บทที่ 955 เถี่ยหลิงอวิ๋น
ทุกคนมองไปทางจ้าวเฟิงอย่างตื่นตะลึง
“เจ้ามีวิธีจัดการพลังวิญญาณลี้ลับในดวงวิญญาณของเขาหรือ?”
แววตาของโจวซู่เอ๋อร์ฉายแววสงสัยออกมา
วิธีขจัดพิษที่แสนจะลึกลับของจ้าวเฟิงตอนอยู่ที่หอโอสถเซียน จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจ อีกทั้งระดับความลึกซึ้งในด้านวิญญาณของจ้าวเฟิงไม่ธรรมดาจริงๆ
ตาเฒ่าอิงมีท่าทีเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
ที่ใต้ดินของหุบเขาวายุทมิฬ ‘แสงอัศจรรย์เก้าสี’ ในวิญญาณของเขาก็เป็นจ้าวเฟิงที่กำจัดไป แต่สถานการณ์ของจิงข่ายไม่เหมือนกัน
โจวซู่เอ๋อร์ใช้เวลาห้าวันถึงจะกำจัดไอเพลิงทมิฬในวิญญาณของเขาได้ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า ‘พิษ’ ที่ติดในวิญญาณของจิงข่ายลึกล้ำเพียงใด
วิธีขับพิษของจ้าวเฟิงต้องได้รับความร่วมมือจากผู้รับการรักษาอย่างเห็นได้ชัด ไม่สามารถมีความคิดต่อต้านแม้แต่เพียงนิดเดียว
จิงข่ายในตอนนี้เกิดความแคลงใจในตัวทุกคนแล้ว ไยจะยอมปล่อยให้พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงดำดิ่งลึกเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณเขา
“ข้าพอจะปรับเปลี่ยนจิตใจเขาไปพร้อมกันทีเดียวได้!”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสริมอีกครั้ง อันที่จริงนี่ต่างหากคือความหมายแต่แรกของจ้าวเฟิง
ทุกคนได้ยินแล้วก็สูดหายใจเข้าปอดลึก พลันมองจ้าวเฟิงด้วยแววตาสงสัยอย่างลึกล้ำ
“เจ้ายังมีความสามารถขัดเกลานิสัยผู้คนด้วยงั้นหรือ?”
โจวซู่เอ๋อร์เปิดปากถาม
นิสัยของจิงข่ายเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้ วิธีที่โจวซู่เอ๋อร์พอจะนึกออกได้ ก็มีเพียงแค่ให้เขาเข้าไปในลัทธิธรรมะบางส่วน ติดตามนักบวช ถึงจะเปลี่ยนกลับมาได้อย่างช้าๆ
องค์ชายเก้าและตาเฒ่าอิงก็สงสัยอย่างมาก จ้าวเฟิงไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตาอะไรแน่ พวกเขาจินตนาการท่าทางของจ้าวเฟิงที่เสี้ยมสอนจิงข่ายไม่ออกเลย
“ในเมื่อพวกเจ้าเองก็ไร้ซึ่งหนทาง ข้ารับรองได้ว่าจะทำให้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างที่สุดในขณะที่เป็นสมาชิกของกลุ่มเรา!”
จ้าวเฟิงเหลือบตามองทุกคน
จ้าวเฟิงไม่ยอมรับในความสามารถของจิงข่าย แต่เป็นดังที่ตาเฒ่าอิงพูดเอาไว้ กองกำลังขององค์ชายเก้าไม่สามารถจะลดน้อยลงได้อีก
“เช่นนั้นก็มอบให้จ้าวเฟิงจัดการแล้วกัน!”
ตาเฒ่าอิงเห็นด้วยทันที ในตอนนี้พวกเขาไม่มีวิธีการอื่นจริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัย แต่ก็มีความเชื่อมั่นในตัวจ้าวเฟิงอย่างประหลาด อีกทั้งประโยคที่จ้าวเฟิงพูดเมื่อครู่ พวกเขาพอนึกออกว่าจ้าวเฟิงจะใช้วิธีใด ทว่าก็ไม่สำคัญอะไร
จิงข่ายที่พักผ่อนอยู่ด้านข้างพบว่าสีหน้าของคนที่เหลือผิดปกติ จึงเกิดความสงสัยในใจ
ทันใดนั้นเอง!
