บทที่ 895 เฒ่าประหลาดสวี
“ชิงเยวี่ยยินดีทำตามความต้องการของนายท่านทุกอย่าง หวังเพียงแต่ว่าท่านจะปล่อยเจี๋ยเอ๋อร์ไป…”
หญิงงามราวเทพธิดาแห่งดวงจันทร์เปลื้องชุดขาวออกอย่างช้าๆ ผิวนวลเนียนขาวราวหิมะปรากฏแก่สายตา ทำให้คนที่พบเห็นเลือดลมปั่นป่วน
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้จ้าวเฟิงอึ้งตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ยามนี้
ปี้ชิงเยวี่ยผู้สูงส่งงามสง่ามาโดยตลอด ใบหน้าเย็นชาปรากฏสีแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด ท่าทีแฝงการอ้อนวอน ไหล่ขาวนวลเนียนสั่นเทาเล็กน้อย บนผิวขาวขึ้นสีชมพูระเรื่อ ทรวงอกอิ่มใต้ผ้ารัดที่เหมือนแผ่ไออุ่นเย้ายวนใจคนกำลังจะปรากฏออกมา
โดยเฉพาะในขณะที่ปลดชุดกระโปรงออก ขาเรียวยาวราวก้านบัวดึงดูดจิตใจผู้คน ภาพที่งดงามนั้นมากพอจะทำคนบ้าคลั่งได้ ภาพที่ระทึกใจเช่นนี้มากพอจะทำให้ชายหนุ่มคนใดก็ตามร้อนรุ่มจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ถึงแม้จะเป็นผู้ที่มีจิตแน่วแน่อย่างจ้าวเฟิงก็ยังลำคอแห้งผาก ความร้อนรุ่มค่อยๆ แผ่ขยายออกมาจากช่องท้อง
ร่างกายของเขารู้สึกตื่นตัวโดยสัญชาตญาณ อยากจะผลักสตรีที่สูงส่งผุดผ่องนางนี้ลงบนพื้นและกระทำการหยาบหยามสักครั้ง
นี่เป็นปฏิกิริยาที่ย่อมต้องเกิดกับชายหนุ่มทั่วไป
แต่นัยน์ตาของจ้าวเฟิงกลับกระจ่างและสงบราบเรียบ สัญชาตญาณร้อนรุ่มของร่างกายและความเยือกเย็นในชั้นจิตวิญญาณ เกิดเป็นการปะทะกันของไฟและน้ำแข็ง
หลังจากที่หลอมรวมดวงตาเทพเจ้าแล้ว ความแข็งแกร่งในจิตตั้งมั่นของจ้าวเฟิงก็สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้ กดข่มทั้งหมดเอาไว้
มีเพียงจิตใจที่ต้องการไล่ตามความแข็งแกร่ง ถึงเป็นสิ่งที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
“งดงามจริงๆ”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกรอยยิ้มบาง
เอื้อมมือไปประคองใบหน้างามล่มเมืองของปี้ชิงเยวี่ยขึ้นมาเล็กน้อย
นัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาไม่ปกปิดอะไรทั้งสิ้น มองประเมินร่างงามที่เย้ายวนใจผู้คน
เรือนร่างอรชรของปี้ชิงเยวี่ยแข็งทื่อ ปิดเปลือกตาตาลง แพขนตากระพือเบาๆ ใบหน้าสงบนิ่งราวค่ำคืนแสงจันทร์เจือสีแดงก่ำ พ่ายแพ้ต่อความกระดากอาย
หยดน้ำตาสองสายไหลลงเป็นทางบนวงหน้างาม ตราตรึงใจผู้ที่พบเห็น และย่อมกระตุ้นความต้องการของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องสงสัย
แต่ทว่า
ใจของนางกระอักกระอ่วน หลับตาลงเนิ่นนาน แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่มีปฎิกิริยาอะไร พรึ่บ!
