Skip to content

King of Gods 892

King Of Gods

บทที่ 892 เหนือกว่าทุกด้าน

“นายท่าน ข้าชื่อปี้ชิงเยวี่ย เป็นเจ้าหอของหอควันสมุทรรับผิดชอบภารกิจพวกข่าวสารในแถบชายทะเลดินแดนทวีปให้ ‘วังเก้านิรย’…”

สตรีชุดชาววังอยู่ในคลื่นแสงจันทร์เลือนราง ท่วงท่านุ่มนวลงดงาม เป็นดังหญิงงามภายใต้แสงจันทร์

นางก็คือหนึ่งในจักรพรรดิทั้งห้าที่ลงมือตอนก่อนนี้

ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลยว่า โฉมงามที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้าจะเป็นจักรพรรดิชั้นยอด และเป็นถึงผู้ดูแลสาขาของสำนักสองดาวแห่งหนึ่ง

“หอควันสมุทร? ว่ามาหน่อย”

จ้าวเฟิงเผยแววยินดีและประหลาดใจ

สถานะของปี้ชิงเยวี่ยปี้ชิงเยวี่ยผู้นี้อยู่เหนือกว่าที่คาดเดาเอาไว้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็น เจ้าหอของสำนักสองดาวแห่งหนึ่ง

อายุของสตรีนางนี้เยาว์วัยกว่าจักรพรรดิปราณเทวะส่วนหนึ่งมาก แต่กลับมีกำลังรบขั้นจักรพรรดิชั้นยอด เห็นได้ชัดเลยว่าพรสวรรค์และพลังที่แฝงอยู่ของนางสูงส่ง

สีหน้าของปี้ชิงเยวี่ยอ่อนน้อมยำเกรง ในขณะที่สาธยายเรื่องราวส่วนหนึ่งของ ‘หอควันสมุทร’ อย่างคล่องแคล่ว

จ้าวเฟิงนิ่งฟัง และจึงวางแผนการของตนเองในใจ

ประวัติศาสตร์การดำรงอยู่ของหอควันสมุทรมีมาอย่างยาวนานหลายหมื่นปี แต่ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว มันไม่ใช่สมาชิกของโลกสำนักต่างๆ แต่เป็นหน่วยข่าวสารข้อมูลโดยเฉพาะแห่งหนึ่ง

ต่อมา

หน่วยข้อมูลข่าวสารในขอบชายทะเลแห่งนี้รับสมาชิกเข้ามา จึงค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นสำนักสองดาวแห่งใหม่

แต่เพราะโชคไม่ดีนัก

ในขณะที่หอควันสมุทรเพิ่งจะเริ่มก่อตั้งขึ้น ได้เจอกับ ‘วังเก้านิรย’ ที่กำลังขยายใหญ่และฟื้นฟูให้รุ่งเรือง

วังเก้านิรยเป็นถึงกองกำลังขั้วอำนาจผู้นำศาสตร์มารแห่งต้าเฉียน และยังเคยเป็นสำนักสี่ดาวที่ต้องการจะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองในยามก่อน

“…หลายสิบปีก่อน ‘หอควันสมุทร’ ของข้าถูกควบคุมโดยวังเก้านิรยจนกลายเป็นหนึ่งในสาขาของสำนักนั้น กองกำลังในอาณัติเหมือนอย่างหอควันสมุทรของข้ายังมีอีกถึงเกือบสิบแห่ง”

ปี้ชิงเยวี่ยมีสีหน้าหวนระลึก

ในความเป็นจริง หลังจากที่ ‘ถูกบีบบังคับ’ จนกลายเป็นกองกำลังในอาณัติของวังเก้านิรย หอควันสมุทรในแถบชายทะเลมีเบื้องหลังคอยสนับสนุนที่แกร่งกล้า จึงแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง หนำซ้ำจากการถดถอยของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในคราก่อน ณ แถบคาบสมุทร ‘หอควันสมุทร’ จึงค่อยๆ ทรงอำนาจขึ้นเข้าใกล้สำนักสองดาวระดับสุดยอด

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็อดจะตกใจไม่ได้

วังเก้านิรยอยู่ในฐานะผู้นำทางทหารศาสตร์มาร ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สำนักสี่ดาวอีกต่อไป แต่ก็ยังคงเป็นกลุ่มอำนาจยิ่งใหญ่ในบริเวณชายทะเล และกลุ่มอำนาจที่เป็นหน่วยข้อมูลที่แข็งแกร่งเช่นนี้เป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงต้องการพอดี

