Skip to content

King of Gods 809

King Of Gods

บทที่ 809 การแย่งชิงที่อลหม่านวุ่นวาย

“เจ้าสองคนนี่มาจากไหนกัน? กระทั่งคนของ ‘วังเก้านิรย’ ยังกล้าปล้นชิง”

“พรสวรรค์มิติ! แก่นแท้พลังกาย? ช่างเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!”

บริเวณแถวๆ โครงกระดูกสีทองยังมีพวกยอดฝีมือและกำลังคนยึดครองอยู่ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ตาก็เบิกกว้างอย่างตกใจ

สวบ! สวบ!

แสงสีเงินนั้นแฝงเขตแดนพิเศษในแขนงมิติไว้แห่งหนึ่ง โบยบินอย่างว่องไว ร่องรอยการเคลื่อนไหวแปลกประหลาดเกินจะคาดเดา

ทุกครั้งที่แสงสว่างวาบ คนทั้งสองคนในแสงสีเงินสามารถช่วงชิงเอาสมบัติส่วนหนึ่งมาได้ ท่าทางปราดเปรียวอย่างยิ่ง เหมือนว่ามีประสบการณ์โชกโชน

“เป็นใครมาจากไหนกัน กล้าลงมือกับ ‘วังเก้านิรย’ ของข้า”

แววตาของ ‘จิวอู๋จี้’ ในชุดนักรบสีดำสนิทเย็นชา กวาดสายตามองด้านหลัง ร้องลั่นอย่างอดไม่ได้

ในทุกครั้งที่ลงมือ แสงสีเงินจะปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มชุดดำ รวมไปถึงเด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่งอยู่รางๆ

คิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษหนุ่มชุดดำในนั้นเป็นราชันระดับลึกซึ้งในแขนงมิติ

ยิ่งเมื่อร่วมมือกับยอดฝีมือที่ฝึกฝนร่างกายผู้นั้น เรียกได้ว่าเป็นเสือติดปีก

ขนาดฟากของสกุลตวนมู่ก็ตื่นตระหนกเช่นกัน

“อะไรกันหยูเฟย? เจ้ารู้จักสองคนนั้น…”

ผู้เฒ่าชุดเขียวเอ่ยอย่างแปลกใจ

จ้าวหยูเฟยอยู่ในการต่อสู้ ก็สังเกตเห็นสภาวะของกลุ่มคน ‘ผมม่วงชุดดำ’ ทั้งสอง สีหน้าผิดปกติไปเล็กน้อย

“พบเจอสหายเก่าคนหนึ่ง บางทีหนานกงเซิ่งคงตั้งใจจะช่วยพวกเรากระมัง”

จ้าวหยูเฟยระบายยิ้มออกมา

เมื่อเห็นเช่นนั้น นางจึงไม่ตั้งรับเป็นหลักอีก แต่เพิ่มการโจมตี สร้างแรงกดดันต่อจิวอู๋จี้และพวก

“ฮ่า ฮ่า! เช่นนั้นก็ดีนัก!”

ผู้เฒ่าชุดเขียวอดทนรอสถานการณ์เช่นนี้แทบไม่ไหว จึงเพิ่มการโจมตีให้มากขึ้น

ในขณะนั้น

จิวอู๋จี้และพวกราชันต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีกลับที่รุนแรงและรวดเร็วของผู้เฒ่าชุดเขียวกับจ้าวหยูเฟย

นอกจาก ‘จิวอู๋จี้’ แล้ว ราชันทั้งสี่ที่เหลือต่างบาดเจ็บกันไปไม่มากก็น้อย

พรึ่บ!

แสงสีเงินอันเป็นที่อยู่ของคนทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ลอยผ่านกองกำลังของ ‘วังเก้านิรย’ และไปขโมยของกองกำลังสำนักอื่นอีกหลายแห่งด้วย

“เป็นหัวขโมยมาจากไหนกัน กล้าลงมือกับข้าตระกูลสือ”

หนึ่งในสี่ราชันที่กำลังต่อสู้อยู่ตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างอดไม่ได้

ตระกูลสือเป็นหนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูงเช่นกัน

ยอดฝีมือหรือกำลังคนที่ชมการต่อสู้รอบๆ ต่างจ้องมองปากอ้าตาโต

กลุ่ม ‘คนผมม่วงและคนชุดดำ’ ทั้งสองนั้น เมื่อปล้นชิงจาก ‘วังเก้านิรย’ แล้ว ตอนนี้ก็เปลี่ยนใจไปช่วงชิงของของสำนักอื่นๆ หลายแห่ง

