บทที่ 897 ให้เจ้าหนีก่อนสิบช่วงลมหายใจ
“เทพราชาดวงตาซ้าย ตายซะ!”
กระบี่ระลอกเงาดำในมือเทพราตรีทมิฬ ในวินาทีที่ปรากฏขึ้นก็แทงตรงไปที่จ้าวเฟิงซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยความเร็วที่ไม่อาจจะหลบหลีกได้
ฉัวะ!
กระบี่ที่เหมือนระลอกเงาดำเกินกว่าชั้นรูปธรรมทั่วไปไปแล้ว มันแทบมองข้ามการป้องกันต่างๆ และแทงทะลุเข้าไปที่หัวใจของจ้าวเฟิง
“อ๊าก!”
จ้าวเฟิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิาฝึกตนร่างกายแข็งค้าง ไม่มีแรงจะโต้กลับ
ภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกับหนานเฟิงอ๋องตอนก่อนนี้ที่เทพราตรีทมิฬลงมือสำเร็จ
เพราะเทพราตรีทมิฬจะลอบโจมตีก่อน ระยะที่ใกล้มากขนาดนี้และความเร็วในการลงกระบี่ก็ทำให้ยากจะหลบหลีกได้
ยิ่งไปกว่านั้น
เป้าหมายที่โดนสังหารยังอยู่ระหว่างการฝึกตน รวบรวมจิตเอาไว้สูงสุด ประสาทสัมผัสที่มีต่อภายนอกจึงลดลงไป
พรึ่บ~
บาดแผลบริเวณอกที่ถูกแทงไม่มีเลือดไหลออกมา แต่กลับเกิดควันสีเทาดำลอยกรุ่น ร่างกายเน่าเฟะอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายชีวิตก็หายไปในฉับพลัน
“หืม?” เทพราตรีทมิฬเลิกคิ้วเมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
เป้าหมายคนใดๆ ที่เขาจะลงมือสังหาร เขาล้วนสืบเสาะหาข้อมูลมาอย่างเต็มที่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น
เทพราชาดวงตาซ้ายที่ต้องการลอบสังหารผู้นี้ ไม่ใช่เพียงสายเลือดดวงตาแกร่งกล้า แต่ยังชำนาญแขนงวิญญาณ และแก่นแท้กายเนื้อก็แข็งแกร่งเกินจะเปรียบ
ตามหลักเหตุผลแล้ว ความยากในการลงมือสังหารจ้าวเฟิงอยู่เหนือหนานเฟิงอ๋องด้วยซ้ำไป
ถึงแม้ว่า ‘กระบี่เงานภา’ ของเขาจะเป็นหนึ่งในเจ็ดมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ศาสตร์เงาสังหาร อีกทั้งยังแฝงไปด้วย ‘พิษวารีทมิฬ’ ที่มีเฉพาะในมุมมืดทมิฬเท่านั้น ตามหลักแล้วแปลว่าไม่น่าจะลงมือสังหารจ้าวเฟิงได้ง่ายดายเช่นนี้
ฟุ่บ! และในขณะที่เขารู้สึกได้ถึงอะไรที่ไม่ชอบมาพากล เบื้องหลังก็ปรากฏไอเย็นยะเยียบพร้อมด้วยคลื่นพลังศาสตร์เงาสังหารที่คุ้นเคย
เมี้ยว เมี้ยว!
กริชที่ราวกับเงามืดมิดด้ามหนึ่งแทงทะลุร่างของ ‘เทพราตรีทมิฬ’ จากด้านหลัง
กลิ่นอายของกริชเล่มนั้นไม่ต่างกับกระบี่เงานภาของเขาแม้แต่น้อย
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏกายขึ้นด้านหลังเทพราตรีทมิฬ กระบวนท่านี้ของมันแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่อีกฝ่ายลงมือ
ขอแค่เทพราตรีทมิฬแทงถูกจ้าวเฟิง ก็ไม่อาจจะหลบการโจมตีกระบวนท่านี้ได้
“อะไรกัน…กริชจักรพรรดิเงาสังหาร?”
