บทที่ 808 โครงกระดูกทอง
ในเวลาดังกล่าว
อากาศเหนือตำหนักผุพัง พลังมหาศาลของราชันทั้งสี่เกาะกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และหลอมรวมเข้าไปภายในเขตแดนมิติของ ‘ชายหนุ่มหัวล้าน’ ในชุดนักรบสีดำผู้นั้น
ตู้ม——
ชายหนุ่มผมล้านรอให้ราชันทั้งสี่ปรากฏกายในเงาทับซ้อนของเขตแดนที่มืดมิดราวหุบเหวปีศาจ เขตแดนมิติแห่งนั้นเกือบจะเป็นรูปธรรม สีของมันยิ่งเข้มขึ้นไปเรื่อยๆ กระทั่งดำสนิทราวน้ำหมึก
ราชันทั้งสี่ร่วมมือกัน แรงกดดันและกำลังรบที่สร้างขึ้นมากพอจะโต้กลับโจมตีราชันในระดับสุดยอดส่วนหนึ่งให้บาดเจ็บได้
โดยเฉพาะ ‘ชายหัวล้าน’ ชุดดำผู้นั้นเป็นถึงยอดฝีมืออาวุโส กำลังรบเทียบเท่ากับราชันระดับสุดยอดได้
“แม่นางหยูเฟย พลังของเจ้าทำให้พวกข้าศิโรราบ แต่ด้วยพลังอำนาจของสกุลตวนมู่เพียงฝ่ายเดียว เกรงว่าจะไม่สามารถรับมือของพวกข้าทั้งสี่ได้”
ชายหัวล้านในชุดนักรบสีดำสนิทบีบเข้าใกล้เรื่อยๆ
แต่ทว่า
เมื่อเผชิญหน้ากับการร่วมมือกดดันของราชันทั้งสี่ หน้าของอิสตรีชุดม่วงไม่เปลี่ยน ผิวพรรณผุดผาด ทั่วร่างปรากฏระลอกแสงสุกใสสีม่วงราวลูกแก้ว
มองไปในทันใด นั่นเหมือนจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อธรรมดา แต่เป็นเทพธิดาหยกน้ำแข็งเลอค่าสูงส่งที่เคลื่อนไหวร่างกายราวกับมีชีวิต
“ไม่มีเขตแดนมิติที่จับต้องได้ ก็ไร้ประโยชน์ต่อข้า”
สตรีในชุดม่วงยิ้มน้อยๆ
นางและผู้ฒ่าชุดเขียวผู้หนึ่งเบื้องหลังนางเหมือนอยู่ในโลกน้ำวนที่ไร้รูปร่าง แรงกดดันจากราชันทั้งสี่ซึ่งรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวสลายไปเหมือนโยนหินทิ้งลงไปในมหาสมุทร ไร้ซึ่งร่องรอยใด
“นี่ทำได้อย่างไรกัน? นอกเสียจากว่าจะมีโลกมิติส่วนตัว มิเช่นนั้นแล้วจะต้านทานเขตแดนมิติที่ข้ารวมพลังของราชันทั้งสี่ได้อย่างไร”
‘ชายหัวล้าน’ ในชุดนักรบสีดำสนิทหน้าถอดสีไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ เขาประมือกับจ้าวหยูเฟยแห่งสกุลตวนมู่ นอกจากไม่ได้เปรียบแล้วยังเสียเปรียบ
ร่วมมือกันลงมือขัดขวางตอนนี้ ก็ยังคงไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด
“จิวอู๋จี้! เจ้าเป็นยอดฝีมือผู้โดดเด่นในบรรดาราชันระดับลึกซึ้งโดยแท้ แต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอัจฉริยะผู้โดดเด่นล้ำเลิศที่สุดตั้งแต่ที่สกุลตวนมู่เคยมีมา เกรงว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ไม่มากพอ”
ผู้เฒ่าชุดเขียวของสกุลตวนมู่เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
เหมือนกับว่าเขาเชื่อมั่นยิ่งกว่าตัวของจ้าวหยูเฟยที่อยู่ข้างกายเสียอีก
“อัจฉริยะ…ที่โดดเด่นล้ำเลิศที่สุดตั้งแต่ที่สกุลตวนมู่เคยมีมา?”
“หรือว่าข่าวลือจะเป็นจริง? จ้าวหยูเฟยผู้นั้นมีสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ อันดับที่สิบเก้าของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ จริงๆ?”
