บทที่ 893 หอควันสมุทร
เกาะเขตภายในอันเป็นที่ตั้งของหอควันสมุทร มีนามว่าดินแดนเกาะหมอกจันทร์
ตำแหน่งที่ตั้งของเกาะดังกล่าวพิเศษและประหลาดอย่างยิ่ง ด้วยละแวกใกล้เคียงของมันแทบจะไม่มีหมู่เกาะใดๆ เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกลและโดดเดี่ยว
ดินแดนเกาะหมอกจันทร์แห่งนี้ ถึงแม้ยังไม่ถึงระดับดินแดนเกาะเทียนเฟิง แต่ทรัพยากรภายในตัวเกาะอุดมสมบูรณ์ยิ่ง สภาพแวดล้อมโดดเด่น และมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่ากว่าของทวีปบุปผาคราม
นอกจากนี้ รอบดินแดนเกาะหมอกจันทร์ยังมีพื้นที่ขนาดเล็กคล้ายกับ ‘เขาปาฮวง’ สิบกว่าแห่งกระจายตัว และยังมีทรัพยากรประเภทต่างๆ และพื้นที่เช่นนี้อยู่ในการควบคุมดูแลของหอควันสมุทรอย่างสิ้นเชิง
ถึงอย่างไรตัวของหอควันสมุทรก็เคยเป็นสำนักสองดาวในระดับสุดยอด เบื้องหลังยังมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอย่างวังเก้านิรย
“ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของหอควันสมุทรอยู่ที่พื้นที่บริเวณรอบๆ ของมันไม่มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจากกลุ่มดินแดนเกาะหรือดินแดนเกาะอื่นๆ เหมาะกับการพักฟื้นพัฒนาตน…”
ปี้ชิงเยว่ยิ้มแย้มน้อยๆ
มีทรัพยากรที่สมบูรณ์ พื้นที่ใกล้เคียงก็ไม่คู่แข่งอีก หากเปลี่ยนเป็นกองกำลังอื่นๆ แล้วละก็ ขอแค่ไม่มีเหตุไม่คาดฝันอะไร พลังอำนาจของสำนักก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างช้าๆ
“ตำแหน่งภูมิศาสตร์เช่นนี้สะดวกสบายเกินไปส่วนหนึ่ง ขาดคู่ต่อสู้ที่ควรจะมีไป แต่ว่าในฐานะที่เป็นแนวหน้า เป็นจุดเริ่มในการยึดครองแถบชายทะเล นับได้ว่าเพียงพอแล้ว”
จ้าวเฟิงเอ่ยประเมิน โดยสรุปแล้วนับได้ว่าพึงพอใจ
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาก็โตมากับสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด นี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เขาพัฒนาตัวเองด้วยความเร็วราวกับติดปีก
“คำพูดของนายท่านมีเหตุผล”
ปี้ชิงเยวี่ยพยักหน้าและส่งยิ้มน้อยๆ แต่ไม่เห็นด้วยทั้งหมด “แต่หอควันสมุทรที่เป็นกึ่งๆ หน่วยข่าวกรอง สมาชิกของสำนักมักจะออกไปด้านนอก กระจายตัวไปตามพื้นที่ขอบทะเลต่างๆ ฝึกฝนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด ส่วนคนอ่อนแอกว่าก็ต้องจากไป ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นหัวกะทิทั้งสิ้น”
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ปี้ชิงเยวี่ยที่ถูกตี ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ลงไป ถึงแม้จะยินยอมตนเองอย่างไร้เงื่อนไข แต่ยังมีอิสระในความคิดพอสมควร
นางสามารถมีความคิดเห็นและมุมมองเป็นของตนเอง ไม่ได้เป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์
ดูๆ ไปแล้วจากการที่ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ถูกจ้าวเฟิงแก้ไขปรับปรุงครั้งแล้วครั้งเล่า มีหลายอย่างที่ค่อยๆ อยู่เหนือการคาดเดาของเขาเช่นกัน
เป้าหมายเดิมที่เขาปรับแก้ตราผนึกดวงใจทมิฬก็เพื่อรักษาศักยภาพของทาสรับใช้ที่ถูกควบคุมไว้
แต่ทว่า จะรักษาศักยภาพเอาไว้ก็จำเป็นต้องมีแนวความคิดที่เป็นตัวของตัวเองส่วนหนึ่ง ไม่ใช่หุ่นเชิดหุ่นกระบอก
วู้ม!