ร่างของเทพราตรีทมิฬที่เหมือนคลื่นเงาดำบิดเบี้ยวไปมา ความเจ็บปวดแผ่ซ่านอย่างรุนแรง
ถ้าหากเป็นการโจมตีทั่วไป ด้วย ‘ร่างแยกแปดเงาทมิฬ’ ของเขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเสียด้วยซ้ำ อย่างมากก็แค่สูญเสียร่างแยกร่างหนึ่งไป
แต่ทว่า
‘กริชจักรพรรดิเงาสังหาร’ ของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยและวิธีลงมือเป็นศาสตร์เงาสังหารเหมือนกันกับเขา ซึ่งส่งผลข่มพื้นฐานสายเลือดประเภทนี้ของเขาพอดี
สิ่งที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดใจยิ่งกว่าคือ จ้าวเฟิงที่ถูกกระบี่แทงทะลุไป เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ร่างจริง
“เปรี๊ยะ!”
เสียงร้องดังกึกก้องในชั้นวิญญาณ เหมือนมีด่านเคราะห์หมื่นอัสนีผ่าลงมา
ร่างกายของเทพราตรีทมิฬเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ในชั้นวิญญาณก็เกิดเสียงอึกทึกกึกก้องขึ้น
ตูม!
และในวินาทีต่อมา แก่นแท้พลังรุนแรงที่น่ากลัวราวภูผาอัสนีก็ปะทะลงบนร่าง
ตาเปล่ามองเห็นได้เพียงลำแสงหมัดสีฟ้าทองกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นปกคลุมทั่วร่าง ‘เทพราตรีทมิฬ’
โครม ครืน ครืน!
หออันเป็นสถานที่ฝึกตนกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างรวดเร็ว
ร่างของเทพราตรีทมิฬถูกเงาร่างสีฟ้าทองวาววับซึ่งพุ่งจากใต้ดินโจมตีจนกระเด็นออกไป และกระอักเลือดในทันที
“เทพราตรีทมิฬ ข้ารอเจ้าอยู่พอดี!”
กายศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าทองของจ้าวเฟิงขยายออกหลายส่วน ในขณะที่โจมตีเทพราตรีทมิฬจนกระเด็นไป ร่างก็ตามติดเหมือนเงา และสำแดง ‘หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี’ โจมตีอย่างบ้าคลั่งไร้ขีดจำกัด
ที่แท้
จ้าวเฟิงตัวจริงเร้นกายฝึกตนอยู่ด้านล่างมาโดยตลอด ส่วนรูปร่างของผู้ฝึกตนที่ปรากฏบนหอก็เป็นของจริง
ทว่า ‘จ้าวเฟิง’ ตัวปลอมที่นั่งอยู่ด้านบนใช้รากบัวหิมะหลอมกายาสร้างเป็นกายเนื้อร่างหนึ่งชั่วคราว
ด้วยเพราะกลิ่นอายสอดคล้องกับจ้าวเฟิงที่ฝึกตนอยู่ด้านล่าง จึงยากจะมองออกได้
นอกจากนี้
จ้าวเฟิงยังให้เจ้าแมวขโมยตัวน้อยคอยเฝ้าอยู่ที่มุมด้านหลังของตนเอง
ขอแค่เทพราตรีทมิฬแทง ‘รากบัวหิมะหลอมกายา’ ร่างปลอมนั้น ก็ไม่อาจหลบการโจมตีจากด้านหลังของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยได้
“ติดกับแล้ว!”
ร่างของเทพราตรีทมิฬถูกปะทะจนลอยออกไป ตัวของเขาเองบาดเจ็บไม่น้อยจากการร่วมมือโจมตีของจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
ถึงแม้ว่าท่าร่างของเขาจะสูงส่งและประหลาด แต่ภายใต้การเล็งเป้าหมายด้วยสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง กลับไม่สามารถเร้นกายหนีไปได้
“หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี!”
จ้าวเฟิงส่งแสงหมัดซึ่งเป็นสายฟ้าทองเกี่ยวประสานออกไปหลายสาย รูปร่างคล้ายภูผาอัสนีโลหะ โชติช่วงรุนแรง ทุกครั้งที่โจมตีจะระเบิดอยู่กลางอากาศพร้อมปรากฏการณ์ราวอาทิตย์แผดเผา อานุภาพช่างน่าสะพรึง
โครม ตูม!
จากการกดดันโจมตีของเพลิงมารโลหิตและหมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี ร่างกายระลอกเงาดำของเทพราตรีทมิฬแตกละเอียดไปในทันที ก่อนกลายเป็นฝุ่นธุลีจากเพลิงเผาไหม้
“ ‘ร่างแยกแปดเงาทมิฬ’ ช่างแปลกประหลาดนัก!”
