Skip to content

King of Gods 898

King Of Gods

บทที่ 898 จุดสูงสุดของโลกมือสังหาร

ปีกอัสนีผ่านฟ้าเป็นถึงขอบเขตพลังการโบยบินสูงสุดใน ‘มรดกวายุอัสนี’ ของจักรพรรดิวายุอัสนีในกาลก่อน

โดยแก่นแท้แล้ว นี่ไม่ใช่การโบยบินเพียงอย่างเดียว แต่ในความเร็วสูงสุดยังผสานวิชาปีกอัสนีโบยบิน ทำให้เกิดเดินทางผ่านฟ้าอย่างรวดเร็ว

วิ้ง แซ่ด! เปรี๊ยะ

ตาเปล่ามองเห็นแค่เพียงสายฟ้าเส้นโค้งเรียวเล็กสายหนึ่งทะลวงผ่านทะเลความว่างเปล่านอกดินแดน เพียงครู่เดียวก็ไกลหลายหมื่นลี้

แน่นอน ที่ทะเลความว่างเปล่า เพราะความต่างของปัจจัยด้านต่างๆ เช่นแรงต้านในอากาศหรือแรงดึงดูด จึงสามารถมีความเร็วมากกว่าสิบเท่าของความเร็วในดินแดน

พูดได้ว่า ทุกครั้งที่จ้าวเฟิง ‘หายวับผ่านฟ้า’ ในทะเลความว่างเปล่านอกดินแดน เท่ากับเดินทางเป็นหมื่นลี้ในเสี้ยวลมหายใจ จากจุดนี้ทำให้สามารถมองเห็นความน่ากลัวของวิชาดังกล่าวได้ นี่ยังเป็นสถานการณ์ที่เขายังไม่ได้ลงมืออย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ

การฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ใหม่ในชีวิตนี้ของจ้าวเฟิง พลังดั้งเดิมของวายุอัสนีมากมายอย่างยิ่ง สูงส่งกว่าชีวิตก่อน ‘ปีกอัสนีผ่านฟ้า’ ที่เรียกออกมาราวปลาได้น้ำ

อีกฟากหนึ่งของทะเลความว่างเปล่า

“ช่างน่าขันนัก! ให้เวลาข้าสิบช่วงลมหายใจงั้นรึ? เจ้าเด็กนั่นช่างไม่กลัวว่าคำพูดจะทำร้ายตัวเอง” ใน

แสงปีกระลอกสีดำสายหนึ่งปรากฏเป็นโครงร่างของเทพราตรีทมิฬ

หลังจากที่เดินทางออกมาจากจวนอ๋องโหว เทพราตรีทมิฬก็ใช้เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดโบยบินออกไปแสนลี้เพียงช่วงลมหายใจเดียว

มุมปากของเทพราตรีทมิฬยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ ให้เวลาตนเองสิบช่วงลมหายใจ ต่อให้เป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยากจะไล่ตามมาสังหารได้

เขาทอดมองไปด้านหลังตามจิตใต้สำนึก

เจ้าเด็กนั่นตามมาไม่ทันจริงๆ ด้วย ก็เพียงแค่คุยโวเท่านั้นเอง

เปรี๊ยะ

และในขณะที่เทพราตรีทมิฬประมาท ด้านหลังก็เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาทของวายุอัสนีที่แปลกประหลาด เวลาดังกล่าวยังมีระลอกมิติตามมาด้วย

“นั่น…นั่นเป็นไปได้อย่างไร!”

ห้วงคิดเซียนเทพราตรีทมิฬกวาดผ่าน พูดอะไรไม่ออกในทันใด ร่างกายและจิตใจสั่นไหวอย่างหวาดกลัว

ด้านหลัง สายอัสนีเรียวเล็กพุ่งผ่านทะเลหมอกความว่างเปล่า และโบยบินมาอย่างรวดเร็ว

ทุกช่วงลมหายใจ สายอัสนีจะเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หลายพันลี้

“ความเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้ แทบอยู่เหนือกว่าเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับที่ไม่ชำนาญในด้านความเร็วแล้ว…”

เทพราตรีทมิฬตกใจอย่างยิ่ง

ขวับ! ขวับ!