จ้าวเฟิงและปี้ชิงเยวี่ยนั่ง ‘พาหนะเพลิงวายุ’ เข้าไปภายในดินแดนเกาะหมอกจันทร์อย่างรวดเร็ว
หอควันสมุทรเป็นกลุ่มอำนาจเดียวในดินแดนเกาะหมอกจันทร์ ตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวานที่ราวกับแดนเซียน
กลางอากาศเหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวานอยู่ท่ามกลางค่ายกลละอองน้ำเลือนราง ด้านในสามารถมองเห็นหมู่อาคารหลายหลังอยู่รางๆ ขนาดเกือบเทียบเท่ากับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“ที่นี่เป็นเพียงแค่ฐานหลักของหอควันสมุทร คล้ายคลึงกับแบบแผนของสำนัก แต่โครงข่ายข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงกระจายตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ของแถบชายทะเล สถานที่ที่ใช้ในการฝึกฝนกลับเป็นพื้นที่ขนาดเล็ดแถวนี้เอง…”
ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยแนะนำ
จ้าวเฟิงเข้าใจ กลุ่มอำนาจหอควันสมุทรแห่งนี้มีรูปแบบเป็นกึ่งสำนัก กึ่งหน่วยข่าวสาร
สาขาหลักของหอควันสมุทรที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวานคล้ายคลึงกับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จะผลิตกำลังคนลูกศิษย์ให้ไม่ขาด หลังจากนั้นก็จะส่งลูกศิษย์สมาชิกของสำนักไปฝึกพิเศษตามพื้นที่ขนาดเล็กรอบๆ ตามลักษณะพิเศษเช่นพลัง ศักยภาพ และพลังพรสวรรค์
รูปแบบเช่นนี้ ในราชวงศ์ต้าเฉียนหรือกระทั่งพื้นที่แถบชายทะเลค่อนข้างหาดูได้ยากยิ่ง
สวบ สวบ!
ทั้งสองคนเข้าไปที่หอควันสมุทรใต้ค่ายกลละอองน้ำ ในระหว่าทางยังเจอสมาชิกส่วนหนึ่งด้วย
“คารวะเจ้าหอ!”
คนที่เอ่ยปากทักทายเหล่านั้นอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเกิดระดับสูงเป็นอย่างน้อย
คนเหล่านี้มองเห็นจ้าวเฟิงผู้อยู่ข้างกายปี้ชิงเยวี่ย ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ แต่ไม่ได้ถามอะไรนักหนา
เวลาไม่นานนัก ปี้ชิงเยวี่ยพาจ้าวเฟิงไปยังด้านหน้าของคฤหาสน์ริมทะเลสาบที่ประณีตและเย็นสบาย
คฤหาสน์ริมทะเลสาบหลังนี้สภาพแวดล้อมเงียบสงบ อยู่ตรงใจกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวาน และเป็นคฤหาสน์ของปี้ชิงเยวี่ย
“นายท่านพักอาศัยอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน มีจุดไหนที่ไม่พอใจหรือไม่?”
ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ
“ไม่เลวนัก”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ปี้ชิงเยวี่ยจัดแจงให้ตนเองอาศัยอยู่ในที่พักของตัวนางเอง
เขาค้นพบว่าหลังจากที่ปรับปรุง ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ หลายต่อหลายครั้ง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อยู่หลายส่วน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอยู่ที่คฤหาสน์ของปี้ชิงเยวี่ยเพื่อสังเกตอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
“อาจารย์! ท่านกลับมาแล้ว…”
และในเวลานี้เอง ด้านนอกคฤหาสน์ปรากฏดรุณีในชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้มโผเข้ามา อายุประมาณสิบเจ็ด สิบแปดปี ใบหน้างามราวภาพวาด ให้ความรู้สึกสดใสราวดอกบัวขาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องแก่ผู้พบเห็น
ขนาดจ้าวเฟิงผู้พบเห็นสตรีโฉมงามมามากยังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง
นี่ทำให้เขานึกถึงจ้าวหยูเฟยที่ไม่ได้พบนานแล้ว รวมไปถึงหลิวฉินซินที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
ในขณะที่ย้อนคิดไป แววตาของจ้าวเฟิงก็จับจ้องดรุณีชุดกระโปรงสีเขียวเข้มนางนั้น ที่ชวนให้รู้สึก ‘หลงใหล’ ในความงามของนาง
แต่ดรุณีชุดกระโปรงสีเขียวเข้มนางนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาแปลกไป ในใจออกจะรู้สึกดูแคลน
เพียงแต่นางแปลกใจ ท่านอาจารย์สูงส่งผุดผ่อง ไม่เคยให้ชายหนุ่มคนใดมาที่คฤหาสน์ของตน
“เจี๋ยเอ๋อร์ ยังไม่มาเคารพผู้อาวุโสจ้าวท่านนี้อีก”
ปี้ชิงเยวี่ยรีบเปิดปากเอ่ย ส่งสายตาให้ดรุณีชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้ม
แววตาของจ้าวเฟิงหยุดลงบนร่างของศิษย์ และนางเองก็เห็นภาพ ‘ชวนหลงใหล’ ชั่วครู่นั้น ในใจรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสจ้าว?”