จ้าวเฟิงผุดยืนขึ้นและเดินมาหาเขา
“เจ้าจะทำอะไร?” จิงข่ายมีสีหน้าลนลาน
ฝีมือและความสามารถที่จ้าวเฟิงแสดงให้เห็นในใต้ดินของหุบเขาวายุทมิฬ จิงข่ายยังจดจำได้อย่างชัดเจนและยังหวาดกลัวอยู่มาก
ขวับ! จ้าวเฟิงโบกมือซ้าย นำจิงข่ายเข้าไปในมนตราอากาศ
ในโลกมนตราอากาศ จ้าวเฟิงเป็นนายเหนือหัวในที่แห่งนี้ พลังจำกัดของมิติส่วนตัวในมนตราอากาศสะกดจิงข่ายเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
จ้าวเฟิงย่างสามขุมไปหาจิงข่าย พลังวิญญาณที่แกร่งกล้ากดดันอีกฝ่ายอีกครั้ง
อั๊ก! ร่างกายและวิญญาณของจิงข่ายแบกรับแรงกดดันที่ไร้ขอบเขต จนปราณที่แท้จริงและพลังวิญญาณไม่สามารถจะโคจรได้
“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!”
ในสายเลือดดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปรากฏโครงร่างตราประทับสายฟ้าสีม่วงทองเลือนราง ค่อยๆ ตีตราประทับลงไปในส่วนลึกของวิญญาณจิงข่ายพร้อมกับระลอกกลิ่นอายอัสนีเทวะ ถึงแม้ว่าจิงข่ายจะครอบครองพลังขั้นจักรพรรดิไร้เทียมทาน แต่พลังวิญญาณก็เป็นส่วนด้อยของเขา ด้วยพลังวิญญาณของจ้าวเฟิงในวันนี้เทียบเท่าได้กับเซียน จึงตีตราผนึกดวงใจทมิฬได้อย่างสบายๆ
หลังจากช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป
“นายท่าน ความทุ่มเทเอาใจใส่ของท่าน ข้าเข้าใจดี ท่านโปรดรักษาให้ข้าเถอะ!”
จิงข่ายคุกเข่าลงบนพื้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
หลังจากที่จิงข่ายถูกตีตราผนึกดวงใจทมิฬไปแล้ว ถึงแม้ว่านิสัยเดิมจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่คำพูดที่เอ่ยกับจ้าวเฟิงกลับเชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา ไม่มีความคิดใดแอบแฝงอีก
ถ้าหากจ้าวเฟิงมีความสามารถในการขัดเกลาผู้คน บางทีไม่นานนักก็อาจสั่งสอนจิงข่ายให้กลายเป็นคนดีมีคุณธรรมได้อยู่
แต่จ้าวเฟิงไม่มีเวลาขนาดนั้น
“ข้าจะกำจัดพลังวิญญาณในดวงวิญญาณของเจ้าก่อน อย่าขัดขืน!”
จ้าวเฟิงวางมือไว้บนศีรษะของจิงข่าย พลังวิญญาณที่ทะลวงผ่านฟ้าดินพุ่งออกจากดวงจิตของจ้าวเฟิง
“ตกลง จ้าวเฟิง!”