ท่ามกลางการเล็งเป้าหมายของดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงเห็นเพียงร่างของ ‘เทพราตรีทมิฬ’ แยกเป็นเงาเลือนรางสีดำมืดที่ทับซ้อนกันสองร่าง
หนึ่งในร่างแยกเงามืดแบกรับอาการบาดเจ็บส่วนมากของร่างจริง และสูญสลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา
แต่ร่างจริงของเขาแยกตัวออกมา กลายเป็นระลอกเงาดำสายหนึ่งเร้นหายไปในอากาศ ด้วยวิธีการที่คล้ายคลึงกับการอำพรางกายของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
พรึ่บ!
เทพราตรีทมิฬที่อยู่ในสภาวะเร้นกาย ด้านหลังยังกางปีกค้างคาวสีดำสนิทแล้วหายไปกับม่านราตรี ความเร็วในการหลีกหนีไปชวนให้ตื่นกลัวจนถึงขีดสุด
เวลาแค่พริบตาเดียว
เทพราตรีทมิฬตัวจริงก็โบยบินหนีไปจากจวนอ๋องโหว
กระบวนท่าเดียวไม่สำเร็จก็ถอยหนีไป นี่เป็นแนวทางของเทพราตรีทมิฬ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาถูกซุ่มโจมตีจากจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อย แม้กระทั่งร่างจริงของเขาก็ยังบาดเจ็บหนัก
“เจ้าชาติชั่ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้ามาเหยียบจวนอ๋องโหวของข้าอีกครั้ง!”
และเวลานี้เอง เสียงน่าเกรงขามดังมาจากส่วนลึกของจวนอ๋องโหว ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
วิ้ง!
กลุ่มแสงสีทองม่วงโปร่งแสงแวววาว หอบเอากลิ่นอายพลังมหาศาลที่อยู่เหนือสรรพชีวิตในฟ้าดินแทรกซึมไปทั้งผืนฟ้าเหนือจวนอ๋องโหว
“กำลังรบของปฐมเซียน!”
เทพราตรีทมิฬตระหนกจนพูดไม่ออก เขารู้ว่าหนานเฟิงอ๋องไม่ตาย แต่คิดไม่ถึงว่าพลังความสามารถของอีกฝ่ายจะอยู่เหนือขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ตูม!
ผืนฟ้าบริเวณที่เขาอยู่ถูกกลุ่มแสงสีม่วงทองแทรกซึมผ่าน กลิ่นอายพลังที่อยู่เหนือฟ้าดินโจมตีทุกสิ่งที่ขวางหน้าโดยไม่สนใจว่าจะเป็นรูปธรรมหรือดวงวิญญาณ
เงาของเทพราตรีทมิฬที่ซ่อนอยู่ในม่านราตรีถูกบีบให้ปรากฏกายออกมาในทันที
“เทพราตรีทมิฬ!”
ผู้แข็งแกร่งภายในจวนอ๋องโหวต่างสัมผัสได้ถึงบุรุษอมนุษย์ที่ผอมแห้งเป็นโครงกระดูกและด้านหลังมีปีกค้างคาว
ผิวนอกของบุรุษต่างเผ่าพันธุ์เป็นลายหนังสีเข้ม อยู่ท่ามกลางระลอกสีดำ ร่างกายบิดโค้งเหมือนดั่งเงา
“รั้งเจ้าชั่วนั่นเอาไว้!”
หนานเฟิงอ๋องเหยียบอากาศ ทั่วร่างปลดปล่อยกลุ่มแสงสีม่วงทอง ให้ความรู้สึกโปร่งแสงส่องประกาย แต่กลิ่นอายพลังบนร่างกดดันคนทั้งหมดเอาไว้
วิชาปีกอัสนีโบยบิน!
ด้านหลังของจ้าวเฟิงปรากฏแสงปีกวายุอัสนีที่ราวกับมีชีวิต ลากเศษเสี้ยวเงาแสงปีกสายหนึ่งข้ามอากาศฟาดฟันไปที่เทพราตรีทมิฬ
“เงาปีกทำลายฟ้า!”
ใบหน้าของเทพราตรีทมิฬประดับยิ้มเย็น ปีกค้างคาวด้านหลังเปลี่ยนเป็นเงาปีกขนาดใหญ่แผ่ออกไปแปดสาย กลายเป็นคมปีกฟาดออกไปแปดทิศทาง
โครม ฟึ่บ ฟึ่บ
ชั่วพริบตา คมเปีกขนาดใหญ่แปดสายโจมตีทะลวงกลุ่มแสงม่วงทองกลางฟ้า พลังอำนาจแก่กล้า เกือบใกล้เคียงการโจมตีของจักรพรรดิชั้นยอดทั้งแปด
สิ่งที่คาดคิดไม่ถึงก็คือ
คมมีดเงาปีกทั้งแปดสายประดุจมีความคิด ในนั้นมีสี่สายเป็นอย่างน้อยที่ปะทะจ้าวเฟิงและหนานเฟิงอ๋อง
ตูม!
