บทที่ 845 ตำราเก่าเสียหยาง
เซวียนหยวนเหวินรู้สึกถึงกลิ่นอาย ‘อาวุธเทพเก่าแก่’ หัวใจสั่นระรัว ทว่าไม่รีบร้อนวางแผนจากไปทันที
เขาแจ้งเรื่องนี้กับศิษย์พี่จูเก๋อและสตรีชุดแดงก่อน
“อาวุธเทพเก่าแก่ เหนือชั้นกว่าระดับขั้นของเราไปมาก ผู้มีวาสนาจึงจะได้ครอบครอง ถึงไปช้าสักเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
ศิษย์พี่จูเก๋อถือพัดโบราณ ยิ้มบางอย่างสงบสุขุม
ได้ยินดังนั้น เซวียนหยวนเหวินพยักหน้าน้อยๆ เป็นการเห็นด้วย
ถ้าพวกเขาไปถึงขั้นครึ่งเซียน เมื่อรู้ข่าวคราวเรื่องอาวุธเทพเก่าแก่จะต้องรีบร้อนไปแย่งชิงมาแน่ ทว่าสมบัติอาวุธวิเศษที่ระดับสูงกว่ามากไป สำหรับคนมากมายแล้วมีความหมายจริงๆ ไม่เท่าไหร่ กลับกัน มันจะเป็นเผือกร้อนที่ลวกมือหรือกระทั่งหายนะ
แน่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ
หอตำรามืดทะมึนเบื้องหน้าเป็นโอกาสที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ข้างในหอตำรา มีหนังสือเก่าแก่จำนวนมากขับแสงวูบไหวเลือนราง ประหนึ่งหมู่ดาวบนท้องฟ้า
“ตำราทุกเล่มอย่างน้อยคือระดับขั้นฟ้า กระทั่งแตะถึงขอบเขตเซียนสวรรค์…”
“เอ๊ะ! บนหนังสือเล่มนี้มีคำอธิบายของเทพเสียหยางอยู่ด้วย…”
ด้านในหอเก็บตำรามืดทึบ ศิษย์อัจฉริยะของวังลอยฟ้าแต่ละคนตกอยู่ท่ามกลางโลกในหนังสือ
หนังสือทุกเล่มล้วนปรากฏโลกกว้างใหญ่ไพศาล
ความรู้เสวียนอ้าวในตำราเก่า เป็นสิ่งที่อัจฉริยะจากสำนักสี่ดาวเหล่านี้ใฝ่ฝันอยากได้มา
“ตำราเก่าแก่พวกนี้ มีไม่น้อยเทียบได้กับมรดกหลักและวิชาที่หายสาบสูญของวังลอยฟ้า บางส่วนล้ำหน้าไปกว่าระดับที่มีปรากฏในทวีป…”
ศิษย์พี่จูเก๋ออดทอดถอนใจไม่ได้
จากการจัดวางหอเก็บตำรา หนังสือของที่นี่เปิดให้แก่คนนอกครึ่งหนึ่ง ถึงแม้เป็นเช่นนั้น วังลอยฟ้าก็ยังต้องลงแรงกันพักใหญ่กว่าจะพยายามเปิดเข้าไปได้
“หนึ่งเล่มหนึ่งโลก พวกเราอย่าโลภมาก ทุกคนเลือกเอาไปสักเล่มสองเล่มก็พอ”
สตรีชุดแดงกล่าวเตือน
ระดับวิชาที่มากกว่าขั้นฟ้าขึ้นไป ทุกเล่มเปรียบได้กับมรดกอย่างหนึ่ง ความรู้ในนั้นดุจมหาสมุทรกว้าง
ด้วยเหตุนี้ ยอดฝีมืออัจฉริยะจึงเลือกซึมซับตำราที่เหมาะสมกับตัวเอง และการดูดซับเนื้อหาทั้งหมดในตำราเล่มหนึ่ง คือเรื่องที่สิ้นเปลืองกำลังและเวลาสำหรับราชันปราณเทวะที่เห็นครั้งแรกแล้วไม่ลืม
เมื่อเนื้อหามีมากเกินไป ต่อให้จำได้ไม่ลืมก็ต้องใช้เวลา
สิ่งที่ทุกคนไม่รู้คือ ในหมู่คนจากวังลอยฟ้า ดวงตาของ ‘ชายหนุ่มเกราะเงิน’ ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันผู้หนึ่ง ผุดคลื่นแสงสีม่วงประหลาดราวภาพฝัน ระหว่างคิ้วของเขาเผยตราประทับสีม่วงอ่อนอยู่รางๆ
ยามนั้น อากัปกิริยาชายหนุ่มเกราะเงินผิดแปลกไปเล็กน้อย
หมับ! เขาคว้าตำราเล่มหนึ่งมาอย่างไวว่อง นัยน์ตาทั้งสองขยับแสงมายาสีม่วง
เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ สีหน้าเขาไร้ซึ่งอารมณ์ หยิบอีกเล่มหนึ่งมาจากบรรดาตำราดุจหมู่ดาวกระจ่าง
“เอ๊ะ! ‘เคล็ดหลางหยา’? ผู้เรียบเรียง…เสียหยาง!”
