Skip to content

King of Gods 891

King Of Gods

บทที่ 891 กำลังรบระดับปฐมเซียน

“ลอบสังหารครั้งที่สอง?”

จ้าวเฟิงชะงักงันไปเล็กน้อย ระบายยิ้มทันใดอย่างไม่หวาดกลัว พลางเอ่ยอย่างไร้กังวล “ข้าเองก็อยากให้เขากลับมาลงมืออีกครั้ง!”

ความสามารถของเทพราตรีทมิฬ เขาประเมินอย่างคร่าวๆ คืออยู่ในระดับเดียวกันกับจักรพรรดิมารเสวียนหลัว แต่เพราะถนัดการลอบสังหาร จึงไม่ต่อสู้กันอย่างซึ่งหน้า กลับมีความเป็นไปได้ว่าจะโจมตีสังหารจักรพรรดิที่มีกำลังรบในขั้นเดียวกันได้

แต่ทว่า

ในทันทีที่จ้าวเฟิงเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง พวกที่ถนัดลอบสังหารจะถูกสายเลือดดวงตาของเขากดข่มเอาไว้

“จ้าวเฟิง เจ้าจงอย่าประเมินความสามารถของ ‘เทพราตรีทมิฬ’ ต่ำไป ลำดับรายชื่อนักฆ่าในรายชื่อสูงส่งมาก ดูจากรายชื่อแล้วความสามารถของเทพราตรีทมิฬน่าจะอยู่ในขั้นจักรพรรดิผู้ไร้เทียมทานเป็นอย่างน้อย กำลังรบอาจถึงขั้นปฐมเซียน”

หนานเฟิงอ๋องส่ายศีรษะ เอ่ยเตือนอย่างจริงจัง

ขณะที่เขาปิดผนึกฝึกตนก็โดนลอบสังหารจากเทพราตรีทมิฬ ได้สัมผัสบุคคลดังกล่าวอย่างลึกซึ้งด้วยตนเอง

กำลังรบปฐมเซียน?

จ้าวเฟิงคิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาย่อมรู้ ด้วยความต่างของพื้นที่ พลังของจักรพรรดิในราชวงศ์แห่งทวีปแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนกว่า พลังก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าด้วย

ในพื้นที่ของชางไห่ จักรพรรดิชั้นยอดก็เป็นบุคคลที่แกร่งเหนือใครภายใต้คนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นเซียนลงไป

แต่ที่ราชวงศ์ของดินแดนทวีป ระหว่างจักรพรรดิชั้นยอดไปจนถึงเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับยังมีเส้นแบ่งพลังที่ละเอียดยิบย่อยอยู่

สรุปโดยรวมคือ

ระดับพลังของจักรพรรดิปราณเทวะแบ่งออกเป็นสี่ประเภท

ประเภทแรก จักรพรรดิทั่วไป เช่น จักรพรรดิตวนมู่อวิ๋น จักรพรรดิเหมันต์จันทรา

ประเภทที่สอง จักรพรรดิชั้นยอด ซึ่งเป็นระดับขั้นของตวนมู่ชิง

ประเภที่สาม จักรพรรดิไร้เทียมทาน จักรพรรดิมารเสวียนหลัวนับได้ว่าแตะขอบเขตนี้แล้ว

สิ่งที่ต้องพูดถึงคือ จักรพรรดิแห่งความตายก็เกือบนับได้ว่าอยู่ในขั้นจักรพรรดิไร้เทียมทาน วิชาต้องห้ามบางส่วนถึงขั้นทำให้เซียนหวาดกลัว แต่ที่ชางไห่ไม่ได้มีเส้นแบ่งที่ละเอียดเช่นนี้ เพียงแต่ ศาสตร์วิญญาณและเนตรมรณะของจักรพรรดิแห่งความตายถูกจ้าวเฟิงข่มไว้มั่น

ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม

ในตอนต้น จ้าวเฟิงก็ไล่ล่าสังหารมานานแล้ว สิ้นเปลืองพลังไปทีละน้อยถึงจะลงมือสังหารจักรพรรดิแห่งความตาย หากเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิชั้นยอดก็จะอยู่ภายในสิบช่วงลมหายใจ

หากว่าเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิไร้เทียมทานที่สยบจ้าวเฟิงได้ ไม่แน่ว่าคนที่พ่ายแพ้อาจเป็นจ้าวเฟิง

นอกจากนี้

ในเส้นแบ่งกำลังรบของจักรพรรดิทั้งสามประเภท ยังมีกำลังรบที่เป็นอุดมคติที่สุด กำลังรบปฐมเซียน!