‘จิวอู๋จี้’ ชายหัวล้านและราชันทั้งสี่ยากจะเชื่อ
ขั้วอำนาจสำนักหรือไม่ก็ตระกูลต่างๆ ที่อยู่ด้านหลังจิวอู๋จี้และราชันทั้งสี่ในบริเวณรอบๆ ล้วนแต่มีสีหน้าตื่นตระหนก
“จิวอู๋จี้เป็นยอดฝีมืออาวุโส ทั้งกำลังรบก็เทียบเท่าได้กับอัจฉริยะสามสิบอันดับแรกของรายชื่อจักรพรรดิได้เป็นอย่างน้อย คิดไม่ถึงเลยว่า…”
สถานการณ์ในเวลานี้
จิวอู๋จี้และราชันที่เหลือรับมือจ้าวหยูเฟยกับผู้เฒ่าชุดเขียว ดูเหมือนเป็นสี่คนประมือกับสองคน แต่ผู้ที่ลงมือจริงๆ มีเพียงจ้าวหยูเฟยคนเดียวเท่านั้น
“ข้าไม่เชื่อ แยกกันโจมตี!”
จิวอู๋จี้หัวเราะเสียงเย็น เงาเขตแดนมิติดำมืดราวหมึกโดยรอบหดกลับอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ!
ร่างของเขาวูบไหวน้อยๆ นำราชันทั้งสามที่เหลือตรงดิ่งไปสังหารจ้าวหยูเฟยและผู้เฒ่าชุดเขียว
“ไป!”
จ้าวหยูเฟิงตะโกนเสียงดัง มือขาวนวลแบออก ปรากฏกลุ่มลำแสงเพลิงม่วงราวผลึก กลายเป็นวงแหวนไร้รูปร่างปะทะเข้าไปกวาดล้างทั่วบริเวณ
พลั่ก พลั่ก พลั่ก!
ราชันทั้งสามคนที่เหลือยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกพลังที่รุนแรงและทรงอำนาจกระแทกจนกระเด็นออกไป หนึ่งคนในนั้นถึงกับกระอักเลือดออกมา
“ทำลาย——”
มีเพียง ‘จิวอู๋จี้’ ในชุดดำเท่านั้นที่เพียรฝืนเข้าไปใกล้ ในฝ่ามือผุดลำแสงพายุหมุนที่มืดมิดแหลมคมกลุ่มหนึ่งขึ้น ก่อนทะลวงโจมตีผ่านกลุ่มแสงผลึกนั้นเสียงดังโครม
กำลังรบที่แข็งแกร่งในระดับนี้ ทำให้สำนักต่างๆ ที่อยู่ด้านหลังราชันทั้งสี่อดจะโห่ร้องไม่ได้
ฟู่~
แท่งแสงแหลมคมที่หมุนคว้าง พลังที่หลงเหลือหลายส่วนปะทะไปที่จ้าวหยูเฟย เรือนร่างแบบบางของฝ่ายหลังสะท้านเล็กน้อย ทั่วร่างสว่างระยิบระยับ แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“นี่เป็นคุณสมบัติร่างกายแบบไหนกันแน่” จิวอู๋จี้หน้าถอดสีอีกครั้ง
โครม!