คนหนุ่มเกราะเงินดูตกตะลึง
เขาต่างจากคนอื่นที่สนใจดูดซับเพียงหนึ่งหรือสองเล่ม ตอนนี้อ่านผ่านๆ โดยเร็วไปแล้วหลายสิบเล่ม
“ดูท่าหอตำราแห่งนี้จะเป็นที่ที่เสียหยางสร้างให้แก่ผู้ติดตามในคฤหาสน์ ‘เคล็ดหลางหยา’ นี่คือวิชาฉบับง่ายจากกระบวนท่ามหาศาลของตัวเขา ถึงจะเป็นเช่นนั้น เคล็ดวิชานี้อยู่ที่โลกภายนอกก็เรียกได้ว่าเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์สายอธรรม”
คนหนุ่มเกราะเงินแววตาเป็นประกายแวววับ
หากเป็นยามปกติ อัจฉริยะวังลอยฟ้าคนอื่นจะรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ชอบมาพากล
ตัวอย่างเช่น กลิ่นอายจิตวิญญาณที่ปรากฏรางๆ ในดวงตาเขาแกร่งกว่าปกติหลายเท่า ลักษณะท่าทางก็แตกต่างไปอย่างมาก ทว่าตอนนี้จิตใจทุกคนมุ่งอยู่กับโลกในตำราเก่าแก่เล่มใดเล่มหนึ่ง
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ชายหนุ่มเกราะเงินอ่าน ‘เคล็ดหลางหยา’ จบก็เริ่มพลิกหน้าตำราเล่มอื่น
เขาอ่านไปหลายสิบเล่มในรวดเดียว จิตใจเหนื่อยล้ายิ่งนัก จึงหยิบโอสถและทรัพยากรล้ำค่าหลากหลายอย่างจากในแหวนเก็บของมาใช้
“ศิษย์น้องเติ้งเชา!”