แต่กำลังรบ ‘ปฐมเซียน’ เกือบจะเป็นระดับของเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ อย่างน้อยๆ ในด้านระดับขั้นพลังและด้านสำนึกรู้ก็เทียบเท่าได้กับเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับ แต่ระดับการเปลี่ยนแปลงสภาพยังไม่มากพอ จึงยังไม่ได้เลื่อนขึ้นเป็นเซียน

แต่เส้นแบ่งพลังที่หนานเฟิงอ๋องให้ ‘เทพราตรีทมิฬ’ ก็คือจักรพรรดิไร้เทียมทาน เข้าใกล้ปฐมเซียน!

แน่นอนว่าด้านบนเป็นเพียงแค่เส้นแบ่ง ‘กำลังรบ’ เท่านั้น เกี่ยวข้องกับพลังฝึกตนไม่มาก

“ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง พลังของเทพราตรีทมิฬเกือบจะอยู่เหนือจักรพรรดิแห่งความตาย จักรพรรดิเสวียนหลัว รวมไปถึงระดับขั้นกำลังรบของข้าด้วย”

แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย

หากยึดตามเส้นแบ่ง พลังของจ้าวเฟิงย่อมต้องอยู่เหนือจักรพรรดิชั้นยอด เรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิไร้เทียมทานแล้ว

อย่างไรเสีย ยามที่สู้รบกับจักรพรรดิมารเสวียนหลัว เขาใช้เพียงกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และหมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนีเป็นหลัก ไม่ได้ใช้สายเลือดดวงตาที่เป็นวิชาก้นหีบ

มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยันได้คือ

พลังของจ้าวเฟิงไม่ได้แตะระดับปฐมเซียน ไม่ว่าจะเป็นดวงวิญญาณ พลัง หรือว่าจะสำนึกรู้ล้วนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

พูดได้ว่าผู้แข็งแกร่งในระดับปฐมเซียนสามารถกลายเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงต่อจ้าวเฟิง

“การโจมตีในครั้งนี้ยังขาดขั้นตอนสุดท้ายไป แต่ที่โชคดีก็คือรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เพียงแค่สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ข้าก็จะมีกำลังรบของระดับปฐมเซียน”

หนานเฟิงอ๋องถอนหายใจเสียงต่ำ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงและผู้เฒ่าผมสีเงินยวงมองกันไปมา ต่างรู้สึกตื่นตกใจ

จ้าวเฟิงค้นพบว่า กลิ่นอายพลังในร่างของหนานเฟิงอ๋อง เหมือนจะอยู่เหนือกว่าขั้นจักรพรรดิปราณเทวะอยู่ครึ่งขั้น ความกดดันที่สาดซัดออกมาจากพลังในดวงตาก็อยู่เหนือจักรพรรดิชั้นยอดไปครึ่งขั้น

เพราะว่าหนานเฟิงอ๋องเป็นผู้ที่กำลังจะทะลวงตนได้สำเร็จ ก็ถูกขัดขวางจากการลอบสังหารของเทพราตรีทมิฬ และเกือบจะตายไปแล้ว

ที่เขาได้ชีวิตคืนมาในวันนี้ ขอแค่รักษาอาการบาดเจ็บ ไอสวรรค์ฟื้นฟูไปจนถึงระดับสุดยอด เพิ่มความเสถียรไปด้วยเล็กน้อย ก็จะเทียบได้กับปฐมเซียน

“ขอแค่ท่านอ๋องปลอดภัย ย่อมต้องมีโชคดีในภายหลัง”

ผู้เฒ่าผมเงินยวงและคนอื่นต่างเอ่ยแสดงความยินดี

มีเพียงหนานเฟิงอ๋องที่สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย การทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับของเขาในครั้งนี้ เกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว โดยพึ่งพาละอองเกสรเปิ่นหยวนของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนเป็นหลัก

แต่ ‘ละอองเกสรเปิ่นหยวน’ ในช่วงชีวิตหนึ่งของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนสร้างออกมาน้อยนิดอย่างยิ่ง ช่วงระยะห่างในการสกัดออกมาในแต่ละครั้ง จะต้องใช้หนึ่งร้อยปีเป็นอย่างน้อย

พูดได้ว่า ในครั้งหน้าหากเขาคิดจะทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสำเร็จ