เขาสูดหายใจเข้าลึก กลายเป็นลำแสงปีกคลื่นสีดำ ก่อนจะแบ่งตัวออกเป็นคมปีกสองสาย แล้วโบยบินออกไปเจ็ดแปดพันลี้ จากนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว

“หืม?”

จ้าวเฟิงเห็นเพียงกลิ่นอายของคมปีกทั้งสองสายที่เหมือนกันอย่างยิ่ง แยกย้ายโบยบินไปไกลคนละทิศทาง

ถ้าหากว่าเป็นจักรพรรดิทั่วไปหรือกระทั่งปฐมเซียน สถานการณ์เช่นนี้รังแต่จะทำให้เกิดความสับสนในชั่วขณะ และด้วยเหตุนี้จึงพลัดหลงกับเป้าหมายไป

เหอะ!

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะไล่ตามไปยังทิศทางที่หนึ่งในคมปีกหายไป

“ปีกอัสนีผ่านฟ้า!”

ปีกอัสนีด้านหลังจ้าวเฟิงปลดปล่อยกลุ่มแสงสายลมและสายฟ้าเป็นประกายออกมาอีกครั้ง ก่อนกลายเป็นสายอัสนีเส้นเล็กพุ่งตรงไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่กี่อึดใจ

จ้าวเฟิงก็ไล่ตามแสงปีกคลื่นดำที่อยู่ในสภาวะหลบหลีกซ่อนเร้น

“ไม่มีผลอะไรเลย!”

ในที่สุดบนใบหน้าของเทพราตรีทมิฬก็ปรากฏแววหวาดกลัว ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงแต่อยู่เหนือตนเอง หนำซ้ำยังมีวิชาสะกดรอยที่สูงส่งอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงที่ข่มเคล็ดวิชาในการหนีเอาตัวรอดต่างๆ ของเขา

ในตอนนี้ สายอัสนีที่อยู่ด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนไม่อาจจะหลบหนีได้แล้ว

“ในเมื่อหนีไม่พ้น เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแค่ต่อสู้ให้ถึงที่สุด!”

ม่านตาของเทพราตรีทมิฬปรากฏความบ้าคลั่งและโหดเหี้ยม

เขามีเคล็ดวิชาต้องห้ามมากมาย ถึงขั้นสามารถคุกคามเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับจนถึงแก่ชีวิตได้ ขอเพียงแค่สำแดงหนึ่งในสองวิชานี้ ก็มีความหวังจะหนีพ้นภยันอันตรายในครั้งนี้ไปได้

แซ่ด!

และในวินาทีต่อมา จ้าวเฟิงเข้าใกล้เทพราตรีทมิฬในรัศมีหลายสิบลี้โดยการหายวับผ่านอากาศเพียงครั้งเดียว

ดวงตาของเทพราตรีทมิฬฉายแววโหดร้ายพาดผ่าน วิชาสายเลือดภายในร่างก็รวบรวมจนสมบูรณ์แล้ว แค่รอจ้าวเฟิงเข้ามาประชิดตัวก็จะลงมือโจมตีกลับได้

คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะชะงักอยู่กับที่ เบิกสายเลือดดวงตาซ้าย ทะลักพลังดวงตาวิญญาณที่น่าครั่นคร้ามออกมา

“โซ่ผนึกวิญญาณ!”

พริบตานั้น โซ่สายฟ้าสีม่วงเข้มที่โปร่งแสงราวแก้วทะลุไปในชั้นวิญญาณ และรัดร่างกายของเทพราตรีทมิฬเป็นชั้นๆ

แซ่ด~

ทันทีที่โซ่ผนึกวิญญาณรัดดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬเอาไว้ เขาก็เกิดความรู้สึกวิงเวียนจากการโดนอัสนีโจมตีไม่หยุด

“อย่า!”

