บทที่ 847 มังกรมายาพันผันแปร
“ศิษย์น้องเติ้งเชา ยินดีด้วยที่ผ่านระดับขึ้นเป็นราชัน”
อัจฉริยะวังลอยฟ้าคนอื่นมีสีหน้าซับซ้อน ฉีกยิ้มเดินเข้ามาเอ่ยยินดี
กลุ่มหัวกะทิของสำนักนี้ ถึงแม้ระดับต่ำสุดล้วนอยู่ที่ครึ่งก้าวสู่ราชัน แต่ทุกคนไม่คิดเลยว่า ศิษย์น้องเติ้งเชาที่มีพลัง ตำแหน่ง และความรู้ประสบการณ์น้อยที่สุด จะทะลวงถึงขั้นราชันได้ในช่วงเวลาสำคัญ
“ฮ่าฮ่า! ได้เลื่อนเป็นราชันในโอกาสอันดีเช่นนี้ ข้าต้องรีบตามศัตรูไปเสียแล้ว”
เติ้งเชาหัวเราะร่า หลังเสถียรแล้วเล็กน้อย จึงลุกขึ้นก้าวเท้ายาว
“ศิษย์น้องเติ้งเชา!
เหล่าอัจฉริยะตื่นตกใจ เห็นเติ้งเชาผู้สวมเกราะเงินทะยานเข้าสู่ ‘หอหลอมศาสตรา’
“ศิษย์น้องเติ้งเชา เจ้าเพิ่งข้ามระดับ ควรจะรอให้เสถียรสักหน่อย…”
พวกเขาไม่คิดว่าศิษย์น้องผู้นี้จะเข้าไปด้านในหอด้วยอดรนทนไม่ไหว
ในหอหลอมศาสตรายามนี้ มีแต่ราชันในขอบเขตปราณเทวะเท่านั้นถึงยืนหยัดได้
กลางอากาศ
กระบี่สนิมทองแดง ดาบคมบิ่น และขวานเว้าแหว่ง อานุภาพน่าสะพรึงของสามอาวุธเทพชั้นเลิศแทรกซึมสู่ความว่างเปล่า กลิ่นอายที่แผ่โดยไร้กฎเกณฑ์ก่อให้เกิดเงาทับซ้อนกับปรากฏการณ์ต่างๆ
โดยเฉพาะ ‘กระบี่สนิมทองแดง’ เล่มนั้น รอบด้านอาบวงแสงเขียวหม่นทะลวงฟ้าดิน สาดกลิ่นอายมืดหม่นที่ไม่มีวันดับสลาย เมื่อมันสั่นไหวทุกครั้ง เงาจะเกี่ยวกระหวัดทับซ้อน จนคิดไปว่าทุกสิ่งกลับตาลปัตร บิดเบือนกาลเวลา
อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์กลางอากาศพวกนั้น เป็นแค่เค้าลางจากเสี้ยวสำนึกรู้ของอาวุธเทพทั้งสาม ถึงจะเป็นเช่นนั้น คนแข็งแกร่งเยี่ยงเซวียนหยวนเหวินยังไม่กล้าจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งหน้า
“เป็นกลิ่นอายกับสัญญาณที่น่ากลัวนัก…”
เมื่อเหยียบย่างเข้าสู่หอ ศิษย์น้องเติ้งเชาอึดอัดกดดันทั้งทรวงอก
เขาหามุมปลอดภัย ตื่นตัวเล็กน้อย แล้วเฝ้ามองอย่างเงียบเชียบในฐานะ ‘กองหนุน’ แนวหลัง
ราชันจากวังลอยฟ้าสองสามคนด้านหน้าเห็นดีกับวิธีของเขาอยู่บ้าง อย่างไรพวกเขาก็เป็นราชันที่เพิ่งข้ามผ่านขั้น
“นอกจากอาวุธเทพเก่าแก่ มีอาวุธเทพชั้นรองมาอีกสอง จงมองลึกเข้าไปในหอ…”
เสียงหนึ่งดังก้องในหัวเติ้งเชา
“ขอรับ นายท่าน”
เขารับคำด้วยความนอบน้อม จับสถานการณ์ ทั้งยังสังเกตการณ์ส่วนลึกเข้าไปอีกของหอ
ยามนั้น ดวงตาทั้งสองของเขาผุดระลอกแสงสีม่วงอ่อน
“หืม?”