วงหน้างามผุดผาดของนางฉายแววตื่นตระหนก สะท้อนความสงสัยและไม่เชื่อถือออกมา
แต่คำสั่งของอาจารย์ไม่อาจต่อต้านได้ นางยอบกายทำความเคารพจ้าวเฟิงอย่างเสียไม่ได้ “ศิษย์จานเจี๋ยเอ๋อร์ เคารพผู้อาวุโสจ้าว”
จ้าวเฟิงมอง ‘จานเจี๋ยเอ๋อร์’ อยู่ครู่หนึ่ง สตรีนางนี้อายุพอๆ กับจ้าวหยูเฟย แต่กลับมีท่าทีราวเพิ่งทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะ พรสวรรค์และศักยภาพน่าตกใจนัก
“ศิษย์ข้าผู้นี้เมื่อสี่ห้าเดือนก่อนออกมาจากมิติเทพลวงตา โอกาสนับว่าไม่เลว เมื่อไม่มานี้เพิ่งจะทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะได้ แต่ว่าเปรียบกับนาย…ใต้เท้าแล้วต่างกันราวกับโคลนตมและก้อนเมฆ”
ปี้ชิงเยวี่ยอธิบายพลางอมยิ้ม
ระหว่างนั้น นางสังเกตเห็นท่าทีของจ้าวเฟิงที่มีต่อจานเจี๋ยเอ๋อร์ จึงรีบร้อนเปลี่ยนจาก ‘นายท่าน’ มาเป็นใต้เท้าแทน
จ้าวเฟิงยังไม่อยากให้วิชาควบคุมสรรพชีวิตมาเป็นทาสของตนถูกเปิดโปงเร็วเกินไปนัก
“ใต้…ใต้เท้า?”
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ใบหน้าของจานเจี๋ยเอ๋อร์ก็ตื่นตะลึง อ้าปากกว้าง
นางเป็นถึงหญิงงามลำดับหนึ่งของรุ่นใหม่ในหอควันสมุทร พรสวรรค์ก็อยู่เหนือกว่าคนในวัยเดียวกัน คาดคิดไม่ถึงเลยว่าในสายตาของอาจารย์ ความสามารถของนางกลับอยู่ห่างไกลกับเด็กหนุ่มคนนี้อย่างยิ่ง
‘นอกเสียจากว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนของวังเก้านิรย? แต่ที่สุดแล้วมีสถานะอย่างไรกันแน่ จึงสามารถทำให้อาาจารย์เรียกขานเขาเช่นนี้?’
นอกเหนือจากตื่นตกใจแล้ว ความคิดจานเจี๋ยเอ๋อร์ก็หมุนวน
แต่นางคิดไม่ออกเลย อาจารย์ผู้มีฐานะเป็นจักรพรรดิชั้นยอดและยังเป็นผู้ดูแลสาขาหลักของสำนักสองดาว ต่อให้เป็นองค์ชายของต้าเฉียนก็ไม่น่าจะเรียกขานเช่นนี้
“ขอบังอาจถามผู้อาวุโส ท่านมีนามว่าอย่างไรกัน”
ในที่สุดจานเจี๋ยเอ๋อร์เก็บงำความดูแคลนในใจ เด็กหนุ่มผมม่วงที่สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มตรงหน้าเหมือนอยู่ในหมอกควันเลือนราง
ในใจนางก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มผู้นี้มีสถานะที่แท้จริงอย่างไรกันแน่?