ร่างของเทพราตรีทมิฬแข็งค้าง ในขณะที่ดวงวิญญาณถูกรัดไว้ วิชาทั้งหมดของชั้นกายเนื้อไร้ซึ่งความหมายใดๆ

โซ่ผนึกวิญญาณนี้เรียกได้ว่าเป็นคุกกักวิญญาณ ใช้เพื่อกักขังวิญญาณของเป้าหมายโดยเฉพาะ

ต่อให้กำลังรบแข็งแกร่งอย่างเท่าไหร่ แต่ถ้าหากดวงวิญญาณถูกกักขัง เช่นนั้นก็ไร้ค่า

“ปล่อยข้า”

พลังดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬอยู่เหนือจักรพรรดิชั้นยอดจำนวนมาก โดนรัดรั้งจากโซ่ผนึกวิญญาณแล้วยังสามารถดิ้นรนได้เต็มแรง

แซ่ด! พู่~

พื้นผิวของโซ่สายฟ้าสีม่วงเข้มที่โปร่งแสงราวผลึกผุดควันสีดำ ถึงขั้นที่เกิดเสียงประหลาดจากอาการขึงตึง

ในชั้นกายเนื้อ ผิวบนร่างของเทพราตรีทมิฬมีระลอกเพลิงคลื่นดำเอ่อล้น สาดกระจายออกเป็นรัศมีหลายสิบลี้

จ้าวเฟิงไม่ตกใจแต่อย่างใด โคจรสายเลือดดวงตาซ้าย และเพิ่มพลังในการกักขังเทพราตรีทมิฬ

กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขามีพลังป้องกันร่างกายแข็งกล้า ควันหลงระลอกพลังของวิชาปราณแท้จริงที่เข้ามาใกล้รุนแรงมากพอจะสังหาราชัน แต่กลับทำร้ายเขาไม่ได้แม้แต่น้อย

โครม ตูม ตูม!

โซ่สายฟ้าสีม่วงเข้มเหล่านั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่องแสงเปล่งประกาย ถึงขั้นระเบิดพลังอัสนีเทวะออกมา จากนั้นโจมตีไปที่ดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬ

“อ๊าก อ๊าก…”

ในณะที่เทพราตรีทมิฬดิ้นรนก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน ชั้นวิญญาณเกิดแผลไหม้ดำขึ้น

ต่อมา แรงในการดิ้นรนของเทพราตรีทมิฬก็ลดลง ร่างกายสั่นเทา ดวงวิญญาณแบกรับการโจมตีจากพลังอัสนีเทวะ จนทำให้บาดแผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จ้าวเฟิงค่อยๆ เพิ่มระดับ ‘โซ่ผนึกวิญญาณ’ ทีละน้อย

ในขณะที่ระดับการกักขังมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เป้าหมายก็จะสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองไปสิ้นเชิง แต่ระดับขั้นวิญญาณของเทพราตรีทมิฬแทบจะเทียบเท่ากับจ้าวเฟิง คิดจะทำให้ได้ถึงระดับนี้ก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น

ดีที่จ้าวเฟิงสามารถใช้พลังอัสนีเทวะ ทำให้สามารถเพิ่มอาการบาดเจ็บในดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬได้อย่างต่อเนื่อง

สิบช่วงลมหายใจต่อมา

ดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬก็ถูกจ้าวเฟิงสะกดไปหกเจ็ดส่วน

“พอประมาณแล้ว”

จ้าวเฟิงพยักหน้าน้อยๆ แขนข้างหนึ่งโบกเบาๆ

เมี้ยว!

เส้นสีเงินเข้มสายหนึ่งสว่างวาบและหายไป

ในวินาทีต่อมา แมวตัวน้อยสีเงินตัวหนึ่งและหนอนไหมอวบอ้วนตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือเทพราตรีทมิฬ

วิ้ง ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ——

หนอนไหมตัวน้อยอ้าปากส่งใยไหมหลากสีที่งดงามเป็นประกายไปรัดร่างจริงของเทพราตรีทมิฬทันที เพียงพริบตาเดียว เทพราตรีทมิฬก็กลายเป็นบ๊ะจ่างหลากสี

ตุบ! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกำพลั่วโลหะในมือ เคาะไปที่บ๊ะจ่างหลายสีอย่างทารุณ

ร่างกายและจิตใจของเทพราตรีทมิฬสั่นสะท้านรุนแรง ความรู้สึกวิงเวียนที่เกิดขึ้นขัดขวางวิชาโต้กลับที่เขาพยายามกระตุ้นขึ้นมา

โครม วูบ!

