บทที่ 806 การโต้กลับของดวงตาเทพเจ้า
“ขอคุณชายทั้งสองไว้ชีวิตด้วย! สมบัติที่ข้าน้อยจะมอบให้ท่านคือ…”
มารหญิงปีกจักจั่นผู้นั้นหน้าแดงราวลูกท้อ ใบหน้าสะสวย เอ่ยอ้อนวอนด้วยท่าทางน่าสงสาร
ตัวนางมีพลังฝึกตนราชันขอบเขตปราณเทวะช่วงต้น พลังสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเร็วที่ชวนตกตะลึงจากพรสวรรค์สายเลือด
แต่ทว่า
ในขณะที่ดูแคลนศัตรู นางยังไม่ได้ตอบโต้ใดๆ ก็ตกเข้าไปในเขตแดนมิติของหนานกงเซิ่ง ทั้งยังต้องแบกรับแก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งกล้าของจ้าวเฟิง
เขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งเป็นถึงแขนงมิติที่หายาก ทันทีที่ตกลงไปภายในแล้วก็ยากจะหนีรอดไปได้
ในวันนี้ เขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งได้หลอมรวม ‘ผลึกปีศาจ’ เข้าไปด้วย อานุภาพและขีดจำกัดของมันจึงแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
เมื่อมารหญิงปีกจักจั่นติดอยู่ในนั้น ก็รู้สึกได้เลยว่ายากจะหนีออกไปได้
“จ้าวเฟิง จะจัดการมารหญิงผู้นี้อย่างไร” หนานกงเซิ่งเอ่ยถาม
เวลานี้ คนทั้งสามอยู่ในเงามิติประหลาดสีเงินประกายม่วง แทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
มารหญิงปีกจักจั่นตื่นตะลึง ความสามารถระดับหนานกงเซิ่ง กลับยังต้องถามความเห็นของเด็กหนุ่มหล่อเหลาผมม่วงที่อยู่ข้างกาย
เหมือนกับว่าเด็กหนุ่มผมสีม่วงผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นผู้นำ
“แค่มารหญิงต่างเผ่าพันธุ์เท่านั้น สังหารไปซะก็สิ้นเรื่อง!” น้ำเสียงของจ้าวเฟิงเย็นชา
ดวงตาของคนทั้งสองปรากฏจิตสังหารที่รุนแรง
มารหญิงปีกจักจั่นรู้สึกเพียงความหนาวเหน็บปกคลุมทั่วร่าง สองคนที่นางเผชิญหน้าเห็นได้ชัดว่าล้วนแต่เป็นคนที่สังหารได้อย่างราบคาบ
“สังหาร!”
จ้าวเฟิงมีเส้นสายสีฟ้าเงินชั้นหนึ่งผุดขึ้นทั่วร่าง รอบกายดูหนักอึ้งขึ้นอย่างประหลาด หมัดของเขาปะทะเข้าร่างของมารหญิงปีกจักจั่นที่อยู่กลางอากาศ
ตู้ม!
มารหญิงปีกจักจั่นสัมผัสได้ถึงแก่นแท้พลังที่น่ากลัวกลุ่มนั้น ปะทะเข้าบนร่างจนแทบกระอักเลือดในทันที
ไม่ใช่ว่านางไม่อาจต่อต้านได้ แต่ว่าเมื่อตัวติดอยู่ในเขตแดนมิติของหนานกงเซิ่ง จึงไม่สามารถโคจรพลังมหาศาลของราชันได้ ปราณที่แท้จริงก็มีขอบเขตจำกัด
เผ่าพันธุ์ของนางเป็นเด่นเรื่องความเร็ว แต่คุณสมบัติร่างกายธรรมดา ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
“แย่แล้ว!”