สตรีชุดแดงเอ่ยเตือนเมื่อพบว่าชายเกราะเงินผิดปกติ “ข้าแนะนำให้เจ้าตั้งใจดูดซับตำราเก่าหนึ่งถึงสองเล่มที่เหมาะสมกับเจ้า เช่นนี้จะเป็นประโยชน์แก่เจ้ามากกว่า…”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ชายเกราะเงินไม่สะทกสะท้าน พักผ่อนได้ที่แล้วจึงเริ่มอ่านตำราบางส่วนอีก
เวลาเคลื่อนผ่านไปเชื่องช้า
เมื่อคนวังลอยฟ้าส่วนใหญ่ซึมซับตำราเล่มหนึ่งเสร็จ ชายหนุ่มเกราะเงินก็ ‘อ่านคร่าวๆ’ ไปแล้วมากกว่าร้อยเล่ม อีกทั้งยังเป็นเล่มที่ตนสนใจ
ขณะที่คนทั้งหมดดูดซับตำราเสร็จไปสองเล่ม เขา ‘อ่านผ่านๆ’ จบแล้วสองสามร้อยเล่มด้วยกัน
ตอนนี้ชายเกราะเงินอ่อนเพลียจนทนไม่ไหว เขาหามุมหนึ่งนั่งขัดสมาธิ แล้วจึงใช้โอสถวิญญาณกับทรัพยากรสมบัติจำนวนหนึ่ง
“เอาละ อีกหนึ่งชั่วยามทุกคนค่อยออกเดินทางกัน”
ศิษย์พี่จูเก๋อเปิดปาก
ครั้นสายตาตกอยู่ที่ชายหนุ่มเกราะเงิน ‘เติ้งเชา’ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ได้กล่าวอะไรมาก
ในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งท่ามกลางกลุ่มสิ่งปลูกสร้างของคฤหาสน์
“หนานกงเซิ่ง ‘เคล็ดหลางหยา’ ชุดนี้น่าจะเป็นกระบวนวิชาต่อสู้ของเทพเสียหยางฉบับนำมาตัดทอดให้ง่ายขึ้น เจ้าฝึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
จ้าวเฟิงลืมตาขึ้น สีหน้าค่อนข้างอ่อนล้า
“แปลกนัก ข้ากลับเข้าถึง ‘เคล็ดหลางหยา’ นี่ได้ง่ายดายเช่นนี้ ทำให้ทักษะการโคจรพลังผลึกปีศาจดีกว่าที่ผ่านมามาก”
หนานกงเซิ่งเอ่ยอย่างประหลาดใจ
เหตุใดอยู่ๆ จ้าวเฟิงถึงมีเคล็ดวิชานี้ได้?
“ไม่ผิดคาด”
จ้าวเฟิงมั่นใจยิ่งขึ้นอีก หอตำรามืดทึบที่พวกวังลอยฟ้าเข้าไปคงเป็นสถานที่กึ่งเปิดในคฤหาสน์เสียหยาง
แต่ตอนนี้ ในหัวจ้าวเฟิงมีเนื้อหาความรู้จาก ‘ตำราเก่าเสียหยาง’ กว่าสองสามร้อยเล่มปรากฏ
‘ตำราเก่าเสียหยาง’ พวกนี้ มีไม่น้อยที่เทียบได้กับมรดกชั้นยอดของสำนักสามสี่ดาวในโลกภายนอก หรือกระทั่งวิชาที่หายสาบสูญไปแล้ว
หนึ่งในนั้น มรดกวิชาในตำราเก่าแก่จำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ยกมาเปรียบกับ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาอัสนีห้าสาย’ ได้ และมีจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่ถึงขั้นเหนือกว่าสองวิชาที่จ้าวเฟิงฝึกฝน
ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์กับวิชาวายุอัสนีเข้ากับจ้าวเฟิงได้ดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีพื้นฐานสายลมและสายฟ้า ซ้ำยังหลอมรวมอัสนีเทวะเข้าไป อนาคตข้างหน้าไปได้ไกลยิ่งกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในตำราเก่าเหล่านี้มีวิชาสายอธรรมเป็นส่วนมาก ไม่เหมาะกับจ้าวเฟิงยิ่งนัก ถึงเขาจะไม่ฝึกฝนพวกมัน แต่สิ่งนี้ก็ช่วยให้ระดับขอบเขตที่บรรลุถึงและความรู้โลกทัศน์พัฒนาขึ้นมาก