ผู้เฒ่าชุดเขียวและจ้าวหยูเฟยอาศัยโอกาสนี้โจมตีกลับ จิวอู๋จี้ถูกกระแทกออกไป
จิวอู๋จี้ตกอยู่ในอาณาเขตพลังประหลาดที่เงียบสงัดชั้นหนึ่ง ต้านทานการโจมตีของคนทั้งสอง และฝืนพยายามให้ร่างมั่นคง แต่เลือดลมกลับปั่นป่วนขึ้น
นี่ขนาดว่าเป็นกำลังรบของเขาผู้โดดเด่นในรุ่นเดียวกัน คนระดับต่ำกว่าจักรพรรดิยากจะรับมือได้
จ้าวหยูเฟยและผู้เฒ่าชุดเขียวสีหน้าเคร่งขรึม
‘จิวอู๋จี้’ ผู้นี้เป็นคนของสำนักสามดาวขนาดใหญ่ระดับสุดยอด ยังอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ แต่กลับมีกำลังรบที่เอาชนะคนต่ำกว่าขั้นจักรพรรดิลงไป
“จ้าวหยูเฟย ข้าคนแซ่จิวจะถอยให้ก้าวหนึ่ง! ทรัพยากรที่อยู่แถวโครงกระดูกนี้ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง”
นัยน์ตาสองข้างของจิวอู๋จี้เย็นชา เพียรสะกดกั้นความไม่พอใจ
ตัวของเขาเองยังมีเคล็ดวิชาและไม้ตายที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งอยู่อีก แต่ว่าในตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นของการเชื่อมโยงเข้ากับมิติเทพลวงตา จะต้องเก็บสะสมไอสวรรค์เอาไว้ก่อน
ผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายแย่งชิงคือสมบัติล้ำค่าแถวโครงกระดูกร่างหนึ่งด้านล่าง
มองเห็นเพียงใต้ศาลาทรุดโทรมมีโครงกระดูกเผ่าอมนุษย์ที่สมบูรณ์ร่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าอยู่มาแล้วกี่ปี ทั่วร่างสาดแสงเรืองรองประหนึ่งมารธาตุทอง
ในบริเวณร้อยสองร้อยลี้ใกล้โครงกระดูกเผ่าอมนุษย์สีทอง มีสมบัติส่วนที่มากพอให้จักรพรรดิ หรือกระทั่งเซียนต้องตาร้อนอยากจะครอบครอง
อันดับแรกคือผลึกเซียนที่สาดซัดแรงกดดันแกร่งกล้าชิ้นหนึ่ง
ผลึกเซียนเหล่านี้ ส่วนมากเป็นผลึกเซียนระดับล่างที่มีคุณภาพไม่เลว เมื่ออยู่ในโลกภายนอกแล้วมูลค่าไม่อาจประเมินได้
ผลึกเซียนในพื้นที่บริเวณนี้มีหลายสิบชิ้น
นอกจากนี้ ยังมี ‘อาวุธชั้นนภา’ สองชิ้นและ ‘มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์’ อีกชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดใจคนที่สุด กลิ่นอายและพลังที่สาดซัดออกมาทำให้ราชันทั่วไปไม่สามารถเข้าใกล้ได้โดยง่าย
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในโลกแบ่งเป็นขั้นมนุษย์ ขั้นจิตวิญญาณ ขั้นดิน ขั้นฟ้า
อาวุธชั้นนภาเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด โดยปกติแล้วมีเพียงเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับถึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของมันได้
แต่มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ปกติแล้วระดับขั้นของมันคืออาวุธชั้นนภา ต่ำที่สุดของค่อนข้างเทียบเคียง
มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มีเงื่อนไขต่อพลังฝึกตนของผู้ที่ครอบครองค่อนข้างต่ำ แต่ก็จะมีเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย
มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งยังแฝงไปด้วยรายละเอียดของมรดกที่สอดคล้องกันส่วนหนึ่ง
นอกจากผลึกเซียน อาวุธชั้นนภา และมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์แล้ว พื้นที่ในบริเวณนั้นยังมีทรัพยากรหรือว่าอุปกรณ์ชั้นยอดกระจัดกระจายทั่วไป
รวมไปถึงน้ำเต้าเก็บของ ถึงขั้นมีผลไม้จิตวิญญาณและโอสถวิญญาณวิเศษที่ถูกผนึกเอาไว้ด้วยวิธีพิเศษ
“เจ้าของโครงกระดูกร่างนี้ พลังในช่วงชีวิตก่อนบางทีอาจจะถึงระดับขั้นครึ่งเซียน หรือเทียบเท่าได้กับเซียนเป็นอย่างน้อย”
“มรดกตกทอดที่เซียนหรือครึ่งเซียนผู้ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งทิ้งเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะได้มาเพียงหนึ่งในหลายสิบส่วน หรือหนึ่งในร้อยส่วนก็เพียงพอแล้ว”
