Skip to content

King of Gods 830

King Of Gods

บทที่ 830 เซียนกระบี่

บริเวณรอบนอก ในถ้ำลับตาคน

พลังจักรพรรดิดังกึกก้องราวอัสนีนับหมื่น เขย่ากระเทือนฟ้าดิน ทะลวงผ่านชั้นเมฆทั้งหมดไป ในเสี้ยวนาทีนั้น ดวงวิญญาณสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับโดนโจมตีจากอัสนี เมื่ออยู่เบื้องหน้าพลังมหาศาลต้องสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว

โครม——

กลางอากาศเหนือถ้ำ เมฆวายุอัสนีหนาแน่นพลันเกาะกลุ่มขึ้นชั้นหนึ่ง และมีมันเป็นใจกลาง กลายเป็นน้ำวนเมฆอาบแสงสีแดงที่ปั่นป่วนลมฝนฟ้าดิน

ช่วงเวลานั้น ไอสวรรค์ในฟ้าดินราวกับคลื่นสาดซัดมหาศาลที่ทำลายแทบทุกสิ่งได้อย่างนั้น สั่นไหวเสียงดังสนั่น ทะลักเข้าไปในใจกลางของน้ำวนเมฆ

ภายในถ้ำที่มืดมิด

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนพื้น ทั่วร่างกายปกคลุมด้วยแสงทรงพลังที่คล้ายเป็นรูปธรรม ปีกแสงวายุอัสนีหลายสิบจั้งคู่หนึ่งงอกออกจากหลัง ส่องแสงสว่างเจิดจ้าประดุจเป็นเทพเจ้า

พรึ่บ! ในเวลาไม่กี่ช่วงลมหายใจ แก่นผลึกวายุอัสนีขั้นราชันในมือของจ้าวเฟิง อับแสงลงไปหลายส่วนอย่างรวดเร็ว

พลังของบัวแก้วเวหาที่เก็บงำอยู่ภายในร่างกาย หดกลับและควบแน่นในเสี้ยววินาที

‘ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง!’

จ้าวเฟิงอยู่ในแสงพลังมหาศาลที่กล้าแกร่ง ขนาดของแก่นผลึกขยายออกอย่างรวดเร็ว

เวลาเพียงแค่สิบช่วงลมหายใจ ระดับพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงจึงทะลวงผ่านขั้นเล็กๆ ไปได้

“พลังจักรพรรดิ!”

หนานกงเซิ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนัก พลังดวงวิญญาณถูกกดไว้จนสั่นไหวหวาดกลัว รู้สึกหายใจติดขัด พลังมหาศาลที่สาดซัดอออกมาจากร่างของจ้าวเฟิง เกิดเป็นลำแสงที่ปกคลุมทั้งหมดเอาไว้

“เป็นความรู้สึกที่ยาวนานเหลือเกิน…”

ดงวตาสองข้างของจ้าวเฟิงปิดลง กลิ่นอายพลังจักรพรรดิบนร่างของเขากลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นดังพายุหมุนที่มาไว ยามไปก็ไวเช่นกัน หากว่าเปลี่ยนเป็นพลังจักรพรรดิที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ จะไม่สามารถควบคุมเก็บงำกลิ่นอายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

เวลาเพียงชั่วครู่เดียว

จ้าวเฟิงมองดูไปแล้วไม่ต่างกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงทั่วไปนัก เมื่อสำรวจอย่างละเอียดแล้วเกิดความรู้สึกลี้ลับที่ไม่ชัดเจน

ในจุดลึกของที่ราบลุ่ม บริเวณหน้าปากถ้ำรูปมังกร

อัจฉริยะยอดฝีมือยี่สิบกว่าคนของวังลอยฟ้า ต่างก็รอผลการสำรวจจากเบื้องล่าง

“เอ๋? พลังจักรพรรดิ…”

บนใบหน้าหล่อเหลาของเซวียนหยวนเหวินฉายแววประหลาดใจ ทอดสายตามองไปยังทางหนึ่ง

ปรากฏกลิ่นอายของพลังจักรพรรดิขึ้นจากไกลๆ ในฉับพลัน การกระเพื่อมไหวของฟ้าดินทำให้เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่ราชันปราณเทวะคนอื่นๆ มีจำนวนน้อยจนนับคนได้ที่เกิดความรู้สึกประหลาด แต่ยากจะพูดให้ชัดเจน

“บางทีอาจจะเป็นสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิในมิติเทพลวงตา แต่ถึงจะเป็นจักรพรรดิมาเยือนด้วยตนเองก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”