หนำซ้ำ การทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับยังมีทฤษฎีที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งด้วย

ในทันทีที่ข้ามผ่านครั้งแรกล้มเหลว ในครั้งหลังๆ โอกาสสำเร็จก็จะต่ำลงไปเรื่อยๆ

ว่ากันว่านี่เป็นเพราะในขั้นตอนการทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับจะสิ้นเปลืองแหล่งกำเนิดพลังส่วนหนึ่งของชีวิตและดวงวิญญาณไปด้วย ทันที่ล้มเหลว แหล่งกำเนิดพลังเหล่านี้แทบไม่อาจเพิ่มเติมได้

เพราะเหตุนี้

ไม่ว่าจะจักรพรรดิคนใด จะเป็นจักรพรรดิทั่วไปหรือจักรพรรดิชั้นยอด จะทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยากเย็นเกินจะเปรียบ

หากไม่มีสถานการณ์บีบบังคับหรือความหวังที่แน่นอนก็ไม่อาจผลีผลามลองทำ

ในสถานการณ์ประเภทนี้ สมบัติล้ำค่าที่ส่งผลเพิ่มโอกาสในการข้ามผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับ เห็นได้ชัดว่าหายากมาก และพอที่จะทำให้ขั้วอำนาจพวกนั้นของราชวงศ์ลงมือขัดขวาง

สีหน้าอารมณ์ของหนานเฟิงอ๋องเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มีเพียงจ้าวเฟิงที่สัมผัสได้

“ในมือของข้ายังมี ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ อยู่สิบส่วน จะให้ดีเก็บไว้ที่ตัวเองสามส่วน เพื่อเอาไว้ใช้ฝึกฝนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และรับมือกับการทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับในอนาคต”

จ้าวเฟิงครุ่นคิดในใจ

ตามการพัฒนาของระดับขั้น เขายิ่งรู้สึกได้ถึงมูลค่าของวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน

ตอนที่อยู่ในคฤหาสน์เสียหยาง หากไม่ใช่เพราะมีอาวุธเทพชั้นรองมนตราอากาศ จ้าวเฟิงก็ไม่กล้าลองไปเอาวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนอย่างง่ายๆ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ในขณะที่เก็บวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนก็อันตรายเกินจะเปรียบ

ภายในห้องลับฝึกตน

จ้าวเฟิงและพวกผู้เฒ่าผมเงินยวงอยู่ดูแลมาสี่ห้าวัน

นี่คือคำชี้แนะของผู้เฒ่าผมเงินยวง เพื่อป้องกันการย้อนกลับมาของ ‘เทพราตรีทมิฬ’

ในตอนนี้ บาดแผลของหนานเฟิงอ๋องยังไม่หายดี มีแค่กำลังรบเท่าจักรพรรดิทั่วไปคนหนึ่ง ต้องการการคุ้มครองดูแลอย่างดีที่สุด

เดิมในใจของจ้าวเฟิงรู้สึกผิดส่วนหนึ่ง การสู้รบครั้งหนึ่งก็พังจวนอ๋องโหวจนกลายเป็นเช่นนี้

ในสี่ห้าวันนี้ หนานเฟิงอ๋องเก็บตัวเข้าฌาณอย่างตั้งอกตั้งใจ อาการบาดเจ็บและไอสวรรค์ฟื้นฟูไปไม่น้อย

ในช่วงนี้เทพราตรีทมิฬก็ไม่ได้ย้อนกลับมาอีก

ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเช่นนี้รวมตัวอยู่ด้วยกันด้วยหลักการที่ว่าเทพราตรีทมิฬโจมตีสังหารในครั้งเดียว จึงย่อมไม่ตกอยู่ในอันตราย

“ท่านอ๋อง ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนกำลังจะฟื้นคืนสภาพแล้ว…”

ก่อนจะจากไป จ้าวเฟิงโบกมือข้างหนึ่ง แล้วจึงมอบไหมเมฆาผีเสื้อเซียนให้กับผู้เฒ่าผมเงินยวง

เมี้ยว เมี้ยว!

ภายในห้องลับ เจ้าแมวขโมยตัวน้อยและไหมเมฆาผีเสื้อเซียนต่างคลอเคลียกัน และแยกจากกันด้วยความอาลัยอาวรณ์

ในวินาทีนี้ จ้าวเฟิงกลับเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา พอจะแลกเปลี่ยน ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ได้หรือไม่

แต่เมื่อระลึกขึ้นมาได้ สัตว์วิเศษในสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณที่ล้ำค่าเช่นนี้ พลังช่วยเหลือแข็งแกร่ง เรียกได้ว่าเป็นแก้ตาดวงใจของหนานเฟิงอ๋อง จะตอบตกลงง่ายๆได้อย่างไร?