จิงข่ายผ่อนคลายลง มีท่าทียอมรับการจัดการ และเปลี่ยนคำเรียกจาก ‘นายท่าน’ เป็น ‘จ้าวเฟิง’
อย่างไรเสียจ้าวเฟิงก็เป็นสมาชิกของกองกำลัง จะปล่อยให้หนึ่งในสมาชิกเรียกเขาว่านายท่าน นี่อาจทำให้สมาชิกคนอื่นๆ เกิดความหวาดกลัวในตัวจ้าวเฟิงได้
พู่ว แซ่ด! จิตวิญญาณของจ้าวเฟิงพร้อมพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าค่อยๆ ไหลทะลักเข้าไปในดวงวิญญาณของจิงข่ายจากทางฝ่ามือ
เนื่องด้วย ‘กายวิญญาณอัสนี’ พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงจึงมีพลังอัสนีเทวะไปด้วย
บวกกับความช่วยเหลือในการมองสำรวจของดวงตาเทพเจ้า เขาสามารถเห็นพลังวิญญาณชั่วร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในวิญญาณของจิงข่ายได้ชัดเจน จนกำจัดมันออกไปอย่างระมัดระวังยิ่ง แต่จิงข่ายถูกพลังกลุ่มนี้แฝงตัวลึกเกินไป ต่อให้เป็นจ้าวเฟิงก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่หยุดพักผ่อนระหว่างเดินทาง ด้วยเพราะช่วงแรกของการทดสอบคัดเลือกรัชทายาทใกล้จะจบลงแล้ว
ทุกคนจำเป็นต้องรีบเร่งเดินทางเข้าไปในใจกลางของสุสานราชวงศ์
แต่ในช่วงเวลานี้ จ้าวเฟิงไม่ให้จิงข่ายโผล่หน้าออกมา สั่งให้เขาตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนอยู่ในมนตราอากาศ
เมื่อเดินทางผ่านหุบเขาวายุทมิฬแล้ว พลังวิญญาณของจิงข่ายเกาะตัวและยกระดับขึ้นพอสมควร
ทว่าจ้าวเฟิงก็ยังคงไม่พอใจในพลังของจิงข่ายอยู่ดี
ในด้านสมาชิกฝ่ายต่อสู้ องค์ชายเก้าแตกต่างจากกองกำลังอื่นมาก แม้กระทั่งกำลังรบในขั้นเซียนก็ยังไม่มี
หลังจากการรักษาจิงข่ายจบลงไป
จ้าวเฟิงก็มีเวลาปรับให้พลังของตนเสถียรขึ้น
หลังจากเข้ามาในการทดสอบคัดเลือกรัชทายาท จ้าวเฟิงสู้รบตบมือครั้งใหญ่ครั้งเล็กมามากมาย เขาจึงยังไม่มีเวลาตระหนักรู้และสรุปเรื่องราว
ประสบการณ์การต่อสู้ของผู้อาวุโสยังคงมากมายและใช้ได้จริง อย่างเช่นกลยุทธ์การสู้ในระยะประชิดของเซียนไป่เลี่ยน จะต้องเป็นเคล็ดวิชาลับเฉพาะของตระกูลเฉาแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงยังเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาลอยู่ตลอด
จ้าวเฟิงพบว่าความคุ้นชินที่เขามีต่อห้วงฝันบรรพกาลเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
ในวันหนึ่ง จ้าวเฟิงที่กำลังเดินอยู่ในป่าบรรพกาลจับสัตว์อสูรบินได้มาเป็นทาสอีกตัวหนึ่ง
นกเหยี่ยวสีดำที่มีกลิ่นอายพลังขั้นจักรพรรดิร่อนลงเหนือศีรษะจ้าวเฟิง!
วูบ! เมื่อออกจากห้วงฝันบรรพกาลกลับไปที่สุสานราชวงศ์ จ้าวเฟิงยืนอยู่บนยอดผาแห่งหนึ่ง ปล่อยอินทรีดำให้โบยบินไป
“ตัวที่ห้าแล้ว!” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำพลางระบายยิ้ม
ใต้หน้าผา
ทุกคนต่างอยู่ในสภาวะฝึกตน พวกเขาต่างสัมผัสได้ถึงความอ่อนด้อยของตัวเองในการทดสอบคัดเลือกรัชทายาท
ในตอนนี้ทำได้เพียงเร่งใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมด
หนึ่งในนั้น องค์ชายเก้ามีความอดทนอย่างมาก บวกกับพรสวรรค์ที่โดดเด่นในตัวเขา จึงพัฒนาได้รวดเร็วมาก
หลายวันต่อมา นอกจากรีบเดินทางและพักผ่อนแล้ว ทุกคนก็มีอีกหนึ่งเรื่องที่เหลือก็คือช่วยจ้าวเฟิงกำราบสัตว์อสูร
“จ้าวเฟิง คราวก่อนพวกเรากำราบฝูงหมาป่าปีกนกและฝูงหมาป่าราตรี ฝูงสัตว์อสูรที่คล่องแคล่วปราดเปรียวในครอบครองเจ้าตอนนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว!”