สำนักที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มเหล่านั้นคือสำนักในระดับสามดาวเป็นอย่างน้อย ถึงขั้นเป็นระดับสุดยอดด้วยซ้ำไป

“บ้าคลั่งเกินไปแล้ว วังเก้านิรย ตระกูลสือ ตระกูลต่ง จวนหยวนกง…ล้วนแต่ต้องเผชิญหน้ากับการปล้นชิงจากคนทั้งสอง”

ยอดฝีมือและกลุ่มคณะที่ยึดครองพื้นที่บริเวณรอบๆ ตื่นตกใจการกระทำของทั้งคู่

วังเก้านิรยเป็นสำนักสามดาวระดับสุดยอด

ตระกูลสือ ตระกูลต่ง ล้วนเป็นหนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูง อยู่เหนือกว่าสำนักสามดาวทั่วไป

จวนหยวนกงเป็นโครงสร้างการปกครองประจำ ‘มณฑลหนึ่ง’ ของต้าเฉียน ยังเหนือกว่าจวนอ๋องโหวของดินแดนเกาะเทียนเฟิงขั้นหนึ่ง

ในทุกมณฑลของราชวงศ์ต้าเฉียนมีระดับเทียบเท่ากับ ‘ชังไห่’

ลงมือกับกองกำลังของขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสี่สำนักในเวลาเดียวกัน สำนักหนึ่งดาวสองดาวทั่วไปไหนเลยจะใจกล้าเช่นนี้

ดีที่กลุ่ม ‘คนผมม่วงและคนชุดดำ’ เพียงแค่ลงมือปล้นชิง แต่ไม่ลงมือสังหารฝ่ายตรงข้าม

ส่วนฝ่ายที่ถูกปล้นไม่มีแรงจะตอบโต้ด้วยซ้ำ

การกระทำเช่นนี้ไม่ผิดต่อกฎกติกาของ ‘มิติเทพลวงตา’ แต่อย่างใด

เพราะว่าอัจฉริยะยอดฝีมือที่เข้าไปภายใน ‘มิติเทพลวงตา’ เดิมทีมีความสัมพันธ์แบบต่อสู้แย่งชิงกัน

“ไม่เลว ไม่เลว!”

ทรัพยากรที่จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งปล้นชิงไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่เพิ่งจะเป็นเวลาจิบชาครึ่งถ้วยเท่านั้น ทรัพยากรที่คนทั้งสองช่วงชิงเอามาได้ มากกว่าที่ปล้นๆ มาได้ในอดีตมากนัก

“เจ้าหัวขโมย! รอให้พวกข้าลงมือก่อนเถอะ จะต้องจัดการพวกเจ้าให้แหลกสลายเป็นผุยผง”

จิวอู๋จี้และราชันอัจฉริยะที่เหลือโกรธเกรี้ยวจนควันออกหูแล้ว

ในตอนนี้

ผลประโยชน์ที่มีค่ามากที่สุดคือทรัพยากรบริเวณโครงกระดูกสีทอง

ทรัพยากรและสมบัติล้ำค่าที่จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งช่วงชิงมายังสู้ของเหล่านั้นไม่ได้ อีกทั้งคนทั้งสองเพียงแค่แย่งชิงมา ไม่ได้ลงมือปลิดชีพใคร

“จิวอู๋จี้ เป็นแบบนี้ต่อไป สำนักของพวกเราทั้งสี่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

ราชันรุ่นเยาว์คนนั้นของจวนหยวนกงเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด

“ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็ลงมือแบ่งผลประโยช์กันก่อนเถอะ แล้วไปรับมือกับหัวขโมยทั้งสองคนนั้น!”

จิวอู๋จี้อดรนทนไม่ไหว

ในเวลาดังกล่าว

กองกำลังทั้งสี่เบื้องหลังพวกเขาไล่ล่ากลุ่ม ‘คนผมม่วงและคนชุดดำ’ กลับโดนกลั่นแกล้งจนต้องหัวหมุนวนไปมา

สวบ สวบ!