หมัดทั้งสองของจ้าวเฟิงเปล่งแสงหมัดเจิดจ้าสว่างไสวราวกับภูผาอัสนี อาทิตย์ร้อนแรงทะลวงขึ้นฟ้า ปะทะคมมีดเงาปีกสองสายนั้นแตกสลายไป
ในฐานะที่ครอบครองกำลังรบปฐมเซียน หนานเฟิงอ๋องจัดการคมมีดเงาปีกทั้งสองได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาอยู่ที่เขายังต้องกังวลคมมีดเงาปีกที่เหลือส่วนหนึ่ง ซึ่งจะสร้างภัยอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นในจวนอ๋อง
หนานเฟิงอ๋องที่วิตกกังวลทำสิ่งใดไม่ถูก จึงพลาดจากเงาของเทพราตรีทมิฬไปในทันที
“เจ้านี่มีร่างแยกกี่ร่างกันแน่?”
สายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงเงาปีกใหญ่ยักษ์หนึ่งในนั้นที่ข้ามผ่านอากาศโบยบินหนีออกไปนอกพื้นที่
สวบ!
ด้านนอกของดินแดนเกาะใหญ่ ในทะเลหมอกความว่างเปล่า
เงาปีกสีดำสนิทสายหนึ่งพลันปรากฏ เมื่อเพ่งมองดูจะเห็นเป็นบุรุษปีกค้างคาวที่มีสีหน้าอ่อนแรง
“ไม่เสียทีที่เป็นเทพราชาดวงตาซ้าย คิดไม่ถึงว่าในวันนี้ข้าจะพลาดท่า แต่ฝันร้ายของเจ้าเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น คนในขั้นต่ำกว่าเซียนลงไป ไม่มีใครสามารถหนีจากลอบสังหารของข้าได้”
เทพราตรีทมิฬมองด้านล่างด้วยสายตาเย็นชา
ภายในจวนอ๋องโหว กลุ่มคนที่นำโดยหนานเฟิงอ๋องมีสีหน้าดูไม่ค่อยได้
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เทพราตรีทมิฬเข้ามาสังหารถึงภายในจวน
คราวก่อน เทพราตรีทมิฬประสบความสำเร็จในการทำให้การเลื่อนขั้นของหนานเฟิงอ๋องล้มเหลว แต่ว่า หากจะพูดแต่เรื่องความเร็วเพียงอย่างเดียว ต่อให้เป็นหนานเฟิงอ๋องที่มีกำลังรบระดับปฐมเซียน ก็ยังไม่สามารถไล่ตามเทพราตรีทมิฬได้ทัน
ภายในจวนอ๋องโหว มีเพียงคนเดียวที่มีสีหน้าสงบราบเรียบ
คนผู้นั้นก็คือจ้าวเฟิง
ครั้งนี้ เขาวางแผนซุ่มโจมตี ดึงดูดการสังหารของเทพราตรีทมิฬ ทำให้ฝ่ายหลังบาดเจ็บและเสียเปรียบ
“เทพราตรีทมิฬ ให้เวลาเจ้าหนีสิบช่วงลมหายใจ”
เด็กหนุ่มผมม่วงคนนั้นสงบนิ่ง สายเลือดดวงตาซ้ายกลับเล็งเป้าหมายไปที่ร่างดั้งเดิมของเทพราตรีทมิฬ
อะไรกัน!
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ไม่เพียงแต่เทพราตรีทมิฬจะสั่นสะท้าน แม้กระทั่งคนทั้งหมดในจวนอ๋องโหวก็มองไปที่จ้าวเฟิงด้วยสายตาตื่นตะลึง
จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ไล่ตามไปทันที
สายเลือดดวงตาซ้ายของเขาเหมือนมองข้ามขีดจำกัดของมิติ ตรึงเป้าหมายที่เทพราตรีทมิฬ
“ผู้เยาว์! เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าพูดเช่นนี้กับข้า!”