จู่ๆ ชุดกระโปรงขาวก็ถูกมือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจับคลุมบนร่างนางเบาๆ “นายท่าน…”
ปี้ชิงเยวี่ยลืมตาขึ้น มองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาคาดไม่ถึง
ความงามและเสน่ห์ของนางมีมากเท่าไหร่ ตัวของนางรู้อย่างลึกซึ้ง มีคนมาไล่ตามขอความรักจากนางตั้งแต่เป็นดรุณีแรกรุ่น เพียงแต่นางได้รับผลกระทบด้านนิสัยและวิชาต่างๆ จึงยึดมั่นในคุณธรรมและมีความปรารถนาส่วนตัวน้อย จนถึงวันนี้นางจึงเป็นหญิงบริสุทธิ์
คาดคิดไม่ถึงเลยว่า เด็กหนุ่มผู้นี้จะปฎิเสธเสน่ห์ความงามของนาง
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า นี่จะต้องใช้จิตใจที่แน่วแน่มากขนาดไหน
“ข้าไม่อาจตอบรับคำขอของเจ้าได้”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะพลางเอ่ย เมื่อปี้ชิงเยวี่ยได้ยินดังนั้น ร่างก็สั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก
หรือว่าจ้าวเฟิงถูกใจจานเจี๋ยเอ๋อร์เข้าแล้วจริงๆ จึงไม่ยอมตอบรับคำขอของนาง? แต่สิ่งที่นางคิดไม่ตกก็คือ
ถึงแม้ว่าจานเจี๋ยเอ๋อร์จะมีความงามที่ใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เมื่อเปรียบกับหญิงงามผุดผาดสมวัยอย่างนางแล้วยังต่างกันพอควร “เพราะอะไร?”
ปี้ชิงเยวี่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
จ้าวเฟิงเอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย “เจ้าเป็นข้ารับใช้ของข้า ถ้าหากว่าข้ามีความต้องการอะไร เจ้าไม่สามารถจะขัดขืนได้ ต้องยอมข้าทั้งหมด”
สีหน้าปี้ชิงเยวี่ยซีดเผือด พูดอะไรตอบกลับไม่ถูก
อันที่จริง
ภายใต้ผลของตราผนึกดวงใจทมิฬ ในด้านของความคิดและสติของนางจะไม่สามารถต่อต้านจ้าวเฟิงได้เลย เมื่อขัดขืนฝ่ายตรงข้าม พลังดวงวิญาณของนางก็จะสูญสลายหายไป
“ถ้าหากท่านชอบเจี๋ยเอ๋อร์ด้วยใจจริง ก็…”
ปี้ชิงเยวี่ยกัดริมฝีปาก ทำได้เพียงพยายามหาตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ต้องขออภัยด้วย ข้าไม่ได้สนใจจานเจี๋ยเอ๋อร์”
เสียงราบเรียบของเด็กหนุ่มดังขัดคำพูดนาง
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ปี้ชิงเยวี่ยมีสีหน้าตื่นตกใจ ชะงักงันไป ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ เกรงว่าตนเองจะเข้าใจจ้าวเฟิงผิดไป
จ้าวเฟิงไม่สามารถปกปิดความชื่นชมในหญิงงามได้ แต่ไม่ได้แสดงว่าเขาคิดอะไรนอกลู่นอกทางกับพวกนาง
ตัวของเขาเองมีคู่หมั้นอยู่คนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน มีความรู้สึกไม่ชัดเจนกับจ้าวหยูเฟยที่ยังไม่ได้จัดการให้เด็ดขาด
จ้าวเฟิงไม่อยากยุ่งยาก และตกลงในวังวนของความสัมพันธ์มากขึ้น
ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
“เป็นข้าที่มองนายท่านผิดไป…”
วงหน้างามของปี้ชิงเยวี่ยเต็มไปด้วยความเขินอาย ก้มหน้าก้มตาจัดแจงเสื้อผ้า เตรียมที่จะจากไปในทันที
ในเวลานี้ นางแทบจะอยากหารูมุดเข้าไปใจจะขาด
คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความเยือกเย็นอย่างนางเป็นคนโผเข้าไปหาอ้อมอกบุรุษด้วยตนเอง และยังโดนอีกฝ่ายปฎิเสธด้วย
“รอก่อน” จ้าวเฟิงพลันเปิดปากเอ่ย เรียกให้ปี้ชิงเยวี่ยอยู่ก่อน