จ้าวเฟิงไม่ได้ตอบคำถามของนาง คิดอะไรออกได้ในฉับพลัน จึงเอ่ยกับปี้ชิงเยวี่ย “เรื่องนี้จะช้าไม่ได้ ต้องรีบลงมือทำอะไรเสียแล้ว มิฉะนั้นเจ้าพวกชั่ววังเก้านิรยเหล่านั้นจะจับสังเกตสถานะของข้าได้แล้วไหวตัวทัน…”
“ชิงเยวี่ยสะเพร่าไปแล้ว”
ปี้ชิงเยวี่ยรู้สึกผิดและตึงเครียด
สถานะเทพราชาดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ข่าวคราวการโจมตีสังหารจักรพรรดิชั้นยอดหลายคนและเอาชนะจักรพรรดิมารเสวียนหลัวก็จะไม่ใช่ความลับอะไร
จากนั้นปี้ชิงเยวี่ยจึงเริ่มถ่ายทอดคำสั่ง
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ปิดผนึกทั้งหอ ทำได้เพียงเข้าห้ามออก ผู้ขัดขืนลงโทษไม่ละเว้น!”
คำสั่งแรกของปี้ชิงเยวี่ยคือการปิดผนึกหอควันสมุทรสาขาหลักที่ตั้งอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวาน
คำสั่งนี้ถูกถ่ายทอดและปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิชั้นยอดเพียงคนเดียวของสำนัก อำนาจปกครองหอควันสมุทรของปี้ชิงเยวี่ยแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ระหว่างปิดผนึกสำนักทั้งหมด ปี้ชิงเยวี่ยลอยตัวมองด้วยสายตาตนเองอยู่ด้านบน
ขวับ!
ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวาน คนระดับสูงส่วนหนึ่งในขอบเขตปราณเทวะถูกทำให้ตื่นตกใจ จำนวนไม่น้อยปรากฏตัวขึ้นและบินไปเกาะกลุ่มอยู่กับปี้ชิงเยวี่ยที่กลางอากาศ
“เจ้าหอ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงกับต้องปิดผนึกทั่วทั้งหอ”
“สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวานหลายสิบปีแล้ว…”
คนระดับสูงของสำนักเหล่านี้เอ่ยถกกันไปมา
ปี้ชิงเยวี่ยไม่ตอบ ทำเพียงรอให้ปิดผนึกทั้งสำนักจนทั่ว
หลังจากนั้น
นางจึงถ่ายทอดคำสั่งที่สอง เรียกประชุมคนระดับสูงทั้งหมดของหอ
“สมาชิกที่อยู่เหนือขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันในสำนัก ทั้งหมดจงมารวมตัวที่ ‘ตำหนักผืนฟ้ามหาสมุทร’…”
คำสั่งของปี้ชิงเยวี่ยถูกดำเนินการไปเป็นลำดับ
เพราะไม่รู้สาเหตุ คนระดับบนและล่างของสำนักจึงไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง
แต่ว่าบรรยากาศที่กดดันค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมทั้งหอควันสมุทร
จานเจี๋ยเอ๋อร์กลับสังเกตได้ว่า คำสั่งเหล่านี้และบรรยากาศอำมหิตที่ตึงเครียดในฉับพลันต้องเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มผมม่วงผู้ลึกลับ
ไม่นานนัก
บรรดาคนในระดับสูงของหอควันสมุทรก็มารวมตัวกันที่ ‘ตำหนักผืนฟ้ามหาสมุทร’
ปี้ชิงเยวี่ยนั่งอยู่บนตำแหน่งเก้าอี้ผู้สูงศักดิ์ แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือมุมกำแพงด้านหลังร่างนางมีเด็กหนุ่มผมม่วงยืนพิงอยู่
เด็กหนุ่มผู้นั้นยืนพิงที่มุมห้องด้วยท่าทีสบายๆ และเกียจคร้าน ดูไม่เข้ากับบรรยากาศตึงเครียดกดดันทั่วทั้งหอควันสมุทร
คนในระดับสูงของหอควันสมุทรไม่น้อยมองเด็กหนุ่มลึกลับหลังปี้ชิงเยวี่ย ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
มีคนจำนวนไม่มากนักจ้องเด็กหนุ่มผมม่วงด้วยแววตาแปลกใจสงสัย
ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตปราณเทวะของหอควันสมุทรที่มาถึงมีแปดเก้าคน และไม่ใช่ทั้งหมดทุกคน ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่กระจายตัวไปตามสถานที่ต่างๆ ในแถบชายทะเล
แต่ในบรรดาคนระดับสูงของหอควันสมุทร มีกลิ่นอายศาสตร์มารที่โหดเหี้ยมอำมหิตสามกลุ่มสะดุดตาอย่างมาก
กลิ่นอายศาสตร์มารทั้งสามมาจากจักรพรรดิขอบเขตปราณเทวะผู้หนึ่ง และราชันขอบเขตปราณเทวะสองคน
“ปี้ชิงเยวี่ย เจ้าเรียกคนจำนวนมากมาเช่นนี้เพราะเหตุใด?”