ตาเฒ่าอิงเอ่ยวิเคราะห์
จากการกำราบสัตว์อสูรสองครั้งก่อนหน้า ตาเฒ่าอิงจึงพอจะเข้าใจความสามารถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิง
เขาพูดได้เพียงว่า ความสามารถแต่ละด้านของจ้าวเฟิงเก่งกาจไร้ที่ติจนจะไม่ใช่มนุษย์อยู่แล้ว
คนผู้หนึ่งแทบจะแบกรับหลากหลายหน้าที่ในกองกำลังเพียงลำพัง ถึงขั้นที่ว่าตำแหน่งของตาเฒ่าอิง จ้าวเฟิงก็ทำหน้าที่แทนได้
ในด้านการคาดการณ์วิกฤตอันตราย การสำรวจและวิเคราะห์ ตัวเขาด้อยความสามารถนัก
“ต่อจากนี้ไป พวกเราต้องการสัตว์อสูรประเภทพละกำลัง!”
แววตาตาเฒ่าอิงเป็นประกายแวววับ
หลังจากล่วงรู้ถึงความสามารถด้านฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงแล้ว ตาเฒ่าอิงจึงเปลี่ยนกลยุทธ์การสู้ การทดสอบคัดเลือกรัชทายาทครั้งนี้ ฝูงสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงจะกลายเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ
ตาเฒ่าอิงเห็นความสำคัญของมันอย่างมาก ทุ่มเทแรงคน เวลา และพลังไปกับการสร้างความมั่นคงให้สัตว์อสูรของจ้าวเฟิง
“ประเภทพละกำลัง?”
จ้าวเฟิงนึกถึงหมียักษ์ขนผลึกของตนเองขึ้นมา
แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ตาเฒ่าอิงต้องการก็คือฝูงสัตว์อสูรทรงพลังจำนวนมาก
จ้าวเฟิงไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าการทดสอบคัดเลือกรัชทายาทจะซับซ้อนขนาดนี้
ดูไปแล้วตำแหน่งปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ก็ไม่ได้สบายเท่าไหร่นัก
“ที่นี่แหละ!” ทุกคนชะงักฝีเท้าอยู่ที่ผืนป่ามืดสลัวแห่งหนึ่งซึ่งมีต้นไม้สูงชะลูด
กลิ่นอายพลังสัตว์ร้ายเก่าแก่ จู่โจมมาพร้อมกันกับกลิ่นคาวเลือด
โครม! เสียงดังโครมครามและเสียงกรีดร้องคำรามของสัตว์อสูรดังแว่วตามมา
ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของสถานที่นี้
“พวกเรามาถึงใจกลางของสุสานราชวงศ์แล้ว ที่นี่คือสถานที่รวมพลของสัตว์อสูร ในนี้ยังมีฝูงปีศาจที่แข็งแกร่งประเภทต่างๆ อีกด้วย!”
ตาเฒ่าอิงแนะนำให้ทุกคนฟัง
วูบ! อากาศข้างกายจ้าวเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย แล้วจึงปรากฏเงาคนร่างหนึ่งขึ้น นั่นก็คือจิงข่าย!
“จิงข่าย?”
แววตาทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย มองประเมินจิงข่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ยามนี้พวกเขาสัมผัสถึงพลังที่ชั่วร้ายกลุ่มนั้นบนร่างของจิงข่ายไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าข้าวเฟิงกำจัดมันออกไปได้เรียบร้อยแล้ว
“อืม ข้าเอาแต่ฝึกตนอยู่ในมิติส่วนตัวของจ้าวเฟิง!”