“อำนาจควบคุมของเจ้าที่มีต่อ ‘หอควันสมุทร’ เป็นอย่างไรบ้าง?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

ด้วยกำลังรบจักรพรรดิชั้นยอดของปี้ชิงเยวี่ย หากอยู่ที่สำนักสองดาวทั่วไปย่อมต้องเป็นยอดฝีมือเป็นแน่

“จุดสำคัญของวังเก้านิรยก็คือส่วนตะวันออกของทวีป ด้วยเหตุนี้ การควบคุมของข้าที่มีต่อหอควันสมุทรจึงมีอยู่หกเจ็ดส่วน ภายในยังมีผู้แข็งแกร่งและสายลับที่วังเก้านิรยส่งไปด้วย”

ปี้ชิงเยวี่ยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย คาดเดาเจตนาของจ้าวเฟิง

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เป้าหมายของจ้าวเฟิงก็เดาได้ไม่ยากอีกต่อไป

ในฐานะที่เป็นทาสอันโดนตีตราจาก ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ทั้งพลังและสตินึกคิดของปี้ชิงเยวี่ยต่างโดนสะกดเป็นทาส ยอมแพ้อย่างราบคาบ

“ข้าต้องการให้เจ้ากลับไปที่ ‘หอควันสมุทร’ จัดแจงปรับเปลี่ยนมันใหม่กำจัดเนื้อร้ายอย่างพวกวังเก้านิรย หลังจากนี้เป็นต้นไป หอควันสมุทรจะต้องรับใช้ข้า และยึดตามข้าเป็นหลัก…”

จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ

ในเวลานี้ แผนการในใจของเขาก็กระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น

ตั้งแต่ฝึกต้นขั้นเริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงมักจะลงมือต่อสู้เพียงลำพัง โดยอยู่ในการปกป้องของสำนักใหญ่ๆ

ในขณะที่ฝึกพื้นฐาน จ้าวเฟิงก็เป็นลูกหลานตระกูลจ้าวแห่งเมืองประกายอรุณ

ต่อมา เขาย้ายเข้าไปในจวนกว่างหลิง ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองก่วงจิน จึงเข้าไปยังโลกสำนักและได้เข้าร่วมสำนักจันทร์สลายอันเป็นสำนักลำดับแรก

ต่อมาก็เป็นเมืองหงหู…ลัทธิโลหะเลือด…สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน

ถึงแม้จะเป็นในตอนนี้ จ้าวเฟิงเองก็พึ่งพาอยู่ที่จวนอ๋องโหว

เหตุเพราะสถานะพิเศษของหนานเฟิงอ๋อง กองกำลังทั่วไปจึงไม่กล้าลงมือทำร้ายจ้าวเฟิง

“ข้าเองก็ไม่กล้าผลีผลามไปที่ ‘ตระกูลตวนมู่’ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเคยเขียนจดหมายให้กับตระกูลตวนมู่ไปนานแล้ว หยูเฟยเองก็รู้ข่าวสารของข้า…”

แววตาของจ้าวเฟิงสงบนิ่ง

ต่อจากนี้ไป ถ้าหากเขาไม่โดนไล่ฆ่า ก็คงจะพึ่งพิงกลุ่มขั้วอำนาจหนึ่งใกล้ๆ นี้

ในวันนี้ เขาต้องเปลี่ยนแนวความคิด สร้างขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นของตนเอง

“ข้าต้องการให้กลุ่มอำนาจแห่งนี้ อยู่เหนือใต้หล้า ชื่อเสียงโด่งดัง และ ในภายภาคหน้าไม่มีใครจะคุกคามการดำรงอยู่ที่เกี่ยวพันถึงข้าได้…”

ความหวังในใจจ้าวเฟิงยิ่งเด่นชัดไปทุกที

การจัดตั้งกลุ่มอำนาจเป็นของตนเอง ประโยชน์ใช้สอยจะได้มากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น ช่วงชิงทรัพยากรในใต้หล้า สำรวจซากปรักหักพังลึกลับ จะทำให้ได้กำลังคนมหาศาล

“เจ้าค่ะ นายท่าน! ความต้องการของท่าน ข้าจะทุ่มเทแรงทำให้ได้ แต่ไม่รับรองว่า ในขณะที่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ อาจเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านที่ยากจะต้านทานไหว”

ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยอย่างระมัดระวัง

นางเข้าใจความทะเยอะทะยานอย่างยิ่งของจ้าวเฟิงผ่านปฏิกิริยาตอบสนองที่มีต่อตราผนึกดวงใจทมิฬ

“ข้าจะตามเจ้าไปที่ ‘หอควันสมุทร’สักครั้งหนึ่ง ทำลายเนื้อร้ายและภัยซ่อนเร้นทั้งหมด ถึงแม้วังเก้านิรยจะแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถส่งกองกำลังจำนวนมากมาก้าวก่ายริมสมุทร”

จ้าวเฟิงเชื่อมั่นอย่างยิ่ง

ริบแถบมหาสมุทรที่เขาอยู่นี้ไม่ใช่ใจกลางสำคัญของราชวงศ์ของดินแดนทวีป

อาจพูดได้ว่า ในตอนนี้จ้าวเฟิงยังไม่ได้เข้าไปเหยียบส่วนภายในดินแดนทวีป

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปี้ชิงเยวี่ย จึงวางใจไม่น้อย มีจ้าวเฟิงเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ ขอแค่เซียนขอบเขตเทวาเร้นลับไม่ออกหน้า ก็จะไม่มีกองกำลังใดคุกคามหอควันสมุทรที่อยู่ริมคาบสมุทรได้

จ้าวเฟิงไม่ได้รีบร้อนไปที่หอควันสมุทรในทันที แต่ยังจะเข้าฌาณที่จวนอ๋องโหวก่อนสักช่วงเวลาหนึ่ง

อย่างแรก อาการบาดเจ็บของปี้ชิงเยวี่ยและหนานเฟิงอ๋องยังไม่หายดีนัก

อย่างที่สอง จ้าวเฟิงเพิ่งผ่านการต่อสู้ ได้ความรู้ใหม่ๆ มาส่วนหนึ่ง ต้องการการฝึกฝนและทำให้เสถียรสักหน่อย

เพียงครู่เดียว เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไป

ภายในห้องลับบนหอคอย

จ้าวเฟิงเปิดดวงตาทั้งสองข้างออกอย่างกะทันหัน พลังลำแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในแววตา เสียงโจมตีดังราวเสียงสายอัสนีนับหมื่นฟาดลงมา

วิ้ง! ในทะเลวิญญาณสีม่วงปรากฏตราประทับอัสนีเทวะนับพันเส้นสายขึ้นน้อยๆ เรียกให้ถูกต้องก็คือมีหนึ่งพันสามร้อยกว่าเส้น ตราประทับของพลังอัสนีเทวะเหล่านั้น สาดซัดกลิ่นอายน่ากลัวที่กดดันสรรพชีวิตนับหมื่นอันเป็นอมตะออกมา

“ดีมาก จำนวนของพลังอัสนีเทวะมากกว่าในช่วงชีวิตก่อนกว่าครึ่ง หนำซ้ำการควบคุมที่ข้ามีต่อมันก็ได้สมใจนึกมากยิ่งขึ้น…”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยยิ้มบาง

แน่นนอนว่าสิ่งที่จ้าวเฟิงดูดซึมเข้าไปนั้น เป็นเพียงกลิ่นอายเศษเสี้ยวพลังของพลังอัสนีเทวะส่วนหนึ่ง

เมื่อเปรียบเทียบกับพลังอัสนีเทวะที่แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงแค่ผลึกชิ้นเล็กๆ ส่วนหนึ่ง จำนวนรวมอาจไม่ถึงหนึ่งในร้อยของพลังอัสนีเทวะ ก็ด้วยเพราะกะโหลกอำนาจเทวะเป็นเพียงแค่ร่างประทับร่างหนึ่ง และยังถูกเก็บมาเป็นเวลาหลายปี ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงสามารถเป็นร่างประทับดูดซึมพลังอัสนีเทวะ ซึ่งนี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ตั้งแต่อดีตแล้ว

ในเวลาดังกล่าว

พลังอัสนีเทวะที่แฝงอยู่ใน ‘กะโหลกอำนาจเทวะ’ ที่อยู่ด้านข้างทะเลวิญญาณสีม่วง ยังเหลืออยู่ประมาณห้าส่วนเท่านั้น

วันนี้ จ้าวเฟิงไม่เพียงต้องดูดซึมพลังอัสนีเทวะ ต้องเรียนรู้ลึกซึ้งยิ่งกว่า แต่สามารถเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูพลังอัสนีเทวะได้ ถึงขั้นแตะขอบเขตพลังในฝันของตนเอง หลังจากเข้าฌาณฝึกฝนเป็นเวลาครึ่งเดือน ในที่สุดแล้วจ้าวเฟิงจึงออกจากการฝึกตน