เติ้งเชารู้สึกว่าประสาทสัมผัสและความเข้าใจพลันเพิ่มสูงมากกว่าสิบเท่า
สายตามองผ่านหลุมไฟร้อนระอุแสบตาไป เขาเห็นรางๆ ว่ามีชั้นวางอาวุธทรุดโทรมที่สร้างจากโลหะสีดำ
บนชั้นชำรุดมีสิ่งของไม่ดึงดูดสายตาหลายชิ้น กลิ่นอายเงียบสงัด
ขณะเดียวกัน อีกฟากในห้องใต้ดิน
“เกราะแขน…โล่ป้องกัน…ลูกศรสามดอก ยังมีพลั่วเหล็กด้วย?”
จ้าวเฟิงเผยอาการแปลกใจ
ของบนชั้นวางอาวุธนับว่าสมบูรณ์ แต่ดูไปแล้วช่างธรรมดาสามัญนัก
จากสายตาของ ‘เติ้งเชา’ จ้าวเฟิงไม่ต้องสำแดง ‘เนตรสวรรค์’ ที่สิ้นเปลืองพลังมาก หนำซ้ำยังรู้เรื่องวังลอยฟ้าและสถานการณ์ฝั่งหอหลอมศาสตราได้ทุกเมื่อ
ในบรรดากำลังคนจำนวนมาก วังลอยฟ้าเป็นสำนักสี่ดาว พลังความสามารถนับได้ว่าเป็นที่หนึ่ง
โดยเฉพาะเซวียนหยวนเหวินหลังขึ้นเป็นจักรพรรดิปราณเทวะ
กล่าวได้ว่า ทุกความเคลื่อนไหวของวังลอยฟ้าส่งผลต่อสมดุลในคฤหาสน์เสียหยาง
เห็นได้จากการที่คู่หูโจรตัวปลอมหลบลี้หายไปก่อนพวกเขาจะมาถึง
ถึงเป็นจ้าวเฟิงก็ยังเกรงกลัวสำนักนี้อยู่หลายส่วน
ด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงหาญกล้าวาง ‘ไส้ศึก’ ของตนไว้ข้างกายวังลอยฟ้า
ยามเติ้งเชาเข้าหอตำราเป็นคนสุดท้าย ‘เนตรสวรรค์’ ของเขาสบโอกาสใช้ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ด้วย
ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันของเติ้งเชาในตอนนั้น ย่อมไม่อาจมีกำลังขัดขืนภายใต้วิชาดวงตาวิญญาณของเนตรสวรรค์ได้
อีกอย่าง ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ที่จ้าวเฟิงสำแดงทุกวันนี้ ถูกปรับแก้ให้ดีขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง
ตราผนึกดวงใจทมิฬแบบดั้งเดิม จะทำให้เป้าหมายกลายเป็นข้ารับใช้จากกายและใจโดยสิ้นเชิง การพัฒนาศักยภาพจะลดลงอย่างมาก
หลังผ่านศึกใหญ่ ‘คำสั่งล่าสังหาร’ และการเปลี่ยนร่างเกิดใหม่ จ้าวเฟิงปรับปรุงตราผนึกนี้แล้ว ตราผนึกดวงใจทมิฬที่ปรับแก้ให้ดีขึ้น จะกระทบต่อการพัฒนาความสามารถของเป้าหมายไม่มากนัก
จ้าวเฟิงยังใช้วิธีลับ ทำให้เติ้งเชาทะลวงถึงขอบเขตปราณเทวะสำเร็จ
และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้!