จิงข่ายไม่มีความรู้สึกอะไรมากมายเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน แต่ก็ยังสื่อสารพูดคุยกับคนอื่นๆ ในกลุ่มตามเงื่อนไขของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงปล่อยเขาออกมาก็เพื่อความปลอดภัยของกองกำลัง
ต่อมาคนทั้งห้าก็ตรงไปยังใจกลางของผืนป่า
……
ใต้ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ณ ส่วนลึกของป่าทึบ มีโพรงไม้ที่มืดมิดเงียบสงัดแห่งหนึ่ง
แต่ในโพรงไม้กลับมีฟ้าดินเหมือนโลกใบใหม่อีกแห่งหนึ่ง
พายุทะเลทรายปลิวว่อนทั่วผืนทรายสีทอง ใจกลางทะเลทรายมีปราสาทหินเก่าแก่โอฬารหลังหนึ่ง
“สืออวี่เหลย มอบทรัพยากรมรดกและพลังชะตามังกรมา แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!”
ชายผมแดงเรือนกายสีทองเพลิงแดงฉาน กำลังรบสูงส่ง ในมือถือหอกยาว ปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา ข้างกายชายผมแดงยังมีสมาชิกอีกสามคน
เบื้องหน้าทุกคนเป็นกำแพงหินที่เกิดจากทรายสีเหลืองทอง ด้านบนมีแผ่นยันต์ค่ายกล
ขวับ! ชายผมแดงโบกหอกยาวสีแดงในมือ ปรากฏลูกไฟขนาดใหญ่ออกมา ประหนึ่งมังกรเพลิงโลหิตตัวหนึ่งที่หอบเอากลิ่นอายร้อนแรงทรงพลังพุ่งเข้าปะทะอีกฝ่าย!
โครม ซ่า ซ่า!
คลื่นทรายบนกำแพงหินกระจายตัวออกดุจสายน้ำ มังกรเพลิงโลหิตที่แตกร้าวตัวนี้ผสานเข้าไปในกำแพง ส่งเสียงร้องคำรามออกมา
หลังจากนั้นกำแพงหินก็ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม
“ไร้ประโยชน์ เถี่ยหลิงอวิ๋น พลังสายเลือดของตระกูลสือบวกกับการคุ้มครองของมรดกที่นี่ ทำให้พวกเราไม่สามารถโจมตีเข้าไปในครั้งเดียว!”
ผู้เฒ่าผมแดงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกาย อีกสองคนด้านหลังมีท่าทีเชื่อฟัง
“ค่ายกลป้องกันนี้ลึกล้ำสูงส่งอย่างยิ่ง ไม่เสียทีที่เป็นเฉินจีจื่อ!”
แววตาปรมาจารย์ค่ายกลที่อยู่ด้านหลังผู้เฒ่าผมแดงเป็นประกายแวววับ การโจมตีทุกครั้งของเถี่ยหลิงอวิ๋นโดนค่ายกลลึกลับบนกำแพงหินทำให้อ่อนแรงลงไป
ภายในกำแพงหินทราย
มือสองข้างของสืออวี่เหลยประคองโล่สีเหลืองเข้ม ด้านบนสลักลายมังกรตัวใหญ่สีเหลืองเข้มตัวหนึ่งเอาไว้ หนำซ้ำโล่ยักษ์ชิ้นนี้เป็นใจกลางของกำแพงหินนี้ ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้
“เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งมาก ไม่เสียทีที่เป็นผู้ถูกเลือกชั้นเลิศรุ่นเยาว์ของตระกูลเถี่ย มีสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่แกร่งกล้าเช่นนี้”
สืออวี่เหลยแค่นเสียงหยัน
หากไม่ใช่เพราะมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ในมือเขาสามารถยืมพลังส่วนหนึ่งในโลกมิติมรดกนี้ได้ กองกำลังของเขาจะมีพลังพอๆ กับกองกำลังขององค์ชายสี่ได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสเฉินจีจื่อ ไม่สู้พวกเราใช้ค่ายกลใน ‘หยกมังกรคุ้มกัน’ จากไปเสีย!”
ซูชิงหลิงที่อยู่ด้านข้างใบหน้าซีดขาว เห็นได้ชัดว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บหนัก
“ไม่ต้อง มีคนมาช่วยพวกเราแล้ว!”
ผู้เฒ่าผมขาวที่นั่งอยู่ใจกลางเปิดดวงตาที่ลึกล้ำราวฟ้ากระจ่างดาวขึ้น เหมือนแฝงไปด้วยหลักการที่ไร้ขอบเขต