ในเวลานี้เอง อาการบาดเจ็บของหนานเฟิงอ๋องแทบฟื้นฟูแล้ว แต่พลังก็แข็งแกร่งกว่าตอนที่ก่อนจะโดนโจมตีหลายเท่าตัว

หลังจากที่จ้าวเฟิงขอตัวเป็นการชั่วคราวแล้วก็แหวกอากาศจากไป

“ประหลาดนัก จ้าวเฟิงผู้นี้จะมีเรื่องอะไรที่ต้องจากไปกะทันหันเช่นนี้? หรือว่าไม่กลัวการไล่สังหารจากวังเก้านิรย?”

หนานเฟิงอ๋องตื่นตระหนกเล็กน้อย

แต่เมื่อเขาฉุกคิด ด้วยความสามารถของจ้าวเฟิงแล้ว ขอแค่ไม่เจอกับเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับ ก็ไม่มีปัญหาเรื่องสวัสดิภาพความปลอดภัยมากนัก

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

จ้าวเฟิงโบยบินออกจากดินแดนเกาะเทียนเฟิง เข้าไปพื้นที่ทะเลความว่างเปล่าภายนอก

พรึ่บ! จ้าวเฟิงยกแขนขึ้น เรียกให้ปี้ชิงเยวี่ยออกมาจากภายในโลกส่วนตัวของมนตราอากาศ

ในเวลาเดียวกัน เขาเองยังเอา ‘พาหนะเพลิงวายุ’ ที่ได้มาจากภายในมิติเทพลวงตาออกมาใช้ด้วย

เมื่อ ‘พาหนะเพลิงวายุ’ อยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างทะเลความว่างเปล่า ความเร็วที่มีก็ยิ่งรวดเร็วจนชวนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

เมื่อมีใจกลางพลังของผลึกเซียนขั้นต่ำก็เทียบเท่าได้กับจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะทีเดียว

ที่สำคัญคือ พาหนะลำนี้ไม่ต้องใช้ปราณที่แท้จริงและยังโบยบินอย่างรายเรียบ ทั้งยังกลายเป็นเกราะป้องกันได้ด้วย

ปี้ชิงเยวี่ยยืนอยู่บนพาหนะ ควบคุมเส้นทางในการโบยบิน วงหน้างามมีร่องรอยความตื่นตะลึงปรากฏขึ้น

นางใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ในมนตราอากาศของจ้าวเฟิ งรู้สึกหวาดกลัวอย่างลึกซึ้ง คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะมีอาวุธเทพชั้นรอง และยังครอบครองทรัพยากรมหาศาลที่สะเทือนฟ้าดินเช่นนี้

บางทีทรัพยากรเหล่านี้ที่นางเห็น อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จ้าวเฟิงแสดงให้เห็น

“หากได้ส่วนหนึ่งของทรัพยากรมหาศาลเหล่านี้ ก็จะสามารถขยายหอควันสมุทรได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจมีความเป็นไปได้ที่จะดูแลทั่วทั้งคาบสมุทร”

ปี้ชิงเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก

ถึงแม้ว่านางจะถูกจ้าวเฟิงจับเป็นทาส แต่ว่าก็ยังมีความคิดเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ เพียงแต่ถูกควบคุมจากจ้าวเฟิงเท่านั้น

หลังจากที่ตราผนึกดวงใจทมิฬถูกแก้ไขปรับปรุงอยู่หลายครั้งก็ยิ่งสมบูรณ์มากขึ้น

แน่นอนว่า การจะใช้ตราผนึกดวงใจทมิฬที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ จะต้องใช้ ‘ดวงตาเทพเจ้า’ เป็นร่างประทับ โดยในวิชาทั่วไปแทบจะไม่สามารถทำให้ปรากฏขึ้นได้ หรืออาจจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลด้วย

ระหว่างทาง จ้าวเฟิงยังคงนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณ และให้ปี้ชิงเยวี่ยเปิดทางให้

ในแถบคาบสมุทรอันเชื่อมต่อกับดินแดนทวีปและทะเลแดนใต้ ทะเลหมอกประจิมและทะเลพายัพเป็นพื้นที่ทะเลความว่างเปล่าขนาดใหญ่ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล

ด้วยความเร็วของตัวพาหนะเพลิงวายุ คาดว่าใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือน

ในช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ จ้าวเฟิงได้โคจร ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ใช้หนึ่งจิตใจทำหลายๆ เรื่อง

‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของเขาอยู่ในการฝึกฝนมาโดยตลอด

แล้วในวันหนึ่ง

‘วายุอัสนีธาตุไม้’ ขั้นที่เจ็ดของจ้าวเฟิงก็เลื่อนขึ้นไปอีกขั้นจนไปแตะระดับสุดยอด!