และในขณะที่ปี้ชิงเยวี่ยกำลังลังเล
ขวับ! จ้าวเฟิงโบกมือข้างหนึ่ง จักรพรรดิศาสตร์มารคนก่อนหน้านี้ปรากฏกายขึ้นในหอ
“คารวะนายท่าน”
จักรพรรดิศาสตร์มารจากวังเก้านิรยเอ่ยด้วยใบหน้าเคารพนบนอบ
จักรพรรดิศาสตร์มารผู้นี้ศิโรราบต่อจ้าวเฟิงเพราะการควบคุมของ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ เช่นกัน
จ้าวเฟิงคิดว่าจะให้จักรพรรดิศาสตร์มารผู้นี้อยู่ที่หอควันสมุทรเพื่อเป็นกำลังเสริมให้กับปี้ชิงเยวี่ย
เดิมทีหอควันสมุทรมีจักรพรรดิสองคน นอกจากปี้ชิงเยวี่ยยังมีอีกผู้หนึ่งด้านนอก เมื่อบวกกับจักรพรรดิแห่งวังเก้านิรยผู้นี้แล้วก็มีจักรพรรดิสามคนพอดี
“ข้าจะไปจากที่นี่ช่วงหนึ่ง มีเรื่องอะไร ตราผนึกดวงใจทมิฬระหว่างพวกเราสามารถสัมผัสถึงกันได้แม้ระยะทางจะไกล…”
จ้าวเฟิงเอ่ยต่อ ประสาทสัมผัสที่มีระหว่างกันของตราผนึกดวงใจทมิฬแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เทียบเท่าได้กับสัตว์วิเศษกับผู้เป็นเจ้าของ สามารถสื่อสารถึงกันได้ง่ายดายถึงแม้จะอยู่ไกลกัน
ถ้าหากว่าไกลเกินไป จ้าวเฟิงก็ยังคงสัมผัสได้ถึงการเรียกร้องของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างคร่าวๆ
“นายท่าน ท่านสังหารจักรพรรดิวังเก้านิรยไปหลายคน หลังจากที่จักรพรรดิมารเสวียนหลัวกลับไปแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าจะส่งเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับที่แข็งแกร่งกว่ามาทำร้ายพวกเรา”
ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้ากังวล
จักรพรรดิศาสตร์มารก็ผงกศีรษะติดๆ กัน “วังเก้านิรยจะไม่ปล่อยพื้นที่แถบชายทะเลนี้ไปง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ที่นายท่านนำออกมาจากคฤหาสน์เสียหยาง ไม่เพียงแต่วังเก้านิรย กลุ่มอำนาจอื่นๆ ยังลอบทำร้ายนายท่านได้ด้วย”
จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ตกลงสู่ห้วงความคิด
ความจริงแล้วปัญหาเช่นนี้เขาเองก็เคยคิดมาก่อน ถ้าหากเป็นยามก่อน เพียงการไล่สังหารจากเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ เขาแค่หนีไปก็พอแล้ว
แต่ในวันนี้ ขาต้องการจะสร้างกองกำลังของตนเอง จึงทำเช่นนี้ไม่ได้
“ทางฟากของวังเก้านิรยอาจจะส่งเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับผู้หนึ่งมารับมือกับข้า คิดดูแล้วก็เป็นขีดจำกัดสูงสุด”
สีหน้าจ้าวเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ผู้ดูแลสูงสุดในสำนักสามดาว โดยปกติแล้วจะเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ อย่างมากสุดก็เป็นครึ่งเทพ
“ต่อให้เป็นเซียนผู้หนึ่ง จะทำลายล้างหอควันสมุทรกับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ทำได้อย่างง่ายดาย”
ปี้ชิงเยวี่ยยิ้มอย่างขมขื่น นางไม่มีทางพูดอย่างง่ายดายเหมือนจ้าวเฟิง บอกว่าเป็นเพียงแค่เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับผู้หนึ่งเท่านั้น