ต่อจากนั้น ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนกระพือปีกโบยบินอย่างรวดเร็ว พ่นละอองเกสรโปร่งแสงไปบนบ๊ะจ่างหลากสี

“ละอองเกสรไฉ่เมิ่ง…แย่แล้ว!”

เทพราตรีทมิฬรู้สึกได้เพียงความอ่อนล้าที่เกิดขึ้นทั่วร่าง สายเลือดปราณที่แท้จริงสูญเสียการควบคุมไปอีกขั้นหนึ่ง

บวกกับ ‘โซ่ผนึกวิญญาณ’ ที่จ้าวเฟิงใช้โจมตีเป็นหลัก เทพราตรีทมิฬจึงถูกสะกดควบคุมไว้อย่างถึงที่สุด สูญเสียแรงโต้กลับ แม้กระทั่งพลังในการระเบิดตนเองยังไม่มี

พู่! จ้าวเฟิงผ่อนลมหายใจโล่งอก และยังคงประคับประคอง ‘โซ่ผนึกวิญญาณ’ ต่อไป กระตุ้นพลังอัสนีเทวะหลายสายออกมา ทำให้พลังดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬตกอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอกว่าเดิม

การรับมือกับผู้แข็งแกร่งระดับทพราตรีทมิฬ ต้องไม่อาจปล่อยให้เขาได้โอกาสลงมือโต้กลับ

หากไม่เช่นนั้นแล้ว บางทีเทพราตรีทมิฬอาจเป็นจักรพรรดิแห่งความตายคนที่สอง สามารถใช้วิชาต้องห้ามจำพวก ‘คำสาปมรณะ’ ยังผลให้จ้าวเฟิงต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนมหาศาลก็เป็นได้

อนึ่ง

จ้าวเฟิงต้องการตัวเทพราตรีทมิฬที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากว่าระเบิดตัวตายไปจะสูญเสียคุณค่าในการใช้ประโยชน์

“เนตรเพ่งเทพเจ้า!”

วิชาสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปทันที ในดวงตาซ้ายปรากฏน้ำวนสีม่วงเข้มลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้ง

ดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬอ่อนแอจนถึงขีดสุด และดิ้นรนเพิ่มขึ้นเมื่อถูกจ้าวเฟิงดึงเข้าไปในมิติดวงตาซ้าย

ทันทีที่เข้าไปในมิติดวงตาซ้าย ต่อให้เป็นกลิ่นอายของกะโหลกอำนาจเทวะก็ยังถูกกดไว้ จึงสามารถควบคุมดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย

ขวับ!

จ้าวเฟิงเก็บเอาร่างกายของเทพราตรีทมิฬเข้าไปในมนตราอากาศก่อน

หลังจากนั้น เขาก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สำแดง ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ไปที่เทพราตรีทมิฬ

สำหรับจ้าวเฟิงแล้ว การสังหารเทพราตรีทมิฬไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เป้าหมายของเขาคือควบคุมมือสังหารที่น่ากลัวผู้มีกำลังรบเข้าใกล้ขั้นเซียนผู้นี้

ทั่วทั้งราชวงศ์ของดินแดนทวีป เทพราตรีทมิฬยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกมือสังหาร

ก่อนหน้านี้ เทพราตรีทมิฬถึงขั้นเคยเข้าร่วมการสังหารเซียนที่บาดเจ็บสาหัส ยังประสบความสำเร็จกลับมา จุดนี้จะมองความสามารถของอีกฝ่ายออกได้

“อย่าหวังเลย…ข้ายอมตาย!”

พลังของเทพราตรีทมิฬแข็งแกร่งอย่างมาก ล่วงรู้ถึงโชคชะตาที่กำลังจะเผชิญ

จ้าวเฟิงดีใจและเสียใจครึ่งหนึ่งไปพร้อมกัน ทำได้เพียงลดระดับพลังในการสำแดง ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ หากไม่เช่นนั้นแล้ว จิตใต้สำนึกของเทพราตรีทมิฬก็จะสูญสลายไป

จิตยิ่งแก่กล้า ยิ่งเห็นได้ชัดว่าพลังและศักยภาพของเทพราตรีทมิฬแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