สตรีชุดส้มที่อยู่ข้างกายเอ่ยปนยิ้ม

จากคำพูดของเซวียนหยวนเหวิน นางและศิษย์พี่จูเก๋อชุดขาวข้างกาย เมื่อสัมผัสอย่างละเอียดดูแล้วก็จับกลิ่นอายนั้นได้

“ไม่น่าใช่เผ่าพันธุ์อมนุษย์หรือว่าสัตว์อสูร ข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายกลุ่มนั้นเป็นพลังจักรพรรดิของเผ่าพันธุมนุษย์” เซวียนหยวนเหวินสั่นศีรษะเล็กน้อย

ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าของยอดฝีมือชั้นยอดของวังลอยฟ้าซึ่งอยู่ในที่ดังกล่าวเปลี่ยนสีไป

ถ้าหากว่ามาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็เป็นไปได้มากว่าเป็นผู้มาเยือนจากภายนอกที่เข้าไปภายในมิติเทพลวงตา

“โลกกว้างใหญ่ไพศาล คนที่มีความสามารถมากมายก็มีไม่น้อย ไม่แน่ว่าจะมีแค่ขั้วอำนาจระดับสามสี่ดาวสามารถสร้างอัจฉริยะที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ได้” ศิษย์พี่จูเก๋อชุดขาวทอดถอนใจเบาๆ

ที่ตรงนั้น ไม่มีใครคลางแคลงใจในข้อสรุปของเซวียนหยวนเหวิน เพราะว่าเขาได้ก้าวเข้าไปในขอบเขตของจักรพรรดิปราณเทวะครึ่งก้าวแล้ว

แต่ว่าเซวียนหยวนเหวินและพวกอีกสองคน ไม่แสดงท่าทีกังวลใจมากนักต่อเรื่องดังกล่าว

ในมุมลับตาของใจกลางที่ราบลุ่ม

“พลังจักรพรรดิ? หรือว่าจะมาจากเซวียนหยวนเหวินแห่ง ‘วังลอยฟ้า’?”

ด้านหน้าของก้อนหินสองก้อนเกิดเสียงดังแว่วมา

“เหมอืนจะไม่ใช่เซวียนหยวนเหวิน ข้าเคยเห็นภาพเหตุการณ์การลงมือของเขา กลิ่นอายทั้งสองไม่เหมือนกัน…”

ด้านหน้าของก้อนหินอีกก้อนเกิดเสียงทุ้มต่ำลอยมา

ในสถานที่ดังกล่าวไม่มีใครแม้แต่คนเดียว แต่กลับมีเสียงสนทนาสองคนดังออกมากลางอากาศ

ถ้าหากว่ามีคนนอกคนอื่นเจอเหตุการณ์เช่นนี้ จะต้องสงสัยมากแน่นอน

เชว้ง! ทันใดนั้นเอง ก้อนหินสองก้อนเบื้องหน้ากลายเป็นเงาของเผ่าพันธุ์อมนุษย์สองร่าง

หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มเผ่าพันธุ์อมนุษย์ รูปร่างสูงใหญ่ ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีฟ้า เขาสีฟ้าบนศีรษะแสดงให้เห็นลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์มังกรวารี

ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงหรือองค์ชายเก้าอยู่ตรงนั้น จะต้องมองสถานะของคนผู้นี้ออกอย่างแน่นอน คือ ‘ราชามังกรวารี’ เว่ยจิ้งนั่นเอง!

เงาอีกร่างหนึ่งหนึ่งแปลกประหลาดยิ่งกว่า

เป็นชายหนุ่มเผ่าพันธุ์อมนุษย์คนหนึ่ง ดวงตาเล็ก ร่างกายและกลิ่นอายกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมด้านหลัง จึงทำให้มองเห็นได้เพียงเลือนราง

แต่ทว่ามีเพียงเขาผลึกสีดินคู่หนึ่งบนศีรษะเขาที่พอจะมองเห็นได้รางๆ

“เจ้าและข้าร่วมมือกัน ต่อให้เป็นจักรพรรดิที่แท้จริงก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว แต่พื้นที่บริเวณนี้ ขั้วอำนาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ราชวงศ์ต้าเฉียนแข็งแกร่งเกินไป! คฤหาสน์ลับเทพบรรพกาล พวกเราทำได้เพียงใช้ความรู้ช่วงชิงไป” เว่ยจิ้งเปิดปาก