ขอแค่เติ้งเชายังอยู่ในหอหลอมศาสตรา จ้าวเฟิงก็ร่วมใช้สายตาทางฝั่งนั้น ติดตามสถานการณ์ได้ทุกเวลา ถึงขั้นว่า เขาสามารถส่งพลังดวงตาวิญญาณข้ามฟากไปสำแดงฤทธิ์เดชส่วนหนึ่งของ ‘ดวงตาเทพเจ้า’ โดยผ่านทาง ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ แบบใหม่
แน่นอน การส่งข้ามระยะทางเช่นนี้จะลดประสิทธิภาพของดวงตาเทพเจ้าลงบ้าง แต่ก็มากพอรับมือสภาพการณ์ส่วนใหญ่
หมายความว่า ยามนี้จ้าวเฟิงไม่ได้เข้าไปในหอหลอมศาสตรา แต่กลับสอดมือเข้ายุ่งทางอ้อมได้
“จ้าวเฟิง พวกเราจะลงมือกันเมื่อใด?”
หนานกงเซิ่งออกจะทนไม่ไหว
หลายวันมานี้ เขาฝึกฝน ‘เคล็ดหลางหยา’ จึงควบคุมโคจรพลังผลึกปีศาจได้ดั่งใจยิ่งขึ้น
แม้ตอนนี้ขั้นของเขาคือปราณเทวะช่วงปลาย แต่เหนือกว่าคนระดับเดียวกัน ด้วยผสานอานุภาพปราณที่แท้จริงของผลึกปีศาจไปด้วย
“ใกล้แล้ว…”
จ้าวเฟิงหลับตา ผ่านทางเติ้งเชาที่อยู่อีกฟากหนึ่ง เขาเสมือนอยู่ที่นั่นด้วยตัวเอง
ห้องใต้ดินที่ทั้งคู่อยู่ห่างจากหอหลอมศาสตราไม่ไกลนัก
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยพลันโยนเหรียญทองแดงโบราณ เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งดังกังวาน
“ดี” จ้าวเฟิงพยักหน้า
เมี้ยว!
เส้นแสงสีเทาเงินวูบไหว เจ้าแมวหายวับไปจากห้องใต้ดิน
บนต้นไม้ใหญ่ใกล้หอทรงหกเหลี่ยม
“เหตุใดมารคู่ผมม่วงยังไม่เคลื่อนไหวอีก?”
สองเงาร่างเรือนผมม่วงเริ่มอดทนไม่ไหว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก่อกวนจากในห้องใต้ดิน ใช้สถานะคู่หูโจรผมม่วงล่วงเกินคนทุกผู้
เพียงสองคนนี้ปรากฏกายอีก พวกมนุษย์ต้องเกิดเหตุกระทบกระทั่งกัน
ทว่าพวกเขารอมานาน โจรตัวจริงกลับไม่โผล่หน้า
“มารคู่ผมม่วงตัวจริงลบ ‘ตราประทับล้างโลกา’ ได้แล้ว แต่คนที่ถูกพวกมันควบคุมอยู่ในขอบเขตปฏิกิริยาของข้า”
เสียงเย็นชาของมังกรวารีทมิฬดังขึ้นฉับพลัน
“อะไรกัน! พวกมันสองคนคลายผนึกได้แล้ว?”
เงาร่างทั้งสองตกใจจนหน้าถอดสี
ในใจพวกเขายังหวาดกลัว แต่อดขบคิดไม่ได้ ในเมื่อคู่หูโจรมีวิธีคลาย ‘ตราประทับล้างโลกา’ เช่นนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็อาจทำได้ใช่หรือไม่
หรือไม่ก็ไปร่วมมือกับมารคู่ผมม่วงในสถานการณ์คับขันเสีย
นี่ก็เป็นหนทางถอยเช่นกัน
“หึ! ตราล้างโลกาบนตัวพวกเจ้าทั้งสองเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ต่อให้เป็นครึ่งเซียนก็ลบล้างยาก…”
มังกรวารีทมิฬเอ่ยทำลายแผนการพวกเขา
คนผมม่วงทั้งสองใจชาวาบ ดูเหมือนจะไร้ทางออกเสียแล้ว
“พวกเจ้าสองคนล้วนมีสายเลือดเผ่าพันธุ์มังกรแท้ ขอแค่ทำแผนให้บรรลุด้วยดี ข้าจะไม่ทำสิ่งอยุติธรรมด้วย ได้เป็นข้ารับใช้เผ่าพันธุ์ล้างโลกา ทำให้โลกสั่นสะเทือน สิ่งนี้เคยเป็นเกียรติยศของเผ่าพันธุ์ต่ำต้อยส่วนหนึ่ง”
มังกรวารียิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“เด็กสองนั่นสงบนิ่งนัก พวกเราทำได้แค่เปลี่ยนตัวตนเข้าหอหลอมศาสตรา”
‘เด็กหนุ่มผมม่วง’ ที่รูปร่างเหมือนจ้าวเฟิงเอ่ยแนะ
“ไม่เลว! จากปฏิกิริยาของ ‘เติ้งเชา’ เมื่อครู่นี้ ข้าพบอาวุธเทพชั้นรองสมบูรณ์พร้อมที่ใช้ประโยชน์ได้ดียิ่ง… ‘มนตราอากาศ’’
มังกรวารีกล่าวเสียงต่ำ
อาวุธเทพชั้นรอง…มนตราอากาศ?