จิวอู๋จี้และพวกไม่พัวพันต่อสู้กับจ้าวหยูเฟยต่ออีก แต่ตรงดิ่งไปหาสมบัติล้ำค่าบริเวณโครงกระดูกสีทองทันที

“อาวุธชั้นนภา…มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์…หินผลึกเซียน…ผลไม้จิตวิญญาณ…โอสถศักดิ์สิทธิ์…”

ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ถึงจะเป็นส่วนสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้

ถ้าหากไม่เช่นนั้นแล้ว จิวอู๋จี้ราชันทั้งสี่คงพุ่งตรงไปล้อมสังหาร ‘คนผมม่วงและชายชุดดำ’ ทั้งสองตั้งนานแล้ว

“คิกคิก ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนี้”

จ้าวหยูเฟยแย้มยิ้มงาม แล้วกลายร่างเป็นหมอกแวววาวสีม่วงที่เผาไหม้สว่างไสว ตรงไปปะทะด้านล่าง

ฟุ่บ! โครม ตู้ม!

ทันทีที่จ้าวหยูเฟยลงมือ ก็กระแทกพวกของจิวอู๋จี้ทั้งสี่จนแตกกระสานซ่านเซ็นไป

“หัตถ์เวหามาร!”

จิวอู๋จี้ยืนอยู่กลางอากาศ มือข้างหนึ่งพลันลุกไหม้ ขยายออกเป็นมือยักษ์สีดำสนิทเหมือนเมฆทะมึน

‘หัตถ์เวหามาร’ ขนาดใหญ่นั้นสาดซัดพลังมหาศาลมาร ทำให้ไอเพลิงเมฆสีดำลอยละลิ่วเข้ามา เมื่อกวัดแกว่งเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย พลังอำนาจกดดันทุกสิ่ง

ในทันใดนั้นเอง

กำลังรบของจิวอู๋จี้ก็ไปถึงอีกขั้นหนึ่ง และต้านทานจ้าวหยูเฟย เพื่อจะช่วงชิงเอาสมบัติที่สำคัญบริเวณโครงกระดูกทอง

“ฝันไปเถอะ!”

ทั่วร่างกายจ้าวหยูเฟยเปล่งแสงเมฆสีม่วงราวผลึกใส แรงระเบิดและระดับความแข็งแกร่งของปราณที่แท้จริงเพิ่มขึ้นอีกระดับขั้นหนึ่ง

ปังโครม——

การประมือระหว่างยอดฝีมืออาวุโสและอัจฉริยะรุ่นใหม่หนึ่งหญิงหนึ่งชาย ทำให้ราชันคนอื่นๆ ถอยร่นไปกันหมด

สวบ! สวบ! พู่ว!

ในบริเวณแถวๆ โครงกระดูกสีทอง มีสมบัติล้ำค่าส่วนหนึ่งหมุนตลบขึ้นไปกลางอากาศ

“แย่งสมบัติเร็ว!”

กลุ่มคนจำนวนมากในเหตุการณ์ ตะโกนและโผขึ้นไปด้านบน ‘ครึ่งก้าวสู่ราชัน’ เหล่านั้นที่มีกำลังรบใกล้ขั้นราชันเข้าร่วมการแย่งชิงอย่างไม่ลังเล

ราชันหลายคนที่สอดแนมมาเป็นระยะเวลานานก็ยื่นมือเข้ามาร่วมวงด้วย

แต่ว่า

สมบัติล้ำค่าพวกนั้น อย่างเช่น ‘อาวุธชั้นนภา’ ‘มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์’ ‘หินผลึกเซียน’ ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธชั้นนภา เมื่อเผชิญหน้ากับแรงโจมตีจากภายนอกก็จะเกิดแรงโต้กลับที่แข็งกล้า

หินผลึกเซียนชิ้นนั้น ตัวของมันเองก็สาดซัดแรงกดดันที่แข็งแกร่งออกมา คนในขั้นต่ำกว่าขั้นราชันยากจะเข้าใกล้ได้

ถึงขั้นว่ากระทั่งโครงกระดูกสีทองร่างนั้น ถึงแม้ว่าผู้เป็นเจ้าของจะตายไปแล้ว ก็ยังคงสาดซัดพลังที่แข็งแกร่งซึ่งกัดกร่อนไม่ได้

พรึ่บ!

โครงกระดูกสีทองร่างนั้นปลดปล่อยแสงสีทองที่แหลมคมหลายเส้นสาย บีบคั้นราชันและครึ่งก้าวสู่ราชันหลายคนให้ถอยร่นไป

ราชันในขอบเขตปราณเทวะคนหนึ่งในนั้น บนร่างทิ้งคราบเลือดเอาไว้

ยังมีครึ่งก้าวสู่ราชันคนหนึ่งกำลังรบเทียบเท่ากับราชัน ร่างกายเกือบจะโดนคมแสงสีทองเส้นหนึ่งในนั้นตัดแบ่งร่างเป็นสองท่อน

“ระวัง! โครงกระดูกสีทองมีชีวิตอยู่นั้นเป็นยอดฝีมือใน ‘ศาสตร์ทอง’ ผู้หนึ่ง”

ครึ่งก้าวสู่ราชันร้องตกใจ

ศาสตร์ทอง ถึงแม้ว่าเป็น ‘ธาตุทอง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุ การโจมตีของมันแหลมคมเกินจะเปรียบ ในด้านการโจมตีตัวต่อตัว อาจจะเหนือกว่าศาสตร์อัคคีหรือศาสตร์อัสนีด้วยซ้ำไป

“ได้โอกาสแล้ว!”