จริงอยู่ที่ว่าอย่างมากวังเก้านิรยก็คงส่งเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับมาจัดแจงสถานการณ์ขั้วอำนาจทางแถบชายทะเล รวมไปถึงจัดการกับจ้าวเฟิงด้วย แต่ทันทีที่เซียนขอบเขตเทวาเร้นลับออกจากการปิดด่านและยื่นมือเข้ามายุ่ง ย่อมต้องอยู่ในสภาพไร้เทียมทาน พลานุภาพสะเทือนฟ้าดิน บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนและจักรพรรดิอาวุโสยังต้องถอยหนีไป
“ในจุดนี้ข้าย่อมต้องมีหนทางรับมือ”
จ้าวเฟิงไม่ได้กังวลมากนัก หยุดไปแล้วเอ่ยต่อ “กลับกัน หอควันสมุทรจะวางโครงสร้างหน่วยกรองข่าวสารให้ใหญ่ยิ่งขึ้น ขั้นแรกจะต้องครอบคลุมทั่วพื้นที่ติดชายทะเล ขั้นที่สองต้องแทรกซึมเข้าไปภายในดินแดนทวีป”
“เรียนนายท่าน หน่วยข่าวสารของพวกเรามีบางส่วนแทรกซึมเข้าไปถึงในดินแดนทวีปแล้ว แต่เพียงเฉพาะรอบนอกเท่านั้น หากจะขยายใหญ่ออกไปอีกขั้นหนึ่ง ต้องการทรัพยากรมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงพลังอำนาจระดับที่เขย่าขวัญผู้คน”
ปี้ชิงเยวี่ยมีสีหน้าลำบากใจ “ทรัพยากรและกำลังคน ข้าจะเป็นคนจัดการให้ หลังจากนี้เป็นต้นไป หอควันสมุทรจะควบคุมหน่วยข่าวสารโดยเฉพาะ”
สีหน้าของจ้าวเฟิงราบเรียบ กำหนดจุดยืนให้กับหอควันสมุทรอย่างรวดเร็ว
หอควันสมุทรในตอนนี้เป็นขั้วอำนาจกึ่งสำนักกึ่งหน่วยข่าวสาร ถ้าหากใส่ใจจัดการแต่ข่าวสารข้อมูลเพียงอย่างเดียวจะสามารถพัฒนาได้ยิ่งกว่า
“เจ้าค่ะ นายท่าน”
ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยรับคำ นางพอตระหนักได้ว่าจ้าวเฟิงกำลังวางหมากตัวสำคัญลงบนกระดาน
เริ่มตั้งแต่วันนี้ หอควันสมุทรก็จะทุ่มเทกำลังเป็นกลุ่มอำนาจในด้านข่าวสาร
แต่ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรหรือขั้วอำนาจใดๆ ไม่เพียงแต่เก็บเกี่ยวข้อมูลข่าวสารเท่านั้น ยังต้องมีพลังอำนาจที่เพียงพอด้วย
พลังอำนาจที่แกร่งกล้าเป็นพื้นฐานทั้งหมด
หน่วยข้อมูลข่าวสารถือเป็นก้าวแรก จ้าวเฟิงได้มอบให้เป็นหน้าที่ของหอควันสมุทร ส่วนตัวเขาเองเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง
ขั้วอำนาจที่มี ‘กำลังคุกคาม’ ที่แข็งแกร่ง จ้าวเฟิงจะเป็นคนสร้างด้วยตนเอง
“ข้าจะไปจากที่นี่ระยะหนึ่งก่อน…”
สิ่งที่จ้าวเฟิงควรมอบหมายและเข้าใจก็พอประมาณหนึ่งแล้ว
สวบ! เกราะแขนข้างหนึ่งของจ้าวเฟิงโบกครั้งหนึ่ง เงาสีเงินเข้มทับซ้อนกันไปมาอยู่รอบกาย ก่อนจะอ่อนแสงลงแล้วหายไปทันที
“ทะลวงมิติ?”
ปี้ชิงเยวี่ยและจักรพรรดิศาสตร์มารมองส่งจ้าวเฟิงหายไปจากครรลองสายตา
ไม่ใช้ค่ายกลใดๆ ก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ นับว่าน่าตื่นตะลึงอย่างมาก
ในวินาทีต่อมา กลางอากาศเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ขวับ!
เงาสีเงินเข้มชั้นหนึ่งทับซ้อนอยู่กลางอากาศ ปรากฎร่างเงาผมสีม่วงมาพร้อมกับคลื่นมิติกระเพื่อม
จ้าวเฟิงวางสัญลักษณ์มิติไว้ทั้งในจวนอ๋องโหว สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น และหอควันสมุทร
‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’
จ้าวเฟิงกวาดสายตาผ่านอาณาเขตด้านล่าง เงาสั่นไหว หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนเศษเสี้ยวสายฟ้าวิญญาณ
ส่วนลึกในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ณ สถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน
เมี้ยว!