เขาถอนสายตาออกจากตำแหน่งที่ปรากฏกลิ่นอายของพลังจักรพรรดิ สีหน้าเคร่งขรึมลง

พรึ่บ! เงาที่อยู่เบื้องหน้าสายตาสั่นเล็กน้อย กลิ่นอายและร่องรอยของคนทั้งสองหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ไกลออกไป ในถ้ำเขาตรงขอบนอกของที่ราบลุ่ม

“จ้าวเฟิง พลังจักรพรรดิของเจ้าฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว ภายในมิติเทพลวงตาแห่งนี้จะยังมีใครขัดขวางพวกเราได้?” หนานกงเซิ่งฮึกเหิมขึ้นเล็กน้อย

ภาพเหตุการณ์ที่ชวนให้ตกใจจากพลังจักรพรรดิทะลวงขึ้นฟ้าเมื่อครู่ ทำให้เขาอดจะระลึกถึงวีรกรรมอันรุ่งโรจน์ของเทพราชาดวงตาซ้ายไม่ได้

“พลังจักรพรรดิของข้าฟื้นฟูกลับมาเพียงระดับแรกเริ่มที่ค่อนข้างอ่อนแอก็เท่านั้น ถึงแม้ไม่กล้าเรียกว่าไร้เทียมทาน แต่อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวคนนอกที่เข้ามาภายในมิติเทพลวงตา” จ้าวเฟิงมีสีหน้าราบเรียบ

พลังเพิ่มพุ่งพรวดโดยกะทันหันเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นมากแต่อย่างใด

ในบรรดาพวกผู้มาเยือนจากภายนอกที่เข้าไปภายในมิติเทพลวงตา เขาไม่กล้าเรียกตนเองว่าไร้เทียมทาน แต่ไม่มีทางหวาดกลัวคนอื่นหน้าไหนทั้งนั้น

ในเวลาดังกล่าว ‘หินสะกดวิญญาณ’ ที่อยู่เบื้องหน้าจ้าวเฟิง กลิ่นอายของพลังดวงวิญญาณทมิฬอับแสงลงไปกว่าครึ่ง บนพื้นผิวของหินวิญญาณเองก็ปรากฏรอยปริร้าว

สรุปโดยรวมก็คือ

ความเร็วของการสกัดพลังวิญญาณใน ‘หินสะกดวิญญาณ’ รวดเร็วอย่างมาก นี่เป็นผลพลอยได้มาจากระดับความลึกซึ้งในศาสตร์วิญญาณของเขา รวมไปถึงประโยชน์จากพลังอัสนีเทวะด้วย

ในมิติดวงตาซ้าย ทะเลวิญญาณสีม่วงของจ้าวเฟิงค่อยๆ ขยายออกไปถึงสี่ห้าร้อยจั้ง

บนพื้นผิวของทั่วทั้งทะเลวิญญาณสีม่วง ปรากฏระลอกผลึกแวววาวชั้นหนึ่ง เหมือนเป็นผลึกที่ผ่านการเจียระไนมาเป็นพันหมื่นครั้ง

กลิ่นอายจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงหลอมรวมเข้าไปในฟ้าดินโดยธรรมชาติ เสวียนอ้าวต่างๆ รวมไปถึงชีพจรและหลักการของตัวมิติแห่งนี้ ล้วนแต่สะท้อนอยู่ในพลังประสาทสัมผัสของเขา

“เอ๊ะ!” จ้าวเฟิงเกิดสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หน้าเปลี่ยนสีไป

“ถอยก่อน!”

คนทั้งสองหนีออกจากถ้ำที่ลับตาแห่งนี้อย่างรวดเร็วภายใต้ลำแสงสีเงินม่วงที่ปกคลุมทั่วร่าง

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง

จ้าวเฟิงและพวกปรากฏกายขึ้นบนชั้นเมฆ นั่งบนพาหนะเพลิงวายุที่เก่าแก่

ไม่นานนัก ด้านหลังของถ้ำที่คนทั้งสองปิดผนึกฝึกตน ก็ปรากฏกลิ่นอายพลังที่รุนแรงและรวดเร็วสิบกว่าสาย

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

เงาสิบร่างนี้แหลมคมว่องไว มีไอหนาวเหน็บทิ่มแทงกระดูกอย่างประหลาด กลิ่นอายต่ำสุดเป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสิ้น

ผู้นำเป็นผู้เฒ่าหนวดขาวผมขาว สวมชุดเรียบง่ายสีเดียวกัน

หนวดขาวของผู้เฒ่ายาวสามฉื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ดูไปแล้วเหมือนว่าจะเข้าโลงได้อยู่ทุกเมื่อ

แต่ว่าดวงตาคู่นั้นของเขากลับกระจ่างใส คล้ายสามารถมองทะลุทุกสรรพสิ่งได้

“พลังจักรพรรดิเคยปรากฏขึ้นที่นี่…”

นัยน์ตาสองข้างของผู้เฒ่าหนวดขาวสาดซัดพลังศาสตร์กระบี่ที่ไร้รูปร่างออกมา ฟ้าและเมฆพลันเปลี่ยนสีไป

พรึ่บ! พรึ่บ!