อัจฉริยะยอดฝีมือของขั้วอำนาจสำนักหรือตระกูลชั้นสูงส่วนหนึ่งโดยรอบต่างใจเต้นถี่ระรัว
แต่ในซากเมืองพังโบราณนี้ สกุลตวนมู่เป็นเพียงตระกูลใหญ่หนึ่งเดียว
ดีที่มียอดฝีมืออาวุโสอย่างพวกจิวอู๋จี้คอยจัดระเบียบขั้วอำนาจสำนักและตระกูลต่างๆ จึงสามารถต้านทานจ้าวหยูเฟยได้
“แบ่งกันละครึ่งงั้นรึ? โครงกระดูกร่างนี้เป็นคนของพวกเราสกุลตวนมู่พบก่อน”
แววตาของจ้าวหยูเฟยเย็นชา
“เฮอะ เฮอะ…จ้าวหยูเฟย หากว่าต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกของเราด้านหลังมียอดฝีมือครึ่งก้าวสู่ราชันช่วงกลาง และขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอดอีกมาก หากว่าเจ้าเดินทางคนเดียว บางทีเจ้าอาจจะโชคดี แต่ว่าอัจฉริยะยอดฝีมือของพวกสกุลตวนมู่พวกนี้…”
จิวอู๋จี้เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์
ในส่วนของคนมีฝีมือสูง ฟากของจ้าวหยูเฟยได้เปรียบอย่างมาก
แต่ด้านยอดฝีมือชั้นกลาง เบื้องหลังของจิวอู๋จี้และราชันที่เหลือมีคนจำนวนเป็นสามสี่เท่าของบ้านสกุลมู่ได้
จะต้องรู้ว่า
กำลังรบครึ่งก้าวสู่ราชันที่เข้ามาภายในมิตินี้ไม่ได้ต่างจากราชันสักเท่าไรนัก
“เช่นนั้นก็ลองดู…”
จ้าวหยูเฟยไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด
ผู้เฒ่าชุดเขียวที่อยู่ข้างกายนางก็ระบายยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ตื่นตระหหนกด้วยซ้ำไป
พรึ่บ!
ในเวลานี้เอง แสงสีเงินชั้นหนึ่งคืบคลานเข้ามาใกล้
“เอ๊ะ! ด้านหน้าเหมือนมีกลิ่นอายแกร่งกล้าที่คุ้นเคย”
จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำขณะอยู่ในลำแสงสีเงินดังกล่าว
“จริงด้วย เหมือนว่าจะคุ้นเคย”
หนานกงเซิ่งเอ่ยพลางผงกศีรษะ
คนทั้งสองเข้าใกล้วงนอกของบริเวณที่ตั้งของซากตำหนักแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้จะเป็นวงนอก ที่นี่ก็มีขั้วอำนาจหรือไม่ก็ยอดฝีมือส่วนหนึ่งลอบสำรวจและสอดแนมอยู่อย่างลับๆ
ด้านในเป็นตัวแทนกองกำลังที่แข็งแกร่งของจิวอู๋จี้และพวก
ความสามารถทั้งหมดของกองกำลังและขั้วอำนาจเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องอยู่เหนือ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’ ที่จ้าวเฟิงอยู่อย่างมากมาย
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ จ้าวเฟิงก็ได้ยินเสียงถกเถียงกันเรื่อง ‘อาวุธชั้นนภา’ กับ ‘ผลึกเซียน’
ผลัวะ โครม!
ในเวลาดังกล่าว กลางอากาศเหนือตำหนักก็เริ่มต่อสู้กัน
ราชันทั้งหมดหกคนก็เปิดฉากต่อสู้ที่น่าตื่นตระหนกเหนือโครงกระดูกสีทอง
ในราชันทั้งหกนั้น มีเซียนชุดม่วงที่ผุดผาดไร้รอยแปดเปื้อนใดๆ และโดดเด่นที่สุด
ทุกครั้งที่นางโจมตี ปราณที่แท้จริงอันแข็งกล้าซึ่งงดงามราวผลึกแก้วจะสามารถเข้าใกล้ราชันปราณเทวะอย่างสบายๆ
แต่สำหรับพวกครึ่งก้าวสู่ราชันไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย
อั่ก! อั่ก!
นอกจากจิวอู๋จี้และราชันในขอบเขตปราณเทวะบางคน ที่เหลือก็บาดเจ็บกันถ้วนหน้า
“จ้าวหยูเฟยผู้นั้นเป็นแค่ราชันปราณเทวะในช่วงกลางใกล้จะช่วงปลาย ปราณที่แท้จริงกลับแข็งกล้าและแน่นหนา ต่อสู้กับราชันจำนวนมากเช่นนี้ ต่อให้ใช้กลยุทธ์คนมากก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
สีหน้าของจิวอู๋จี้ดำคล้ำสลับไปมา
ตอนนี้เขายังไม่กล้าจะใช้กลยุทธ์คนมาก เพราะว่าจ้าวหยูเฟยและผู้เฒ่าชุดเขียวไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
จิวอู๋จี้คาดเดาว่า จ้าวหยูเฟยมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะมีมิติส่วนตัวแห่งหนึ่ง รวมไปถึงเคล็ดวิชาลับและไม้ตายที่แข็งแกร่งไม่น้อยที่ยังไม่ได้ใช้
พรึ่บ!