ทั้งสองได้ยินแล้วใจสั่นสะท้าน
เรื่องเกี่ยวกับ ‘อาวุธเทพชั้นรอง’ ในตำนาน พวกเขาเคยได้ยินมาบ้าง
“ที่สำคัญคือ ‘มนตราอากาศ’ เป็นถึงของวิเศษช่วยสนับสนุน มีเงื่อนไขสำหรับผู้ใช้ไม่สูงมาก ขอเพียงได้มาก็ใช้ได้”
มังกรวารีทมิฬชะงักไป
“มังกรมายา เร็วเข้า!”
สีหน้าเด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นเคร่งขรึม
พรึ่บ! ชายหนุ่มผมม่วงอีกคนที่คล้ายหนานกงเซิ่งโบกมือข้างหนึ่ง
พรึ่บ! เงาแสงวูบวาบปรากฏตรงที่เดิม สองโจรกลายร่างเป็นบุรุษเผ่าพันธุ์มังกรสองคน
บุรุษสูงใหญ่หนึ่งในนั้นมีเกล็ดสีฟ้า หรือก็คือมังกรฟ้าวารีเว่ยจิ้ง
ส่วนชายเผ่าพันธุ์มังกรอีกคนมีเขาผลึก ดวงตากลมเล็กเหมือนเม็ดถั่ว ผิวทั้งร่างเปล่งสีเขียวอำพรางตา
“แปรผัน!”
เแสงเงาขยับไหว เว่ยจิ้งกับบุรุษนัยน์ตาเล็กเปลี่ยนร่างเป็นคนหนุ่มชุดฟ้ากับสตรีกระโปรงเขียว
ร่างแปลง ‘สตรีชุดเขียว’ มีบุคลิกสูงสง่า บริสุทธิ์งดงาม
กลิ่นอายพลังทั้งสองล้วนเป็นราชันปราณเทวะ
“ฮี่ฮี่ สมกับที่เป็น ‘มังกรมายาพันผันแปร’ อันดับสิบสองในสายเลือดวิถีราชา”
ชายหนุ่มชุดฟ้าผงกศีรษะพึงพอใจ
ที่แท้ ชายนัยน์ตาเล็กมีสายเลือด ‘มังกรมายาพันผันแปร’ สามารถลอกเลียนและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหลากหลาย
ขอเพียงเคยเห็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต มังกรมายาพันผันแปรเลียนแบบได้ทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่นก้อนหิน ต้นหญ้า และหนอนแมลง
แน่นอนว่าสิ่งที่เลียนแบบเป็นแค่ ‘ภาพลวงตา’ อีกทั้งไม่มีพลังความสามารถของสิ่งนั้น นี่คือวิชาสายเลือดมายาที่พิเศษเฉพาะ แม้แต่ห้วงคิดเซียนยังตบตาได้
มังกรวารีฟ้าอยู่กับมังกรมายาพันผันแปรตลอด พลังลอกเลียนแบบของสายเลือดจึงปกคลุมถึงเขาด้วย
“ไป!”