ทันใดนั้น กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณพื้นที่ราบลุ่มสั่นสะเทือนอย่างไร้ที่มา

ความแข็งแกร่งของพลังศาสตร์กระบี่กลุ่มนี้ไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิปราณเทวะ

“ผู้อาวุโสกู่เยวี่ย ไม่เสียทีที่มีสมญา ‘เซียนกระบี่’ ความลึกซึ้งของศาสตร์กระบี่อยู่เหนือกว่าจักรพรรดิส่วนหนึ่ง”

ในแววตาของอัจฉริยะยอดฝีมือของสำนักศาสตร์กระบี่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ แต่ว่าผู้อาวุโสกู่เยวี่ยท่านนี้ดูมีสีหน้าเสียดายอยู่บ้างในสายตาพวกเขา

“พลังศาสตร์กระบี่ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง! สำนักนี้มีความเป็นมาอย่างไรกัน อัจฉริยะยอดฝีมือทั้งหมดล้วนลึกซึ้งในจิตกระบี่อย่างแกร่งกล้า?”

กลางอากาศ แววตาของจ้าวเฟิงสว่างวาบขึ้น

อีกทั้งราชันปราณเทวะของสำนักแห่งนี้ นอกเหนือจากผู้เฒ่าหนวดขาวผู้นั้น ยังมีดรุณีน้อยชุดดำที่สง่างามเยือกเย็นผู้หนึ่ง

อัจฉริยะยอดฝีมือเหล่านั้น พรสวรรค์ในศาสตร์กระบี่ของทุกคนต่างแข็งแกร่งกว่าชางหยูเยว่ในยามก่อนเสียอีก

“เป็นคนของ ‘หอกระบี่ฟ้า’ ”

“สำนักศาสตร์กระบี่อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉียน เคยเป็นสำนักกระบี่สี่ดาวที่รุ่งโรจน์ ในวันนี้ถดถอยลงมาเป็นสำนักสามดาวสุดยอด”

แถวๆ ถ้ำมีขั้วอำนาจสองกลุ่มที่รู้จักกลุ่มคนของ ‘หอกระบี่ฟ้า’

กองกำลังเล็กๆ จำนวนสิบคนของหอกระบี่ฟ้า กระบวนทัพแข็งแกร่งเกินจะเปรียบ อยู่เหนือสำนักสามดาวทั่วไปอย่างมาก

“พลังจักรพรรดิกลุ่มนั้นไม่ธรรมดา ราวกับว่าเพิ่งจะตื่นขึ้นแล้วเก็บงำอย่างรวดเร็ว…”

แววตาของผู้เฒ่าหนวดขาวฉายแสงสว่างวาบ กวาดสายตามองทั่วทั้งสี่ทิศ

เขาเองก็ค้นพบจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งที่อยู่บนฟ้าไกลออกไป

แต่ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นราชันระดับลึกซึ้ง ส่วนอีกคนเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ไม่เหมือนเป้าหมายที่พวกเขากำลังมองหาอยู่

สุดท้าย ผู้เฒ่าหนวดขาวก็จากไปอย่างผิดหวัง

ถ้าหากว่าหอกระบี่ฟ้าสามารถร่วมมือเป็นพันธมิตรกับยอดฝีมือที่มีพลังจักรพรรดิ ก็จะเป็นคนแข็งแกร่งสองกลุ่มร่วมมือกัน เสียดายก็เพียงแต่เจ้าของพลังจักรพรรดิผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“เข้าไปให้ลึกๆ ต่อไปเรื่อยๆ!”

ผู้เฒ่าหนวดขาวร้องเสียงต่ำ กลิ่นอายศาสตร์กระบี่ที่แข็งแกร่งสิบเส้นสาย บินเข้าไปภายในส่วนลึกที่สุดของที่ราบลุ่ม

“หอกระบี่ฟ้า!”