ร่างของมารหญิงปีกจักจั่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง บาดเจ็บไม่น้อย แต่นางยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไร อันตรายที่รุนแรงถึงชีวิตก็โผล่มาอีก
โครม! ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
ใจกลางฝ่ามือของหนานกงเซิ่งปรากฏคลื่นมีดอากาศสีเงินและม่วงเกี่ยวกระหวัด สับเอามารหญิงปีกจักจั่นเป็นหลายสิบชิ้นอย่างรวดเร็ว
แถวๆ ซากปรักพังเมืองโบราณ
“อ๊าก…”
ชิ้นเนื้อและเลือดของมารหญิงปีกจักจั่นร่วงลงจากฟ้า พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้น
ไกลออกไป
ราชันหนุ่มชุดเกราะและพวกที่กำลังไล่ตามมาสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด
พวกเขาเห็นแต่เพียงจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งผลัดกันลงมือ เพียงแค่สองสามช่วงลมหายใจเท่านั้น มารหญิงปีกจักจั่นก็ถูกสับแยกจนเป็นเพียงชิ้นเนื้อเท่านั้น
กลางอากาศ
จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเริ่มค้นเอาของล้ำค่าจากมารหญิงปีกจักจั่น
ของที่ยึดได้จากราชันปราณเทวะย่อมต้องไม่ธรรมดา แต่ทว่าของส่วนมากไม่มีประโยชน์อะไรกับจ้าวเฟิง
กลับเป็น ‘มุกสะกดเทวะ’ และ ‘วิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ ที่มารหญิงปีกจักจั่นเพิ่งจะได้มาเมื่อครู่ที่มีประโยชน์มากกว่า
มุกสะกดเทวะ เป็นอาวุธวิญญาณในตำนานที่สร้างความมั่นคงให้กับจิตสำนึกและจิตใจ
เมื่อมีมุกเม็ดนี้จะสามารถต่อต้านพลังลวงตาและเคล็ดวิชาศาสตร์วิญญาณต่างๆ ถึงขั้นสามารถกำจัดจิตมาร และส่งผลช่วยฝึกฝนพลังได้
หากจะนับเรื่องมูลค่าแล้ว มุกสะกดเทวะใกล้เคียงกับ ‘ธนูเหนือนภา’ และ ‘กระบี่ฟ้าดิน’
แต่ทว่า
‘วิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ ที่จ้าวเฟิงต้องตา วิชาวิญญาณดังกล่าวสามารถหล่อเลี้ยงและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับดวงวิญญาณ ให้ผลลัพธ์ที่โดดเด่นอย่างยิ่งกับราชันในขอบเขตปราณเทวะ
ไม่ว่าจะ ‘มุกสะกดเทวะ’ หรือ ‘วิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ สำหรับคนต่ำกว่าขั้นเซียนแล้วมีแรงเย้ายวนใจยิ่งนัก
“หนานกงเซิ่ง นิสัยใจคอของเจ้าเหมือนจะได้รับผลกระทบจาก ’ผลึกปีศาจ’ เสียแล้ว มุกสะกดเทวะเม็ดนี้เหมาะกับเจ้า ส่วน ‘วิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ ยกให้ข้าเอาไปฟื้นฟูพลังวิญญาณ” จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย
ด้วยลักษณะพิเศษของดวงตาเทพเจ้า เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้มุกสะกดเทวะ
แต่กลับเป็นการลงมือสังหารของหนานกงเซิ่งเมื่อครู่ ฉีกทึ้งมารหญิงปีกจักจั่นเป็นหลายสิบชิ้น คล้ายไม่ใช่นิสัยของเขาแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าหนานกงเซิ่งจะลงมือสังหารให้สิ้นซาก แต่ก็ไม่ได้ชื่นชอบการสังหารที่ทารุณเช่นนี้
“ได้”
หนานกงเซิ่งเข้าใจความหวังดีของจ้าวเฟิง เขาเองก็สัมผัสได้ว่าพลังความชั่วร้ายในผลึกปีศาจส่งผลกระทบต่อตนเองเช่นกัน
ต่อจากนั้น หนานกงเซิ่งเก็บ ‘มุกสะกดเทวะ’ เอาไว้ รู้สึกถึงความเย็นสบายลอยไปแตะพลังดวงวิญญาณ
แววตาของเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนกว่าที่ผ่านมามาก
จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ เข้ามาในมิติเทพลวงตาครั้งนี้ ความสามารถของเขาไม่มากพอ หนานกงเซิ่งจะเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
อีกทั้ง ‘วิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ ก็ไม่ได้แย่นัก สามารถเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงคาดคะเนว่า ‘วิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ กระบวนท่านี้สามารถทำให้ขั้นดวงวิญญาณของตนเองฟื้นฟูไปจนถึงขอบเขตปราณเทวะช่วงต้นและช่วงกลาง
ถึงตอนนั้น การฟื้นคืนของ ‘พลังจักรพรรดิ’ ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ในตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้วิชาวิญญาณดังกล่าว
สวบ! สวบ! สวบ!
เกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้นจากไกลๆ มีคนจำนวนยี่สิบกว่าคนไล่ตามออกมาจากในซากเมืองโบราณ
ผู้นำมาเป็นบุรุษหนุ่มในชุดเกราะโบราณและดรุณีผมม่วง ทั้งคู่ต่างอยู่ในขั้นราชันปราณเทวะ
บุรุษหนุ่มชุดเกราะโบราณเป็นราชันอาวุโสในระดับลึกซึ้ง
ดรุณีผมม่วงผู้นั้นเป็นราชันรุ่นเยาว์ หน้าตาสะสวย เรือนผมสีม่วงที่โบกสะบัดทำให้ดูสูงส่งชวนฝัน
“ข้าน้อย ‘เฉาอวิ๋น’ เป็นคนในตระกูลเฉาซึ่งเป็นหนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูง ขอบังอาจถามว่าท่านทั้งสองมาจากที่ไหน?”
บุรุษหนุ่มชุดเกราะโบราณผู้นั้นประสานมือคารวะพลางเอ่ย
การลงมือสังหารมารหญิงปีกจักจั่นอย่างรวดเร็วเปิดเผยเมื่อครู่ของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่ง ทำให้ใจเขาหวาดกลัวยำเกรง
ตระกูลเฉา หนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูง!
ในใจของจ้าวเฟิงเย็นวาบเล็กน้อย แปดตระกูลชนชั้นสูงของราชวงศ์ต้าเฉียน ทุกตระกูลเทียบเท่าได้กับสำนักสามดาวเป็นอย่างน้อย หรือบางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่านั้น หยั่งรากลึกมั่นคงในราชวงศ์ และมีอิทธิพลมากยิ่งกว่า
“จีหลาน เป็นศิษย์ของ ‘สกุลจี’ หนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูง ท่านทั้งสองช่วงชิงเหยื่อที่พวกเราไล่ล่าเช่นนี้ น่าจะมีคำอธิบายอะไรกระมัง”
ในดวงตาของดรุณีผมม่วงปรากฏระลอกแสงสีม่วงอ่อน
เอ๊ะ!
จ้าวเฟิงใจเต้น เพิ่งสังเกตว่า ‘จีหลาน’ คนนั้นมีสายเลือดดวงตาที่ไม่ธรรมดาเลย
“คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองคนจะเป็นคนของหนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูง”
หนานกงเซิ่งไม่กล้าดูแคลนแม้แต่น้อย
ก่อนที่จะเชื่อมต่อกับมิติเทพลวงตา ผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินเคยอธิบายถึงสถานการณ์ขั้วอำนาจของราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป
ไม่ว่าจะหนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่ตระกูลใดก็ตาม พลังอำนาจล้วนอยู่เหนือ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน’ ที่เป็นสำนักสามดาวที่เขาอยู่ทั้งสิ้น
เมื่อเห็นจ้าวเฟิงและพวกยังเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง มุมปากของบุรุษหนุ่มเกราะโบราณ ‘เฉาอวิ๋น’ ยกขึ้นยิ้ม
เขาแน่ใจได้ว่า ตระกูลหรือสำนักที่คนทั้งสองเคยเจอไม่อาจเทียบเท่ากับแปดตระกูลชนชั้นสูงได้
“เอาแบบนี้แล้วกัน พวกท่านสองคนเอา ‘มุกสะกดเทวะ’และ ‘วิชาหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ ออกมา แล้วของรางวัลจากมารหญิงผู้นั้น พวกเราจะไม่ถามถึงอีก” เฉาอวิ๋นเอ่ยและยิ้มเรียบๆ
ดรุณีผมสีม่วงจีหลานเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ไม่พูดอะไรออกมา เหมือนมีอะไรไม่พอใจอยู่
“เฮอะ! ต่อให้เป็นองค์ชายแห่งต้าเฉียนมาด้วยองค์เอง แล้วจะอย่างไร? ข้าไม่มีนิสัยคายเนื้อที่เข้าปากออกมาอีกครั้งอยู่แล้ว”
จ้าวเฟิงหัวเราะหยาม
เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว เฉาอวิ๋นและจีหลานหน้าเปลี่ยนสี ในกลุ่มคนที่ตามมาด้านหลังก็เกิดกระแสความตกใจขึ้น
“เด็กสามหาว!”