“เทพราตรีทมิฬ ที่ข้ามี ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวน’ อยู่ไม่น้อย ขอแค่เจ้าตอบตกลงเป็นทาสรับใช้ข้าร้อยปี อนาคตจะให้ทางรอดแก่เจ้า”

จ้าวเฟิงให้คำมั่น

ดวงวิญญาณของเทพราตรีทมิฬตกลงสู่ภวังค์ชั่วคราว

“ตาย หรือบางทีอาจกลายเป็นเซียน หลังจากร้อยปีก็ได้อิสระภาพไป”

เมื่อจ้าวเฟิงเอ่ยจบ ก็กระตุ้น ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ไปจนถึงขีดสุด เพียงลมหายใจเดียวก็ตีตราลงไปในส่วนลึกของดวงวิญญาณเทพราตรีทมิฬ

ครึ่งชั่วยามต่อมา

“นายท่าน!”

ชายต่างเผ่าพันธุ์ผู้มีปีกค้างคาวอยู่เบื้องหลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าจ้าวเฟิง สีหน้าอิดโรย ในแววตาฉายความหวาดกลัว

“เจ้าเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อน ส่วนพวกทรัพยากรอย่าได้กังวลไป…”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างพอใจ

ขวับ! แขนของเขาโบกน้อยๆ ส่ง ‘เทพราตรีทมิฬ’ เข้าไปในอาวุธเทพชั้นรองมนตราอากาศ

โลกมิติส่วนตัวในมนตราอากาศมีพลังชีวิต มีทรัพยากรประเภทต่างๆ ใช้ไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถทำให้อาการบาดเจ็บของเทพราตรีทมิฬดีขึ้น

ครึ่งช่วงเวลาชาหนึ่งถ้วยผ่านไป

จ้าวเฟิงก็กลับไปที่จวนอ๋องโหวคนเดียว

“ท่านอ๋อง”

สีหน้าของจ้าวเฟิงกระปรี้กระเปร่า คืนเอาไหมเมฆาผีเสื้อเซียนที่อยู่รอดปลอดภัยให้กับหนานเฟิงอ๋อง

“จ้าวเฟิง เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว”

หนานเฟิงอ๋องเก็บไหมเมฆาผีเสื้อเซียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

จึงมองประเมินจ้าวเฟิงไปมา

เขาประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าบนร่างของจ้าวเฟิงไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ อย่างน้อยก็ไม่มีอาการบาดเจ็บเด่นชัด

ผลลัพธ์มีเพียงสองอย่าง

อย่างแรก จ้าวเฟิงและเทพราตรีทมิฬไม่ได้ประมือกัน หรือบางทีอาจประมือกันเล็กน้อยก็แยกย้าย

อย่างที่สอง จ้าวเฟิงจัดการเทพราตรีทมิฬอย่างง่ายดาย แต่นั่นจะเป็นไปได้งั้นหรือ?

“จ้าวเฟิง เจ้าต้องระวังเอาไว้ ‘เทพราตรีทมิฬ’ ผู้นั้นลงมือสังหารไม่สำเร็จ จะต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขามีความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่ง สามารถรอได้อีกหลายปีหรือกระทั่งหลายสิบปีด้วยซ้ำไป…”

หนานเฟิงอ๋องเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง

ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่พลาดเช่นกัน

อีกทั้งมือสังหารที่มีฝีมือสูงส่งฉวยโอกาสในวินาทีนั้นสังหารคนแข็งแกร่งกว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรนัก

“ท่านอ๋องวางใจ เทพราตรีทมิฬจะไม่มาสร้างเรื่องให้ท่านเดือดร้อนใจอีกเป็นอันขาด”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเชื่อมั่นยิ่ง

เมื่อหนานเฟิงอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็พูดไม่ออก “หรือว่า…เจ้าจัดการ ‘เทพราตรีทมิฬ’?”

“นับว่าแบบนั้นก็ได้” จ้าวเฟิงไม่ได้อธิบายอะไรนัก เขายังไม่อยากจะแพร่งพรายเรื่องของ ‘เทพราตรีทมิฬ’ ในเร็วๆ นี้

ภายหลังนี่จะเป็นอาวุธสังหารชิ้นหนึ่งในมือของเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version