แสงสีเงินชั้นหนึ่งเข้าไปยังที่ตั้งกองกำลังของพวกราชันและจิวอู๋จี้
“หยูเฟย…”
จ้าวเฟิงพึมพำเสียงเบา ทอดสายตาไปยังสตรีผู้ผุดผาดราวเซียน นางมิใช่เด็กหญิงรูปร่างเก้งก้างในยามก่อนอีกต่อไป แต่ได้เติบโตกลายเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งและโดดเด่นเหนือใครอย่างแท้จริง
“จ้าวหยูเฟย!”
หนานกงเซิ่งมีสีหน้าตื่นตกใจ
ในตอนที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ หนานกงเซิ่งและจ้าวหยูเฟยก็เคยประมือกัน เขารู้ถึงความน่ากลัวของสตรีผู้นี้เป็นอย่างดี
“จ้าวเฟิง เจ้ามีแผนการจะทำอะไร?” แววตาของหนานกงเซิ่งมีแววประหลาดใจ ทอดมองไปทางจ้าวเฟิง
ในตอนนี้ การรบของราชันทั้งหกคนยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จิวอู๋จี้และขั้วอำนาจทั้งสี่ด้าน ครึ่งก้าวสู่ราชันส่วนหนึ่งด้านหลังปลดปล่อยการโจมตีระยะไกล คอยให้ความช่วยเหลือ
“ใครกัน!” กำลังคนด้านหลังกลุ่มราชันสังเกตเห็นจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเข้ามาใกล้
“ชิงมา!”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเย็นในเงาเขตแดนมิติของหนานกงเซิ่ง ทะลุเข้าไปในกองทัพอันอยู่เบื้องหลังของราชัน
ทรัพยากรล้ำค่าที่อยู่แถวๆ โครงกระดูกมีมูลค่าสูงขึ้นทุกที ไล่ลำดับจากนอกเข้าด้านใน
ถึงแม้ว่าจะเป็นในรัศมีสิบลี้ก็มีสมบัติล้ำค่าส่วนหนึ่ง
สมบัติล้ำค่าส่วนมากในพื้นที่ภายนอกถูกกองทัพเบื้องหลังราชันทั้งสี่ควบคุมและขุดค้น
“อ๊าก! แหวนเก็บของของข้า——”
“ยั้งมือก่อน! อุกกาบาตดาราทมิฬ ที่ข้าเพิ่งขุดเจอ…”
“ใครกัน! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าขโมยทรัพยากรของ ‘วังเก้านิรย’ (นรกทั้งเก้า) ของข้า!”
กำลังคนสำนักที่อยู่เบื้องหลังของจิวอู๋จี้วุ่นวายชุลมุน ร้องตะโกนโวยวายไม่หยุด
พรึ่บ!
แต่ทว่า แสงสีเงินกลุ่มนี้ทับซ้อนแทรกเข้าไปในอากาศ กลุ่มคนนั้นราวกับเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่มีคน
คนในขั้นต่ำกว่าครึ่งก้าวสู่ราชันยังจับร่องรอยใดไม่ได้
อีกทั้งในทุกครั้งที่ลำแสงสีเงินลอยละลิ่วลงมา ก็จะนำพลังมิติชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งมาด้วย ทั้งยังมีการกดดันจากแก่นแท้พลังราวขุนเขาที่ยิ่งใหญ่
ครึ่งก้าวสู่ราชันที่โดนปล้นชิงยังไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเอาคืนเสียด้วยซ้ำ
“ใครกัน!”
จิวอู๋จี้และพวกถลึงตามองด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างอดไม่ได้
จ้าวหยูเฟยที่กำลังต่อสู้อยู่ นัยน์ตางามมองมาแล้วพูดไม่ออกเล็กน้อย
“เป็นเขา…หนานกงเซิ่ง?”