หนึ่งคน หนึ่งแมว มองข้ามค่ายกลและการระแวดระวังอย่างง่ายดาย ปรากฏกายขึ้นบนมุมที่พักอาศัยลับตาคน
ในละแวกใกล้เคียงของที่พักอาศัยอันเงียบสงบ เกิดแรงกดดันที่สาดซัดออกมาจนตื่นตะลึง มากพอที่จะทำให้ราชันขอบเขตปราณเทวะต้องหยุดหายใจ
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นทั้งหมด คนจำนวนไม่มากนักจะกล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้น ในรัศมีร้อยลี้ของที่พักอาศัยไม่เห็นเงาร่างที่สองอีก
ในเวลาดังกล่าว
ในที่พักอาศัยอันเงียบสงบ ปรากฏแสงสีส้มสีเข้มเกี่ยวกระหวัดไปมา เกิดเป็นความรู้สึกประหลาดที่ปกปคลุมไปทั่วฟ้าดิน สภาพแวดล้อมในพื้นที่ใกล้เคียงไม่เหมือนกับโลกภายนอก
“ใครกัน”
ในส่วนลึกของเขตที่อยู่อาศัยสงบเงียบ มีเสียงที่ค่อนข้างชราลอยมา
ทันใดนั้นเอง ภายในห้องพักเก่าผุพังทะลักกลิ่นอายที่พลังรุนแรงที่ทำให้สรรพชีวิตสั่นไหวหวาดกลัว ไอสวรรค์ในอากาศเป็นเหมือนหยุดเคลื่อนไหว
“เฒ่าประหลาดสวี”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยเนิบนาบ
ภายใต้กลิ่นอายที่กดดันและน่ากลัวกลุ่มนั้น เขาสงบนิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
ในเวลานี้
เขามาที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ได้คิดคำนวณเอาไว้แล้วว่าเวลาที่เฒ่าประหลาดสวีทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับได้น่าจะผ่านไปแล้ว
หลายเดือนก่อนนี้ จ้าวเฟิงถอนตัวออกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น เคยทิ้งวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนส่วนหนึ่งเอาไว้
“สหายจ้าว”
ประตูห้องเก่าๆ เปิดออก ผู้เฒ่าผมขาวเดินโงนเงนมา บนใบหน้ามีแววยินดี
เมื่อเปรียบกับก่อนหน้านี้ กลิ่นอายความโรยราบนร่างของ ‘เฒ่าประหลาดสวี’ ลดลงไปเกินกว่าครึ่ง พลังชีวิตและระลอกพลังบนร่างแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่ในดวงตาของจ้าวเฟิงมีแววคาดหวังพาดออกมา และถอยร่นไปเล็กน้อย
“ทำให้สหายน้อยผิดหวังแล้ว ข้าผู้เฒ่าทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับไปได้แล้วครึ่งก้าว น่าจะเป็นเพราะความล้มเหลวในการทะลวงผ่านก่อนนี้และอายุขัยมาถึงขีดจำกัดแล้ว จึงลดสัดส่วนที่จะสำเร็จลงไป”
บนใบหน้าเฒ่าประหลาดสวีมีร่องรอยความรู้สึกผิด
ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นเมื่อสิบปีก่อนหรือกระทั่งร้อยปีก่อน เขาได้วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยังมากกว่าตอนนี้
ที่โชคดีก็คือ จากประโยชน์ของ ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ การเปลี่ยนแปลงในการทะลวงตนของเฒ่าประหลาดสวี จึงทำให้เท้าครึ่งก้าวของเขาเหยียบเข้าไปในขอบเขตเทวาเร้นลับ
อายุขัยของเขาได้รับการยืดออกไป และยังไปแตะระดับ ‘ปฐมเซียน’
จ้าวเฟิงผิดหวังอย่างยิ่ง เดิมทีเขายังคาดหวังว่าเฒ่าประหลาดสวีสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตเทวาเร้นลับ และช่วยยับยั้งเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับจากวังเก้านิรยที่อาจจะมาถึง
ถึงแม้จะเรียกว่าเป็นพลังรบของปฐมเซียน แต่ก็สูงส่งไม่ธรรมดา
“สหายจ้าว”
สีหน้าของเฒ่าประหลาดสวีเต็มไปด้วยความเว้าวอน เอ่ยว่า “ระดับขั้นชีวิตของข้าในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปถึงขั้นปฐมเซียน ถ้าหากว่าเจ้าสามารถมอบวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนให้ข้าอีกส่วน ผู้เฒ่ายังพอจะมีหวังเจ็ดส่วนเป็นอย่างน้อยที่จะไปถึงขอบเขตเทวาเร้นลับ”