“ก็แค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำคนหนึ่ง ช่างไม่กลัวว่าพูดจาโอหังแล้วจะไม่มีลิ้นพูด”
“ผู้เยาว์ กล้าบอกชื่อสำนักที่เจ้าสังกัดอยู่หรือไม่”
คำพูดของจ้าวเฟิงทำให้กองกำลังตระกูลชนชั้นสูงและสมาชิกยอดฝีมือเกิดความรู้สึกต่อต้าน
สีหน้าของเฉาอวิ๋นคล้ำเครียดลงไปเล็กน้อย แต่เขารู้สึกได้ว่าจ้าวเฟิงผู้นี้มีความสามารถ และในเวลาเดียวกันก็มีบางส่วนที่มองไม่ออก
การสังหารมารหญิงปีกจักจั่นในตอนก่อน ก็เป็นเด็กหนุ่มผมม่วงผู้นี้ชิงลงมือก่อน
“ให้ข้าดูก่อนว่าเจ้าจะมีความสามารถเท่าไรกัน!” จีหลานหัวเราะเสียงเย็น
พู่ว! เรือนผมสวยสีม่วงของนางเต้นระบำในพายุ ประหนึ่งภูติสีม่วงตนหนึ่ง
แต่จ้าวเฟิงผู้อยู่ตรงข้ามมีผมสีม่วงเช่นกัน แต่ประกายของเส้นผมยังงามกว่าจีหลานเสียอีก
จีหลานรู้สึกไม่ยินดีเท่าไร เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่เพียงแต่หล่อเหลา ยังมีเรือนผมสีม่วงแบบเดียวกัน กระทั่งสวยงามว่าตนเองเสียด้วยซ้ำไป
“เนตรดาราม่วง!”
นัยน์ตาสองข้างของจีหลานปรากฏแสงดาวสีม่วงที่เลือนรางราวภาพฝัน ดั่งดวงดาวสีม่วงในผืนนภามืดมิด พลังดวงตาวิญญาณที่กล้าแกร่งทะลวงดิ่งไปหาจ้าวเฟิง
ในวินาทีนั้น
ชั้นวิญญาณของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งต้องเผชิญกับดวงดาวสีม่วพันหมื่นเส้นสายที่กำลังเผาไหม้ จนทำให้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หากเปลี่ยนเป็นราชันทั่วไป เกรงว่าจะตกอยู่ในกับดับของวิชาดวงตาวิญญาณ สูญเสียพลังไป ดวงวิญญาณได้รับบาดเจ็บหนัก
ต่อจากนั้น เฉาอวิ๋นและพวกจะอาศัยโอกาสนี้เข้าโจมตี แต่ทว่า จินตนาการและความเป็นจริงก็มักแตกต่างอยู่มาก
บุรุษหนุ่มชุดดำและเด็กหนุ่มผมม่วงที่ปรากฏในครรลองสายตายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ผลกระทบแต่อย่างใด
แววตาของหนานกงเซิ่งสว่างวาบ โคจรพลังราชันขัดขวางการโจมตีของวิชาดวงตาวิญญาณที่แฝงศาสตร์ลวงตาเอาไว้ด้วย
แต่จ้าวเฟิงยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยราวกับหุ่นไม้ ไม่มีปฎิกิริยาแต่อย่างใด
“เป็นไปได้อย่างไร…”
ดรุณีผมม่วง ‘จีหลาน’ พูดอะไรไม่ออก
หนานกงเซิ่งเป็นถึงราชันในระดับลึกซึ้ง ไม่ได้ผลกระทบใดๆ ก็ไม่แปลกใจ
อีกอย่างคนที่จีหลานตั้งใจจะโจมตีคือ จ้าวเฟิง
แต่เด็กหนุ่มผมม่วงที่ปรากฏกายขึ้นในครรลองสายตาช่างเหมือนทะเลเงียบสงัด ผลกระทบจากการโจมตีชั้นวิญญาณไม่มีแม้แต่นิดเดียว
“เฮอะ!”