สูงขึ้นไปอีกขั้นก็คือวายุอัสนีธาตุไม้ ซึ่งเป็นอัสนีเพลิงโจมตีที่แกร่งกล้า

แต่ในศาสตร์อัสนีเพลิง วายุอัสนีสีชาดที่จ้าวเฟิงฝึกฝนในชีวิตก่อนเกรียงไกรอย่างยิ่ง กระทั่งถึงขั้นอยู่เหนือจักรพรรดิวายุอัสนีเสียด้วยซ้ำ

“วายุอัสนีธาตุไม้ขั้นที่เจ็ดเหมาะสำหรับราชันปราณเทวะ เริ่มตั้งแต่ ‘วายุอัสนีธาตุไฟ’ ซึ่งเป็นขั้นที่แปดเป็นต้นไป น่าจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างจักรพรรดิไปจนถึงปฐมเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ”

จ้าวเฟิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า วายุอัสนีธาตุไม้ของตนเองขยายไปแตะขีดสุดยอด

หลายวันต่อมา กลิ่นอายบนร่างของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ปรากฏการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“ขอบเขตปราณเทวะช่วงกลาง!”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ตอนนี้ทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะช่วงกลาง ซึ่งนับได้ว่าอยู่ในตามที่คาดการณ์เอาไว้ ด้วยระดับในการพัฒนาเช่นนี้ อีกครึ่งปีเขาก็จะกลายเป็นจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์

ในช่วงชีวิตก่อนขณะที่อยู่ในชางไห่ พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็อยู่ในขอบเขตปราณเทวะช่วงกลาง

ตอนนี้ พลึงฝึกตนของจ้าวเฟิงได้ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในขอบเขตปราณเทวะช่วงกลาง นับได้ว่า ‘อยู่เหนือ’ ชีวิตก่อนในทุกด้าน

พลังฝึกตนในระดับเดียวกัน วิชาที่จ้าวเฟิงฝึกฝนแข็งแกร่งและสมบูรณ์ครบถ้วนมากกว่า

ไพ่ไม้ตายที่สำคัญที่สุดของจ้าวเฟิงอย่างพลังอัสนีเทวะ จำนวนที่ดูดซับไปได้ หรือพลังที่สามารถใช้ก็ล้วนแต่อยู่เหนือช่วงชีวิตก่อนทั้งสิ้น

ระดับขั้นดวงวิญญาณ การหล่อหลอมกับพลังวายุอัสนีเทวะในช่วงนี้ ไม่ได้ต่างจากชีวิตก่อนมากนัก และในระดับความคงทนยังแข็งแกร่งกว่าในอดีตด้วย

สำหรับระดับพลังในขั้นจักรพรรดิ เพราะแฝงไปด้วยพลังอัสนีทีเทวะที่แข็งแกร่ง และยังอยู่เหนือช่วงชีวิตก่อนอีกด้วย

เวลาผ่านไปยาวนานเช่นนี้ ดวงตาเทพเจ้ายังไม่ปรากฏการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น นี่เป็นจุดที่ค่อนข้างน่าเสียดาย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าตนเองอยู่ห่างจาก ‘เส้นแบ่ง’ ในการเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไปของดวงตาเทพเจ้า และกำลังเข้าไปใกล้ทีละน้อย

“นายท่าน กำลังจะถึง ‘หอควันสมุทร’ แล้ว”

เสียงอ่อนหวานดังขึ้นที่ริมหู ความเร็วของพาหนะเพลิงวายุกำลังลดลง

“ถึงแล้วหรือ?”

จ้าวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก มองไปที่ส่วนในของตัวเกาะที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและควัน ใหญ่กว่าทวีปบุปผาครามอย่างยิ่ง

ในวินาทีนี้เอง ในใจของเขามีแววรอคอย หรือกระทั่งกังวลตึงเครียดเล็กน้อย

จะสามารถทำให้เป้าหมายในการควบคุมคาบสมุทรเป็นจริงได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ก้าวแรกนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version