สีหน้าของเทพราตรีทมิฬอำมหิต รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บกลุ่มหนึ่ง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้
หากหนานเฟิงอ๋องและจ้าวเฟิงร่วมมือกัน เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนทั้งสอง
ในฐานะที่เป็นยอดมือสังหารของศาสตร์เงาสังหาร เขาไม่ชำนาญการรับมืออย่างซึ่งหน้า ถึงแม้ว่าเขาครอบครองกำลังรบที่ใกล้เคียงกับปฐมเซียน แต่หากเผชิญหน้ากับคนอย่างจ้าวเฟิงและจักรพรรดิมารเสวียนหลัวอย่างซึ่งหน้า โอกาสชนะไม่มีมากนัก
“หนึ่งช่วงลมหายใจ…สองช่วงลมหายใจ…สามช่วงลมหายใจ…”
จ้าวเฟิงไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยปากนับเวลา
หนานเฟิงอ๋องที่อยู่ข้างกายฮึดฮัดจะตามไป แต่กลับถูกจ้าวเฟิงห้ามเอาไว้
“จ้าวเฟิง! ขอให้คำพูดยโสโอหังของเจ้าไม่กลายเป็นเรื่องน่าขันแล้วกัน”
เทพราตรีทมิฬ ฝืนสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว กลายเป็นลำแสงปีกสีดำ ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าจักรพรรดิทั่วไปจนไม่เห็นฝุ่น หายไปในพื้นที่ภายนอกทะเลความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขต
ช่วงเวลาสิบลมหายใจยังไม่ถึง จ้าวเฟิงก็ไม่รีบร้อนไล่ตามไป
แววตาของเขาหยุดลงที่ร่างของหนานเฟิงอ๋อง
“ท่านอ๋อง ถ้าหากว่าต้องการลงมือสังหารเจ้าชั่วนั่น ทางที่ดีที่สุดต้องยืม ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ มาใช้หน่อย” จ้าวเฟิงยิ้มแย้มเล็กน้อย
“จ้าวเฟิง เจ้าคิดจะไปล่าสังหารเทพราตรีทมิฬคนเดียวจริงหรือ?”
หนานเฟิงอ๋องเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
เขารู้ว่าตนเองไม่อาจจะขัดขวางจ้าวเฟิงได้
“เมื่อมีไหมเมฆาผีเสื้อเซียนแล้วน่าจะมีความหวังอยู่เจ็ดแปดส่วนทีเดียว”
จ้าวเฟิงเอ่ยอมยิ้ม
ในตอนนี้ เวลาสิบช่วงลมหายใจก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามา
หนานเฟิงอ๋องไม่สงสัยอีกต่อไป โบกมือเล็กน้อย หยิบเอาไหมเมฆาผีเสื้อเซียนออกมา
ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนมองเห็นจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ก็แสดงท่าทีคุ้นเคยสนิทสนม เกาะติดเจ้าแมวขโมยตัวน้อยอย่างรวดเร็ว
จ้าวเฟิงยื่นมืออกมา เก็บเอาไหมเมฆาผีเสื้อเซียนและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเข้าไปในมนตราอากาศอย่างรวดเร็ว
“จ้าวเฟิง เจ้าต้องลงมืออย่างระวัง ด้วยความสามารถของเจ้า เพียงแค่ไม่ประมาท อย่างน้อยๆ ก็ไม่น่าจะถูกเทพราตรีทมิฬที่กำลังบาดเจ็บคนนั้นตอบโต้กลับ”
หนานเฟิงอ๋องเอ่ยกำชับ
“ท่านอ๋องวางใจ ข้าไปครู่เดียวก็กลับมา”
เมื่อสิ้นเสียงของจ้าวเฟิง ปีกลำแสงวายุอัสนีเบื้องหลังของเขาก็สะบัดเศษเสี้ยวลำแสงอัสนีเส้นสายหนึ่งกวาดออกไปด้านนอกทะเลความว่างเปล่า
“ปีก…อัสนี…ผ่าน…ฟ้า!”
ในแววตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกาย ปีกอัสนีเบื้องหลังของเขาปลดปล่อยลำแสงอัสนีวายุอัสนีสว่างเจิดจ้า ความเร็วไปถึงขีดสุด กลายเป็นเส้นวายุสายฟ้าเส้นเดียว ทะลวงไปในอากาศ สว่างแวบหนึ่งและหายไป!
รวดเร็วเหลือเกิน!
หนานเฟิงอ๋องและพวกที่อยู่ในจวนต่างพูดไม่ออกกันหมด