จากการอ่านหนังสือมากมายหลายประเภท จ้าวเฟิงมีความคิดอย่างหนึ่งคือ ตัวเขาสามารถทุ่มเทแรงใจผสานและทำให้วิชาต่อสู้เหล่านี้สมบูรณ์พร้อม ไปจนกระทั่งสรรสร้างเคล็ดวิชาและวรยุทธ์ที่เป็นของตน
อีกฟากหนึ่ง หน้าหอหลอมศาสตรา
“อ๊า ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ…”
อัจฉริยะครึ่งก้าวสู่ราชันหลายคนหลั่งไหลออกจากประตูเหล็กสีดำ
เมื่อคนเหล่านี้กรูกันออกมาแล้ว ก็พากันยกเท้าที่มีควันลอยกรุ่นขึ้น
หน้าประตูใหญ่ สองเท้าของอัจฉริยะชั้นหัวกะทิบางส่วนซึ่งกำลังพักฟื้นล้วนไหม้ดำ
ยังมีจำนวนเล็กน้อยที่เป็นลมหมดสติ และได้สมาชิกคนอื่นแบกออกมา
นอกจากราชันปราณเทวะที่กล้าแกร่งเพียงน้อยนิด ครึ่งก้าวสู่ราชันทั่วไปที่เหลือยากจะฝืนทนอยู่ในหอหลอมศาสตราได้นาน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การแข่งขันแย่งชิงในหอดุเดือดพอสมควร
ผู้เดินนำหน้าสุดยังคงเป็นผู้เฒ่าเคราขาวจากหอกระบี่ฟ้า
วิ้ง! พลังกระบี่บนกายผู้เฒ่าเปล่งแสงระยิบระยับ ราวกับรัศมีขาวรอบอาทิตย์แรงกล้า
เขามองตรงไปข้างหน้า ข่มกลั้นความร้อนสูงใต้ฝ่าเท้า เดินเข้าไปใกล้ ‘กระบี่สนิมทองแดง’ ข้างหลุมไฟทีละก้าว
ชิ้นส่วนอาวุธวิเศษที่เหลือหรือหินแร่กระจัดกระจาย เขาไม่แม้แต่จะเหลียวมองดู
ทว่าต่อจากนั้น ทุกก้าวที่เข้าใกล้ ‘กระบี่สนิมทองแดง’ ล้วนต้องอดกลั้นต่ออานุภาพศาสตร์กระบี่ที่เกินจินตนาการ
ทุกก้าวที่ถอยหลัง สำหรับผู้เฒ่าเคราขาวแล้วไม่ต่างกับความทุกข์ทรมานนานกว่าศตวรรษ
“บนกระบี่ขึ้นสนิมเล่มนี้มีเศษเสี้ยวเสวียนอ้าวและพลังของกระบี่เทพโบราณ บางทีมันอาจช่วยให้ข้าทะลวงผ่านขีดจำกัดได้”
ผู้เฒ่าเคราขาวจิตใจไม่วอกแวก ยืนหยัดไม่ย่อท้อ มีเพียง ‘หนึ่งกระบี่’ เท่านั้น
มองกลับกัน ราชันคนอื่นกลับทุ่มเทความสนใจไปที่พวกเศษชิ้นส่วนอาวุธและหินแร่ในตำนาน
ใช่ว่าพวกเขาไม่กล้าแย่งชิงอาวุธเทพเก่าแก่ แต่เป็นเพราะพลังความสามารถไม่มากพอ
ในบรรดาคนเหล่านั้น ‘มารคู่ผมม่วง’ ดึงดูดสายตายิ่งนัก
สวบ! เงาร่างผมม่วงเดี๋ยวหายวับไปจากที่เดิม เดี๋ยวพลันปรากฏกายที่มุมหนึ่ง
ภายในช่วงเวลาเนิ่นนาน
มารคู่ผมม่วงเข้าออกหอหลอมศาสตราสองสามครั้ง ได้ชิ้นส่วนอาวุธกับหินแร่มาหลายชิ้น เข้าไปผสมโรงเสียจนเหมือนปลาได้น้ำ
“มารคู่ผมม่วง ตายซะ…”
องค์ชายสิบสามระเบิดโทสะ มือชักกระบี่ทองคำล้ำค่าเปล่งแสงแวววับ โอบล้อมด้วยพลังกระบี่ลายมังกรซึ่งทะลวงสู่ยอดหลังคาโค้ง ฟันตรงเข้าใส่สองโจรพร้อมอานุภาพจักรพรรดิสยบใต้หล้า
หลังเลื่อนเป็นราชัน พลังของ ‘กระบี่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์’ ยกระดับขึ้นไม่น้อย แรงโจมตีและพลังที่ระเบิดออกมาเทียบเทียมได้กับจักรพรรดิ
นอกจากเซียนกระบี่เคราขาว กระบี่นี้ปกคลุมกดดันอัจฉริยะทุกคนในที่นั้น
“ระวัง!”