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งมองสบตากัน

สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายอย่างยิ่ง

สมบัติล้ำค่าจำนวนมากที่อยู่แถวโครงกระดูกสีทอง ถูกกระแทกจนลอยขึ้นกลางอากาศ หรือกระทั่งเกิดการโต้กลับต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างปลิวว่อนไปหมด ฝุ่นละอองคละคลุ้งไปทั่ว

พรึ่บ!

แสงสีเงินอีกชั้นหนึ่งโบยบินย้ายไปถึงละแวกใกล้เคียงของโครงกระดูกสีทอง

โครม ตู้ม!

เขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งต้องเผชิญกับระลอกพลังโจมตีและการโต้กลับส่วนหนึ่ง

คนทั้งสองมุดเข้าไปภายในใจกลางพื้นที่ แรงต่อต้านที่ต้องแบกรับแกร่งกล้าอย่างยิ่ง แล้วยังต้องแบกรับระลอกการต่อสู้ของจ้าวหยูเฟยและจิวอู๋จี้

แต่ทว่าดูจากสถานการณ์แล้ว จ้าวหยูเฟยยังคงอยู่เหนือจิวอู๋จี้และพวก

ในจำนวนของสมบัติล้ำค่าที่ช่วงชิงเอามาได้ จ้าวหยูเฟยมีมากกว่าพวกของจิวอู๋จี้

“ผลึกเซียนระดับล่าง!”

หนานกงเซิ่งกระตุ้นแสงสีเงินเส้นหนึ่ง เก็บเกี่ยวผลึกเซียนระดับล่างหลายชิ้นมาได้สบายกว่าคนอื่นๆ

ที่จริงแล้ว ในเขตแดนมิติของหนานกงเซิ่ง มีแก่นกลางสำคัญเป็นผลึกปีศาจ จึงสามารถข่มผลึกเซียนระดับล่างทั่วไปได้

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งแยกกันชั่วคราว เป้าหมายของเขาไม่ใช่ผลึกเซียนระดับล่าง

เขาเล็ง ‘โครงกระดูกสีทอง’ ร่างนั้นเอาไว้ ในโครงกระดูกดังกล่าวแฝงไปด้วยเสวียนอ้าวและพลังธาตุทองที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ตอนยังมีชีวิตคงจะเป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์ที่มีพรสวรรค์ธาตุทอง

“วายุอัสนีห้าสายของข้า ในหลังจากนี้ก็จะมี ‘วายุอัสนีธาตุทอง’ ด้วย” จ้าวเฟิงคิดคำนวณในใจ

“เกราะจักรพรรดิเหมันต์!”

เขากระตุ้นสายเลือดเหมันต์วารี ของเหลวเหมันต์สีฟ้าชั้นหนึ่งก็ค่อยๆ แผ่ออกทั่วร่างปรากฏเป็นเกราะเหมันต์วารีฟ้าเข้มชิ้นหนึ่ง

ภายใต้การปกป้องเกราะเหมันต์ที่เกิดจาก ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ทำให้พลังป้องกันของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นมาก บวกกับการป้องกันแก่นแท้ร่างกายที่แข็งแกร่งจาก ‘กายศักดิ์สิทธิ์อัสนีปฐพีทอง’ ของเขา จึงมากพอจะต้านทานการโจมตีของคนในขั้นราชัน

ผลัวะ แซ่ด แซ่ด!

บนพื้นผิวของเกราะจักรพรรดิเหมันต์ ปรากฏระลอกคลื่นวารีอัสนี มีแรงตอบโต้กลับ

ศัตรูทั้งหมดที่เข้าใกล้หรือโจมตีจ้าวเฟิงต้องเผชิญหน้ากับการตอบโต้กลับของวารีอัสนีและน้ำแข็งต่างๆ

“เอ๋?”