เกรงว่าต่อให้เอาวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนออกมา ก็ไม่แน่ว่าหนานเฟิงอ๋องจะยอมแลกเปลี่ยนด้วย

นี่ก็เปรียบเทียบได้กับมูลค่าของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยในใจของจ้าวเฟิง

“จ้าวเฟิงผู้นี้…”

หนานเฟิงอ๋องมองส่งยังทิศทางที่จ้าวเฟิงจากไป

ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนในมือของเขาดูมีท่าทีอาลัยอาวรณ์ต่อเจ้าแมวขโมยตัวน้อยและจ้าวเฟิง

หนานเฟิงอ๋องเองก็พอมองออกถึงแรงดึงดูดใจที่ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนมีต่อจ้าวเฟิง

“ท่านอ๋อง ‘มุมมืดทมิฬ’ เป็นหนึ่งในสามกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ของโลกใต้ดิน โดยปกติแล้วจะรักษาความเป็นกลางไว้ เป็นใครกันแน่ที่จ้างมือสังหารมาปลิดชีพท่าน”

ผู้เฒ่าผมเงินยวงเอ่ยออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว

สามารถเดาได้เลยว่า นี่จะต้องเกี่ยวกับการแย่งชิงในราชสำนักเป็นแน่

ถึงแม้ว่าที่ราชสำนักต้าเฉียนแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่น้อย และการแก่งแย่งของพวกนั้นมีใจกลางเป็นองค์ชายคนต่างๆ

ในขณะนี้ องค์ชายที่มีความสามารถแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทก็มีหลายคนอยู่

ออกหน้าเช่นนี้ เบื้องหลังย่อมต้องมีสำนักใหญ่หนุนหลังอยู่แน่

“ก่อนนี้ข้าเอาแต่รักษาความเป็นกลาง ปัญหาก็คือช่วงก่อนองค์ชายแปดมาเยี่ยมข้า มีหลายคนไม่อยากให้ข้าเลื่อนเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ เพราะจะส่งผลต่อความสมดุลของราชสำนักต้าเฉียน…”

หนานเฟิงอ๋องสูดลมหายใจลึกพร้อมขมวดคิ้ว

สงครามภายในของเชื้อพระวงศ์ต้าเฉียนซับซ้อนวุ่นวาย ใจเขาคิดอะไรไม่ออกในเร็วๆ นี้แน่

ในจวนอ๋อง

จ้าวเฟิงย้ายเข้าไปอาศัยในหอคอยใหม่ที่มีสวนดอกไม้และสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม

ภายในหอคอย

จ้าวเฟิงโบกแขนข้างหนึ่ง เกิดเสียงดัง ‘ขวับ’ เบื้องหน้าปรากฏบ๊ะจ่างหลากสีชิ้นหนึ่ง ระดับความหนาแน่นในการรัดร่างอยู่เหนือก่อนนี้มาก

บ๊ะจ่างยักษ์หลากสีชิ้นนั้นดิ้นรนอยู่น้อยๆ แต่พลังน้อยนิดนัก

สายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองสำรวจโฉมงามชุดเขียวเข้มภายในบ๊ะจ่าง

ในความเป็นจริง หากว่าจ้าวเฟิงตัดสินใจจะลงมือสังหาร สตรีนางนี้คงมีชีวิตไม่ถึงตอนนี้แน่ เพียงแต่ว่า เขาจงใจเหลือผู้รอดชีวิตเอาไว้เพื่อสอบสวนสถานการณ์ของวังเก้านิรยด้วย แต่กลิ่นอายศาสตร์มารของสตรีผู้นี้แตกต่างไปจากจักรพรรดิชั้นยอดอีกสี่คนอย่างยิ่ง จ้าวเฟิงถึงเลือกให้นางเป็นผู้ที่รอดชีวิต และแน่นอนว่าจ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้ใจอ่อนอะไรกับศัตรูนัก

“เนตร…เพ่ง…เทพ…เจ้า!”

ในสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงทะลักพลังดวงตาวิญญาณสีม่วงที่เขย่าขวัญกลุ่มหนึ่งออกมา จากนั้นก่อตัวเป็นระลอกน้ำวนสีม่วงลึกไม่เห็นก้นบึ้ง

กลางอากาศมีระลอกพลังศาสตร์ดวงวิญญาณต้องห้ามแผ่กระจาย

“แย่แล้ว!”

ปี้ชิงเยวี่ยผู้อยู่ในบ๊ะจ่างหลากสีเรือนร่างสะท้าน หนาวจับหัวใจ

ดวงวิญญาณของนางถูกปกคลุมไปด้วยพลังหนาวเหน็บกลุ่มหนึ่ง เหมือนโดนกักขังเอาไว้ ไม่ถูกควบคุมโดยตัวเอง และกำลังหลุดลอยออกไปภายนอก

ถ้าหากอยู่ในสภาวะสุดยอด นางยังพอจะมีแรงต่อสู้ได้

แต่ทว่า

หลังจากการต่อสู้ อาการบาดเจ็บของนางไม่เบาเลย ได้รับผลกระทบจาก ‘ละอองเกสรไฉ่เมิ่ง’ เป็นหลัก ร่างกายและดวงวิญญาณอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กำลังรบลดลงไประดับขั้นหนึ่ง

เพียงแค่หนึ่งถึงสองช่วงลมหายใจเท่านั้น

วิญญาณดั้งเดิมหญิงที่บุคคลิกองอาจที่แผ่แสงจันทราเยือกเย็นถูกดึงไปออกจากร่าง

“ไม่…”

ปี้ชิงเยวี่ยเพียงแต่รู้สึกถึงพลังดวงตาศาสตร์วิญญาณกลุ่มนั้น ประหนึ่งอำนาจของนายเหนือหัว ไม่สามารถขัดขืนต้านทานได้

พรึ่บ! ดวงวิญญาณของปี้ชิงเยวี่ยสว่างวาบอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง หลังจากที่เข้าไปภายในมิติดวงตาซ้าย ดวงวิญญาณของปี้ชิงเยวี่ยถูกควบคุมไว้มากกว่าเดิม จำยอมให้จ้าวเฟิงจัดแจงตามใจ

โครม!

จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง โคจรพลังอัสนีเทวะกลุ่มหนึ่ง ทำการโจมตีดวงวิญญาณของปี้ชิงเยวี่ย

ดวงวิญญาณของปี้ชิงเยวี่ยเหมือนโดนโจมตีจนสตินึกคิดพร่าเลือน

“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!”

ในสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ปรากฏเค้าโครงตราประทับสายฟ้าสีม่วงเข้มที่บิดโค้งไม่มั่นคง มีระลอกกลิ่นอายอัสนีเทวะเป็นเส้นสาย ค่อยๆ ตีตราประทับลงไปในส่วนลึกของดวงวิญญาณปี้ชิงเยวี่ย

ที่เขาเอาดวงวิญญาณของปี้ชิงเยวี่ยมาไว้ในมิติดวงตาซ้าย ก็เพื่อให้อัตราความสำเร็จของ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นจักรพรรดิชั้นยอดผู้หนึ่ง พลังดวงวิญญาณอยู่ในระดับขั้นสมบูรณ์

“ขอร้องเจ้า…อย่า…”

สติของปี้ชิงเยวี่ยดิ้นรนอยู่ในขณะที่กำลังจะหมดติ ถึงขั้นคิดจะระเบิดดวงวิญญาณของตนเอง

เสียดายก็เพียงแต่ในมิติดวงตาซ้าย ดวงวิญญาณของนางเหมือนถูกกักขังเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

หลายช่วงลมหายใจต่อมา ตราผนึกดวงใจทมิฬของจ้าวเฟิงก็ตีตราไปยังส่วนลึกในดวงวิญญาณของปี้ชิงเยวี่ยสำเร็จ

พรึ่บ! ห้วงความคิดของเขาขยับ แล้วจึงเอาดวงวิญญาณของปี้ชิงเยวี่ยส่งกลับเข้าไปในร่างเดิม

ครึ่งวันต่อมา

“นายท่าน ข้าชื่อปี้ชิงเยวี่ย เป็นเจ้าหอของหอควันสมุทรรับผิดชอบภารกิจพวกข่าวสารในแถบชายทะเลดินแดนทวีปให้ ‘วังเก้านิรย’…”

สตรีในชุดชาววังท่วงท่าสง่างาม เยือกเย็นดังแสงจันทร์ คุกเข่ายังเบื้องหน้าของจ้าวเฟิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version