุ่มควันของหุ่นเชิดศพนั้นยังปรากฏโซ่สายฟ้าสีแดงเข้มกึ่งโปร่งแสงหลายเส้นขึ้นรางๆ

ในเมืองของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ ค่ายกลหุ่นเชิดศพได้รับการแก้ไขให้สมบูรณ์กว่าเดิมไปอีกขั้น

“เจ้าแมวขโมยตัวน้อย…” จ้าวเฟิงยังไม่ทันได้กำชับ เจ้าแมวขโมยตัวน้อยบนบ่าก็กระโดดผลุงออกไป

เมี้ยว เมี้ยว!

ในทะเลหมอกความว่างเปล่า เห็นเพียงแค่เส้นแสงสีเงินสว่างวาบแล้วหายไป

จ้าวเฟิงจึงเข้าใจได้ เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมีแผนการของตนเองว่าจะหลบซ่อนอยู่ในที่ลับตา

ในเวลานี้เอง

ราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสามนำองครักษ์แห่งความตายจำนวนยี่สิบกว่าคนมา และแผ่กระจายกลิ่นอายแห่งความตายล้อมกดดันทุกทิศทาง

ทะเลความว่างเปล่าในรัศมีหลายพันลี้เงียบสงัด จ้าวเฟิงและเรือหุ่นเชิดศพตกอยู่ในวงล้อมนั้น

ราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสาม ร่วมด้วยเวินลั่วอัน กำลังรบของราชันทั้งสี่คนกระจายตัวออกเป็นสี่ทิศทาง ล้อมรอบจ้าวเฟิงเอาไว้

เบื้องหลังของราชันแต่ละคนยังมีองครักษ์แห่งความตายอย่างน้อยๆ สี่ห้าคนยืนอยู่

“เหอะ เหอะ… ถึงแม้ว่าราชาอเวจีจะไม่อยู่ แต่ก็สามารถเรียก ‘ค่ายกลนรกกลืนวิญญาณ’ ได้ ”

‘ราชาวิญญาณมืด’ ที่ร่างกายเป็นดั่งเงาดำอดจะเลียริมฝีปากไม่ได้

ทันทีที่เอ่ยจบ ในมือของราชาอินหยาง ราชาแม่มด ราชาวิญญาณมืด และเวินลั่วอันต่างมีธงสีโลหิตปรากฏขึ้น

ธงทั้งสี่ทิศตั้งตระหง่านขึ้นกลางอากาศ ทุกด้านมีไฟลุกโชนจนกลายเป็นควันเพลิงสีเทาลอยคละคลุ้ง เสียงกรีดร้องโหยหวนของภูตผีปิศาจดังไปทั่วจนทำให้ต้องขนพองสยองเกล้า

ฟิ้ว~

ขณะนั้นเอง ธงทั้งสี่ก็เปล่งแสงสีเลือดสว่างเรืองรอง ระเบิดสูงขึ้นเป็นร้อยจั้งประหนึ่งเสายักษ์สี่ต้นที่ค้ำฟ้าเอาไว้

วิ้ง!

แสงสีโลหิตนั้นแทรกซึมผ่านรัศมีหลายสิบลี้ จากขอบนอกจะเห็นเพียงแค่ลำแสงที่ปกคลุมเพลิงควันสีเทาเอาไว้

จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ รวมไปถึงค่ายกลหุ่นเชิดศพ ล้วนแต่ตกอยู่ภายในมิตินรกภูมิที่กระหายเลือดและอ้างว้างวังเวง

ค่ายกลนรกนั้นมีบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าค่ายกลร้อยศพต้องสาปอย่างยิ่ง จนกลายเป็นเขตแดนมิติที่เป็นเอกเทศอีกแห่งหนึ่งได้

“ค่ายนรกจิตวิญญาณมรณะตั้งเสร็จแล้ว เจ้าเด็กนั่นมีปีกก็ยากจะบินหนีไป”

‘ราชาแม่มด’ ที่มีผิวซีดเผือด ทั่วร่างกายมีควันเพลิงสีขาวแปลกประหลาดหมุนวนอยู่ชั้นหนึ่ง ดูราวกับภูติผีสาวที่น่าสะพรึงกลัว

พวกของราชาอินหยาง เวินลั่วอันและคนอื่นๆ เผยสีหน้ายินดี

ค่ายกลนรกกลืนวิญญาณคือค่ายกลล้อมสังหารที่เกิดจากน้ำมือของจักรพรรดิแห่งความตาย ต้องการราชาจิตวิญญาณมรณะสี่คนควบคุมแกนกลางทั้งสี่ด้าน ถึงจะสามารถสำแดงพลังที่รุนแรงที่สุด

นอกจากนี้ ในทุกฝั่งก็ล้วนมีองครักษ์แห่งความตายเป็นผู้ช่วยประคับประคองไว้

อานุภาพในระดับสุดยอดของค่ายกลดังกล่าว สามารถทำร้ายคนในขั้นจักรพรรดิปราณเทวะได้

ต่อให้เวินลั่วอันมาแทนที่ราชาจิตวิญญาณมรณะคนหนึ่งในนั้น และจำนวนองครักษ์ไม่ถึงสามสิบหกคน แต่พลังก็ยังมีราวๆ เจ็ดสิบส่วนของช่วงสุดยอด

‘ค่ายกลนรกกลืนวิญญาณ’ ที่มีพลังเจ็ดสิบส่วนนั้น นอกจากจักรพรรดิแล้ว เกรงว่าถึงจะเป็นราชันในระดับสุดยอดก็ไม่อาจหนีรอดไปได้

“เปิดค่ายกลสังหาร!” ราชาอินหยางเอ่ยเสียงต่ำ

สามราชาจิตวิญญาณมรณะและเวินลั่วอันพร้อมใจกันโคจรวิชาพิเศษ สะบัดฝ่ามือโจมตีธงขนาดใหญ่ที่เหมือนเสาค้ำท้องฟ้า

เพี๊ยะ เพี๊ยะ!

ในมิตินรกสีเลือดเข้มคล้ำ ปรากฏเส้นลำแสงสีโลหิตนับพันนับหมื่น ทะลวงผ่านไปอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงราวกับพายุฝนของดอกท้อ

เส้นลำแสงสีโลหิตแหลมคมหาใดเปรียบ ทุกเส้นสามารถทะลวงผ่านครึ่งก้าวสู่ราชันและกลืนกินชีวิตได้

เส้นลำแสงสีเลือดเกาะกลุ่มแน่นหนานับพันนับหมื่น ทะลวงทิ่มแทงร่างกายไม่หยุดหย่อน ต่อให้เป็นราชันก็ยังโดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสหรือกลายเป็นกองเลือด

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เกิดขึ้นภายในมิตินรกที่มีเส้นลำแสงสีโลหิต ส่วนรอบนอกของแสงที่ปกคลุมอยู่ ชั้นเพลิงควันสีเทาที่ก่อตัวขึ้นนั้นสามารถเผาผลาญได้แม้กระทั่งดวงวิญญาณ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version