ระหว่างทาง กองกำลังของขั้วอำนาจส่วนหนึ่งหน้าถอดสีกันเป็นแถว

“คิดไม่ถึงเลยว่าเป็นเขา…ผู้อาวุโสเซียนกระบี่กู่เยวี่ย!”

ผู้เฒ่าชุดเขียวแห่งตระกูลตวนมู่อดจะสูดหายใจเข้าปอดไม่ได้

“คิดไม่ถึงเลยว่าตาแก่หนังเหนียวคนนี้จะเข้ามาในมิติเทพลวงตาด้วย เขาคิดจะดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนตายงั้นหรือ?”

จิวอู๋จี้แห่งวังเก้านิรย บนใบหน้าปรากฏความหวั่นเกรงอยู่ลึกๆ

ยอดฝีมือผู้อาวุโสส่วนหนึ่งต่างก็รู้เรื่องราวของเซียนกระบี่

หน้าปากถ้ำรูปมังกรไหม้เกรียม

“ที่แท้ก็เป็นอดีตเซียนกระบี่แห่ง ‘หอกระบี่ฟ้า’…”

กำลังคนของราชวงศ์และวังลอยฟ้าต่างปรายตามอง

กระทั่งในแววตาของศิษย์พี่จูเก๋อของวังลอยฟ้ายังฉายแววเคารพยำเกรง

หอกระบี่ฟ้า กลายมาเป็นกลุ่มยอดฝีมือกลุ่มที่สามที่มาถึงปากทางเข้ารูปร่างมังกรแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง กองกำลังยอดฝีมือของขั้วอำนาจในระดับสามดาวอย่างวังเก้านิรยก็เร่งรุดมาถึง

ผู้ที่เข้ามาภายในจุดลึกแห่งนี้ ส่วนมากแล้วเป็นกองกำลังยอดฝีมือ

แต่ก็มีผู้เดินทางเพียงลำพังที่แปลกและหายาก หรือกลุ่มคนสองคน

เปรี๊ยะ!

ในวินาทีหนึ่ง พาหนะเพลิงวายุใช้ความเร็วเกินจะคาดมาถึงด้านหน้าของปากทางเข้ารูปร่างมังกร

“มารคู่ผมม่วง!”

“หัวขโมยสองคนนี้”

กองกำลังยอดฝีมือของราชสำนักต้าเฉียนที่อยู่ตรงนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่กัดฟันกรอด ใบหน้าเผยแววเคียดแค้น

คนทั้งสองบนพาหนะเพลิงวายุดึงดูดความสนใจของกองกำลังยอดฝีมือจำนวนไม่น้อย

แต่ทั้งคู่มีท่าทีราวกับว่าด้านข้างไม่มีคน เผชิญหน้ากับกองกำลังยอดฝีมือของขั้วอำนาจชั้นสูงจำนวนมาก ไม่มีความหวาดกลัวหรือถอยหนี มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสนุกสนานที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา

อัจฉริยะจำนวนไม่น้อยต่างก็เคยเสียเปรียบในเงื้อมมือของคู่หูโจรผมม่วง ถึงแม้ว่าจะมีคนจำนวนมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าลงมือโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

“นับๆ ดูแล้ว เข้ามาในมิติเทพลวงตาน่าจะเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า เกินหนึ่งในสามของเวลาทั้งหมด”

จ้าวเฟิงกอดอก แววตาเป็นประกายกวาดมองไปทั่ว

แววตาของเขาหยุดลงบนใบหน้าของ ‘เซวียนหยวนเหวิน’ ค้างอยู่ชั่วขณะ แววตาฉายแววประหลาดใจ แล้วเบนสายตาไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีใครรู้ว่า เด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนนี้เป็นเจ้าของพลังจักรพรรดิที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อไม่นานมานี้

ในเวลาดังกล่าว

กลิ่นอายของจ้าวเฟิงเก็บงำและควบคุมเอาไว้อย่างดี พลังจักรพรรดิรวมไปถึงพลังของปราณที่แท้จริงไม่อาจเปิดเผยได้โดยง่ายดาย

ถึงแม้จ้าวเฟิงจะไม่กลัวใครในที่นั้น แต่ว่าต้องฉกฉวยเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ของ ‘คฤหาสน์ลับเทพบรรพกาล’ จึงไม่สามารถยืนอยู่เหนือคลื่นลม และเขย่าขวัญของขั้วอำนาจต่างๆ อย่างรวดเร็วเช่นนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version