จ้าวเฟิงที่เป็นดั่งท่อนไม้ มีแสงมายาสีม่วงราวกับหมอกขึ้นชั้นหนึ่งในดวงตาซ้าย ภายในทะลักพลังดวงตาสายฟ้าสีม่วงที่ถูกฝึกฝนจนถึงขีดสุด
พลังดวงตาสายฟ้าสีม่วงยังล้อมรอบด้วยแสงดาวสีเดียวกัน เป็นพลังดวงตาวิญญาณของจีหลาน
ตู้ม!
กายใจของจีหลานใจสั่นสะท้าน สีหน้าซีดขาว จ้องไปที่ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงทันที “สายเลือดดวงตาของเจ้า…”
ในเวลานั้น
สายเลือดดวงตาของนางหวาดกลัวจนสั่นสะท้าน ดวงวิญญาณและดวงตาได้รับอาการบาดเจ็บและการโต้กลับไปไม่น้อย
ยากจะคิดได้ว่าความลึกซึ้งในศาสตร์วิญญาณของเด็กหนุ่มจะถึงขั้นไหน ถึงเอาการโจมตีพลังดวงตาของจีหลานย้อนคืนกลับไปราวกับสวนหมัดมวยอย่างนั้น
อีกทั้งการโต้กลับพลังดวงตาของจ้าวเฟิงมีกลิ่นอายหมื่นอัสนีเทวะที่ไม่สูญสลายและควบคุมสรรพชีวิตทั้งหมดได้ กดดันจนทำให้นางไม่อาจจะหายใจ
“จีหลาน เจ้าเป็นอะไรไป?” เฉาอวิ๋นและพวกหน้าถอดสี รู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก
‘เนตรดาราม่วง’ ของจีหลาน ที่ผ่านมาล้วนแต่ไม่มีอุปสรรคใด ขนาดอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิส่วนหนึ่งยังหวาดกลัวนัก
แต่ดูตอนนี้
ใบหน้าของจีหลานซีดเผือด ท่าทางราววิญญาณหลุดลอย ร่างแบบบางสั่นสะท้าน ทำให้พอจะจินตนาการถึงอาการยามพ่ายแพ้ของนาง
“สายเลือดดวงตาของเด็กหนุ่มผู้นั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“เพียงแค่การโต้กลับของสายเลือดดวงตาก็ทำให้ จีหลานแพ้ย่อยยับได้ขนาดนี้”
“ผมและดวงตาของเด็กคนนี้ก็เป็นสีม่วงและยังชำนาญศาสตร์วิญญาณด้วย คงจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลจีใช่ไหม?”
อัจฉริยะยอดฝีมือของตระกูลชั้นสูงทั้งสองถูกกดข่ม
ในเวลาดังกล่าว กระทั่งเฉาอวิ๋นที่เป็นราชันระดับลึกซึ้งยังไม่กล้าจะลงมือโดยง่าย
จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่ง คนหนึ่งครอบครองสายเลือดดวงตาแขนงวิญญาณที่ลึกล้ำเกินหยั่ง ส่วนอีกคนเป็นราชันระดับลึกซึ้งที่มีพรสวรรค์มิติ
“ไป” จ้าวเฟิงกวาดสายตามองอย่างเย็นชา และหายตัวไปจากจุดเดิมพร้อมกับหนานกงเซิ่ง
วินาทีต่อมา
แสงสีเงินสว่างก็พาคนทั้งสองโบยบินเหนือศีรษะของกลุ่มคนไปยังพื้นที่ของซากเมืองโบราณ
สีหน้าของเฉาอวิ๋นและพวกลูกศิษย์ตระกูลชนชั้นสูงบูดเบี้ยว
สองคนนี้ไม่ได้หยิ่งผยองบ้าบิ่นธรรมดา พวกเขาบินผ่านศีรษะกลุ่มคนไปด้วยซ้ำ
แต่ความสามารถของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งลึกล้ำเกินคาดเดา ทำให้คนทั้งหลายไม่กล้าลงมือ
“เอ๊ะ! เหมือนว่าพวกเขาคิดจะยื่นมือเข้าแทรกแซงผลประโยชน์ในซากเมืองโบราณ?”
“ที่ซากปรักหักพังฟากนั้นมี ‘จ้าวหยูเฟย’ ของสกุลตวนมู่อยู่ นางเก่งกาจไร้เทียมทาน คนทั้งสองนี้ไปเกรงว่าจะเสียทีจนดูไม่ได้”