จ้าวหยูเฟยที่กำลังต่อสู้ช่วงชิงอยู่เหมือนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยเล็กน้อย จึงปรายตามองเกราะจักรพรรดิเหมันต์และระลอกคลื่นวายุอัสนีธาตุน้ำบนร่างของจ้าวเฟิง

แต่เด็กหนุ่มผมม่วงผู้นั้นไม่ใช่ ‘คนผู้นั้น’ ที่อยู่ในส่วนลึกของดวงใจของนาง มีเพียงสายเลือดและวิชาที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น

“เปิดออก!”

หลังจากเพิ่มการป้องกันแล้ว จ้าวเฟิงก็โคจรพลังแก่นแท้ร่างกาย หมัดยังมีก้อนเพลิงสีโลหิตที่แดงฉานเผาไหม้อยู่

เสียงดัง ‘โครม’ กระแทกเอาแรงโต้กลับและระลอกพลังที่เหลือในละแวกใกล้เคียง ถึงขั้นที่ว่าขนาดครึ่งก้าวสู่ราชันหลายคนและราชันในขอบเขตปราณเทวะก็ล้วนแต่โดนจ้าวเฟิงบีบให้ออกไปอย่างรวดเร็ว

ในขั้นตอนทั้งหมดนี้ จ้าวเฟิงได้ผลึกเซียนระดับล่างสองสามชิ้นมาด้วย

ในที่สุดแล้ว ‘โครงกระดูกสีทอง’ ร่างนั้นที่เขาเข้าไปใกล้ ในโครงกระดูกนั้นสาดซัดแรงกดดันที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง และยังปลดปล่อยการตอบโต้การโจมตีในศาสตร์ทอง

“รับไป!” ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏอาวุธชั้นพิภพที่วัสดุทำมาจากโซ่เหล็กสีทอง เพิ่มพลังของแก่นแท้ร่างกายแล้ว จึง กักขังโครงกระดูกสีทองไว้

โครม เพล้ง! ตุบ ตุบ!

จ้าวเฟิงรวมไปถึงคนรอบบริเวณต่างเผชิญหน้ากับการโต้กลับของโครงกระดูกสีทอง

“ระวัง! รีบหนีไป!”

ครึ่งก้าวสู่ราชันและราชันปราณเทวะในละแวกใกล้เคียง ล้วนแต่หลบหนีไปหัวซุกหัวซุน

แต่ทว่าจ้าวเฟิงกลับเหมือนว่า ‘ทำนาย’ เอาไว้ก่อน หลบการโต้กลับของพลังศาสตร์ทองได้มากกว่าครึ่ง

“โครงกระดูกสีทองร่างนี้พึ่งพาเสวียนอ้าวที่แฝงอยู่ในตัวของโครงกระดูก เชื่อมต่อกับไอสวรรค์ของโลกภายนอกจนทำให้เกิดแรงโจมตี”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองทะลุแก่นแท้ของโคงกระดูกได้อย่างปรุโปร่ง

พลังดวงวิญญาณของตัวเขา ขอบเขตระดับขั้นไม่ธรรมดา แรงกดดันของโครงกระดูกสีทองร่างนั้นก็ต้านทานเขาไม่ได้

แคร่ก!

ในวินาทีที่โซ่เหล็กสีทองกำลังจะขาดนั้นเอง โครงกระดูกทองก็ถูกดึงเข้าไปในแหวนเหล็กโบราณ

ในช่วงเวลาสุดท้ายที่สำคัญนั้น ก็ได้พลังเคล็ดวิชาข้ามมิติของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเพิ่มแรงในการเก็บเอาโครงกระดูกทองมา

“เจ้าหัวขโมยผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าขโมยเอาโครงกระดูกสีทองของยอดฝีมือเผ่าพันธุ์อมนุษย์ไป!”

ครึ่งก้าวสู่ราชันและราชันส่วนหนึ่งต่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แหลมคม จนอดจะตกใจไม่ได้

ต่อให้เป็นราชันปราณเทวะคิดจะเอาโครงกระดูกสีทองก็ไม่ง่ายดายและราบรื่นอย่างนั้น

“อย่าปล่อยให้เจ้าเด็กสองคนนั้นหนีไป!” หนึ่งในพวกของจิวอู๋จี้และราชันคนอื่นเอ่ยขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเก็บเกี่ยวได้อย่างมากมาย ฝ่ายหน้าได้รับโครงกระดูกสีทอง รวมไปถึงสิ่งของจำนวนหนึ่งที่หลงเหลือบนร่างศพ อีกทั้งจำนวนผลึกเซียนที่หนานกงเซิ่งได้ไปมีมากที่สุด เป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version