จักรพรรดิศาสตร์มารผู้นั้นแค่นเสียงหยัน พลานุภาพศาสตร์มารมหาศาลทำให้ทั่วทั้งตำหนักผืนฟ้ามหาสมุทรสั่นเทาเล็กน้อย
ผู้อื่นเคารพยำเกรงในตำแหน่งและอำนาจของปี้ชิงเยวี่ย แต่จักรพรรดิศาสตร์มารผู้นี้กลับไม่ยำเกรงแม้แต่น้อย
เพราะว่าเขาเป็นจักรพรรดิที่วังเก้านิรยส่งมาอยู่กลุ่มอำนาจในอาณัติ
พูดให้ง่ายหน่อยคือจักรพรรดิศาสตร์มารผู้นี้มาเพื่อสอดส่องดูแลขั้วอำนาจใต้อาณัติอย่างหอควันสมุทรโดยเฉพาะ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หอควันสมุทรจะเป็นอิสระ จะแยกออกจากกลุ่มของวังเก้านิรยอย่างแท้จริง”
ปี้ชิงเยวี่ยไม่แยแสจักรพรรดิศาสตร์มารผู้นี้ นางเอ่ยเสียงเย็น ประกาศก้องไปทั่วทั้งหอควันสมุทร
ทันใดนั้น หอควันสมุทรตกอยู่ในความเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นสมาชิกของวังเก้านิรยที่อยู่อาศัยที่นี่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว โวยวายขึ้นมา
“ปี้ชิงเยวี่ย! คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าทรยศวังเก้านิรย!”
“เหอะ! เจ้าคิดจะดึงหอควันสมุทรลงไปในหุบเหวมรณะ…”
จักรพรรดิศาสตร์มารที่เป็นผู้แข็งแกร่งลำดับต้นๆ ของวังเก้านิรยผู้นั้นคำรามเสียงก้อง
นอกจากนี้ยังมีพรรคพวกที่สนิทสนมกับวังเก้านิรยเอ่ยตำหนิปี้ชิงเยวี่ย
ปี้ชิงเยวี่ยและจ้าวเฟิงมองสบตากันคราหนึ่ง
คนทั้งสองลอบจดจำคนที่เอ่ยคัดค้านไว้ในใจ
เจ้าของน้ำเสียงเหล่านี้ นอกจากเป็นสมาชิกของวังเก้านิรย ก็เป็นพวกที่สนิทสนมกับฝ่ายนั้น
“อาจารย์กล้าตัดสินใจเช่นนี้เชียวหรือ หรือว่านางไม่กลัววังเก้านิรย…”
‘จานเจี๋ยเอ๋อร์’ ในชุดเขียวเข้มตกอยู่ในห้วงภวังค์
ผลที่ตามมาจากการทรยศวังเก้านิรย ปี้ชิงเยวี่ยผู้เป็นเจ้าสำนักจะไม่รู้เชียวหรือ?
‘ปี้ชิงเยวี่ยมีที่พึ่งอะไรกันแน่ ถึงกล้าตัดสินใจเช่นนี้?’
จักรพรรดิศาสตร์มารผู้แข็งแกร่งของวังเก้านิรยมีแววตาเคร่งขรึมเย็นชา อดจะมองเด็กหนุ่มผมม่วงที่ไม่เคยพูดจาอะไรในมุมลึกของตำหนักไม่ได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด ภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้ให้ความรู้สึกคุ้นตาและคุ้นเคย ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบหน้ากัน