คู่หูโจรผมม่วงหน้าเปลี่ยนสี รีบหายตัวหลบด้วยความเร็วสูงสุด
วูบ! ทั้งสองคนหายวับไปโผล่อีกมุมหนึ่ง
ทว่าบนร่างกายสองโจรมีรอยเลือดปรากฏ ก่อนจะฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็วภายใต้แสงสีเงินม่วง
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร! ทุกครั้งที่กระบี่จักรพรรดินั่นออกจากฝัก ล้วนระเบิดพลังที่สะสมไว้ด้านใน แต่พลังและความถี่ประเภทนี้ถูกจำกัดอย่างยิ่งในมิติเทพลวงตา”
คนหนุ่มผมม่วงถอนใจโล่งอก
หากเป็นที่ราชวงศ์ต้าเฉียน พลานุภาพของกระบี่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเท่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ที่แห่งนี้คงไม่มีผู้ใดต่อกรองค์ชายสิบสามได้
“การป้องกันแข็งแกร่งนัก!”
“พลังของโจรสองคนนี้ก้าวหน้าขึ้นอีก?”
เหล่าราชันจากกลุ่มขั้วอำนาจเช่นตระกูลตวนมู่ จวนหยวนกง และตระกูลเฉาพากันตื่นตกใจ
ระหว่างที่ประมือกัน มารคู่ผมม่วงกลับเคลื่อนกายหลบพลังขององค์ชายสิบสามได้สำเร็จ
สิ่งที่ต่างไปจากเดิมคือ สองโจรมีกลวิธีหลบหลีกอำพรางกายลึกล้ำเกินคาดเดา พอหลีกหนีเมื่อใดก็ไม่เห็นเงาแล้ว
“พลังของคู่หูโจรเพิ่มเร็วขนาดนี้ ยังจะชิงของของตระกูลตวนมู่ไปอีก”
คนตระกูลตวนมู่โกรธแค้นจนกัดฟันแน่น
คู่หูโจรในยามนี้ปราดเปรียวว่องไว พลังโหดเหี้ยมอหังการ
การป้องกันร่างกายของหนึ่งในนั้นแข็งแกร่งเป็นที่สุด การโจมตีที่ใกล้เคียงจักรพรรดิอย่างยิ่งก็ไม่อาจคุกคามได้ถึงแก่น
“หยูเฟย…”
ผู้เฒ่าชุดเขียวกับบุรุษชุดฟ้าที่เพิ่งเลื่อนเป็นราชันมองไปยังจ้าวหยูเฟย
ในช่วงที่หลบกายพร้อมเข้าโจมตี มารคู่ผมม่วงจงใจหลีกเลี่ยงนางอย่างชัดเจน
“จะหนีไปไหน!”
จ้าวหยูเฟยร้องลั่น กระโดดขึ้นกลางอากาศ จากนั้นออกกระบวนท่าเข้าโจมตี ‘คนหนุ่มผมม่วง’ หนึ่งในสองโจร
นางถูกพลังแก่กล้าที่หนาวเหน็บถึงขีดสุดและไม่ใช่ของมนุษย์ปะทะใส่จนถอยร่นไปหลายสิบจั้ง ก่อนจะร่อนลงสู่พื้น ชั้นเกล็ดน้ำค้างแข็งขยายตัวบนผิวขาวกระจ่างราวหยก
“หยูเฟย…เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
คนฟากตระกูลตวนมู่รีบคุ้มครองนางเพื่อป้องกันไม่ให้คู่หูโจรตามมาลงมือ
“ข้าไม่เป็นไร…แต่เขาไม่ใช่พี่เฟิง!”
หลังลงสู่พื้น ใบหน้านางขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่กลับเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ
การประมือเมื่อครู่ จิตใจนางพะว้าพะวัง ลงมืออย่างปรานี และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับลงมือเหี้ยมโหดนัก เหมือนต้องการจะเล่นงานให้ถึงตาย