สองมังกรพาร่างมนุษย์ร่างใหม่ทะยานเข้าสู่หอหลอมศาสตรา
“เอ๊ะ? สองคนนั้นดูไม่ค่อยคุ้นตา?”
ด้านนอกหอหกเหลี่ยม ยอดฝีมือที่กำลังพักฟื้นของแต่ละขั้วอำนาจเผยสีหน้าประหลาด
แต่กองกำลังที่เข้าในมิติเทพลวงตามีมากยิ่งนัก อาณาเขตของราชวงศ์ในดินแดนทวีปกว้างใหญ่ มีราชันที่ไม่รู้จักสองคนปรากฏกายก็ไม่นับว่าแปลก
เช่นนี้ พวกมังกรฟ้าวารีจึงเดินวางท่าเข้าสู่ตัวหอไป
การเข้าร่วมของ ‘ราชันมนุษย์’ สองคนนั้นไม่ได้ดึงดูดสายราชันคนอื่นภายในนั้น
ตึก! ตึก!
ร่างแปลง ‘ชายหนุ่มชุดฟ้า’ กับ ‘สตรีกระโปรงเขียว’ เดินอ้อมอาวุธเทพทั้งสามที่ลอยกลางอากาศ พยายามตรงไปอีกด้านหลังหลุมไฟ
ทว่า
ระหว่างนั้น คนทั้งสองต้องแบกรับพลังไฟร้อนระอุที่ข้างเตาหลอม
หากเป็นราชันทั่วไป เข้าใกล้มันครู่เดียวก็โดนแผดเผาเอาได้
“สองคนนั่นจงใจรนหาที่ตายหรือไร?”
ราชันปราณเทวะบางคนเผยสีหน้าประหลาด เจือแววเย้ยเยาะระคนเวทนา
ราชันที่เหลือมีเป้าหมายคือชิ้นส่วนอาวุธที่วางกระจัดกระจายหรือหินแร่ในตำนาน
ไม่ว่าหินแร่หรือเศษชิ้นส่วนอาวุธใดๆ มูลค่าก็ไม่อาจประเมินได้ หากนำไปที่สำนักสามสี่ดาวของแต่ละคน จะสามารถสำแดงประโยชน์มากมาย
“เห็นแล้ว ชั้นวางอาวุธนั่น…”
สองมังกรทนแบกรับพลังไฟน่าพรั่นพรึง สายตาหยุดอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของหลุมไฟ
วิ้ง! ชั้นแสงสีฟ้าหม่นโอบล้อมรอบพวกเขา เพื่อต้านทานความร้อนสูงจากเตาหลอมใกล้ๆ
“แปลกนัก! นี่เป็นพลังสายเลือดอะไร”
“ต่อให้เป็นจักรพรรดิทั่วไป แรงต้านต่อความร้อนเตาหลอมก็ยังไม่เท่าไหร่นัก”
ศิษย์พี่จูเก๋อและเซวียนหยวนเหวินเหลือบมองอย่างแปลกใจ
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ
วูบ! ชั้นแสงสีฟ้าหม่นเย็นเยียบฝืนพาคนทั้งสองลอยขึ้น ถึงแม้ไม่อาจบินได้ แต่เท้าก็ไม่สัมผัสพื้น
ควรรู้ว่า ในคฤหาสน์เสียหยางมีพลังจำกัด ‘การโบยบิน’ อย่างหนึ่ง ราชันปกติทำได้เพียงโผทะยานหรือกระโจนขึ้นฟ้าชั่วคราว
แรงต้านทานที่ความร้อนของสองคนเพิ่มขึ้นมหาศาล เนื่องจากมีพลังไฟครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อยลอยมาจากใต้ฝ่าเท้า
“มองให้ชัด เกราะแขนบนชั้นวางอาวุธคือ ‘มนตราอากาศ’ ลูกศรคือ ‘ศรสังหารเทพ’ ส่วนโล่ป้องกันคือ ‘โล่ทองคำ’…”
ในหัวพวกมังกรฟ้าวารีมีเสียงเย่อหยิ่งของมังกรวารีทมิฬดังก้อง