Skip to content

Library Of Heaven’s Path 172

ตอนที่ 172 จับหมู?

“ปรมาจารย์รึ?”

เห็นอาการผิดปกติของพ่อบ้านซุน ทุกคนเข้าใจโดยพลันว่าปรมาจารย์หยางกลับมาแล้ว ทุกสายตาหันไปจับจ้องผู้มาใหม่ พบว่าเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าออกเหลืองและกำลังมองตรงมายังพวกเขาอย่างงุนงง

“นี่คือปรมาจารย์ที่ทุกคนเฝ้ารอรึ?” จางเหลียวกับจางโม่พูดไม่ออกเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า

ชายผู้นี้ช่างดูธรรมดาสามัญเสียเหลือเกิน เขาทำอย่างไรหนอ ฮ่องเต้และปรมาจารย์มากมายจึงเต็มใจมายืนรอถึงหน้าประตู?

พวกเขาไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียนมากว่าครึ่งปี จึงไม่รู้เรื่องความอึกทึกครึกโครมอันเกิดจากการปรากฏตัวของปรมาจารย์หยางชวน

“เสี่ยวฉาง เกิดอะไรขึ้น?”

ขณะที่สองคู่หูกำลังงงงัน จางเซวียนก็มึนหัวหนัก เมื่อมองดูฝูงชนแล้วเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าคนเหล่านี้รอคอยมาตลอดระยะเวลาหลายวันที่เขาหายตัวไปเพื่อหวังให้เขาช่วยแก้ปัญหา

ว่าแต่..ซุนฉาง ไอ้อาการน้ำตาไหลพรากราวกับลูกหมาที่เพิ่งเจอหน้าเจ้าของนี่หมายความว่าอย่างไร?

ก็ไม่อยู่แค่สองสามวัน ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นลุกลี้ลุกลนถึงขนาดนี้…

“ปรมาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว คนเหล่านี้รอท่านอยู่…” ซุนฉางรีบแนะนำ แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเสียงหนึ่งขัดขึ้น

“ปรมาจารย์หยาง…” ฮ่องเต้เซินจุยประสานมือคารวะ “เราคือ…”

“อย่า-พูด–แทรก” จางเซวียนกำลังจะถามซุนฉางว่าสองสามวันมานี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ชายผู้นี้มาขัดขึ้นกลางคัน เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

คุณมาจากไหนกันเนี่ย? มารยาทน่ะมีไหม สามัญสำนึกมีบ้างหรือเปล่า? ไม่เห็นหรือว่าผมกำลังยุ่ง?

โชคดีนะที่ผมอารมณ์ดี ถ้าเป็นปรมาจารย์คนอื่นล่ะก็ ปากมากอย่างนี้เขาเอาตายไปแล้ว

ฮะ!

จางเหลียวกับจางโม่ทรุด

จะเหนือไปถึงไหนกันพี่ชาย นั่นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเทียนเซวียนนะ… พี่พูดกับพระองค์อย่างนั้นได้เหรอ

ซุนฉางเองก็จังงัง

ก็รู้แล้วว่าเป็นปรมาจารย์ แต่ไม่ต้องทำอะไรเด็ดดวงถึงขั้นนี้ก็ได้ ขนาดฮ่องเต้ยังไม่มีความหมายกับท่านเลยหรือ…

“เรา…” ฮ่องเต้เซินจุยหน้าแดงก่ำ

“ว่าต่อ…” หลังจากตำหนิชายผู้ขัดบทสนทนาของเขาแล้ว จางเซวียนก็หันไปหาพ่อบ้าน

“อ้อ!” เมื่อหายตะลึงแล้วซุนฉางก็รีบรายงาน “สองสามวันที่ท่านไม่อยู่ มีคนจำนวนหนึ่งมาขอเข้าพบ รวมถึงฮ่องเต้เซินจุยด้วยขอรับ…”

“อ้าว ฮ่องเต้ก็มาหรือ?” จางเซวียนผงะ

เขาดิ่งตรงกลับมายังคฤหาสน์ทันทีที่รวบรวมเงินได้มากพอและแปลงโฉมกลับเป็นปรมาจารย์แล้ว ว่าแต่…ขนาดฮ่องเต้ยังทรงรับรู้เรื่องราวของเขาเลยหรือ

โอย… ตื่นเต้นจังเลย จางเซวียนรีบเอ่ยถาม “แล้วอยู่ไหนล่ะ?”

ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็มีสีหน้าประหลาด แม้ซุนฉางก็แทบลมจับ สุดท้ายกลายเป็นว่าเจ้านายของเขาไม่รู้จักฮ่องเต้…

“แค่ก แค่ก คือ… เราอยู่นี่!” ฮ่องเต้เซินจุยกระแอมไอ

“อ้าว คุณเองรึ?” จางเซวียนแทบกระอักเลือด คิดดูสิว่าเขาตำหนิฮ่องเต้หลังจากที่เพิ่งกลับจากหอสมุดของฮ่องเต้มาหมาดๆ…

“เซินจุยคารวะปรมาจารย์หยาง ขออนุญาตให้เราแนะนำด้วย ทั้งสามท่านนี้นามว่าปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์เจิง และปรมาจารย์จวง…” ฮ่องเต้เซินจุยรีบแนะนำ

“ปรมาจารย์หลิว…ฮะ? เป็นปรมาจารย์ด้วยรึ?” จางเซวียนชะงัก

ก็ไหนว่าไม่มีปรมาจารย์อยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน?

แล้วสามคนนี้โผล่มาจากไหน? เกิดอะไรขึ้นในช่วงสองสามวันที่เราไม่อยู่?

“หลิวหลิง/ จวงเชียน/ เจิงเฟย คารวะท่านปรมาจารย์หยาง!” หลิวหลิงและคนอื่นๆก้าวออกมาประสานมือคารวะ ในเวลาเดียวกันก็ถือโอกาสสังเกตชายวัยกลางคนตรงหน้า

แค่มองปราดเดียว ทั้งสามก็ขมวดคิ้วทันใด

“เชิญข้างในก่อนเถิด”

จางเซวียนไม่ทันสังเกตอาการของทั้งสาม เขานวดหว่างคิ้วและโบกมือเป็นการเชื้อเชิญให้เข้าไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ฮ่องเต้กับทั้งสามปรมาจารย์ยื่นแช่อยู่ข้างนอกได้

“พี่หลิว คุณเห็นอะไร?” เมื่อก้าวเข้ามาในลานบ้าน จวงเชียนก็ส่งโทรจิตหาหลิวหลิง

“เขาปลอมแปลงรูปลักษณ์ นี่ไม่ใช่หน้าตาที่แท้จริง ดูจากผิวพรรณและการเคลื่อนไหวแล้ว เขาน่าจะเป็นชายหนุ่มอายุไม่ถึง 30 อันที่จริง…ไม่น่าจะถึง 25 ปีเสียด้วยซ้ำ!” หลิวหลิงขมวดคิ้ว

ขนาดตู้เหมี่ยวชวนยังรู้ว่าจางเซวียนปลอมแปลงรูปลักษณ์ แล้วทั้งสามปรมาจารย์มีหรือจะพลาด?

“เขาจะเป็นปรมาจารย์ด้วยวัยเพียงเท่านี้ได้อย่างไรกัน? ต้องเป็นตัวปลอมแน่…” จวงเชียนคำราม

ปรมาจารย์ก็เหมือนกับการศึกษาเล่าเรียน อายุมากขึ้นก็ยิ่งฉลาดขึ้น ทรงคุณค่ามากขึ้น นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวปลอมไม่ยอมเปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง แต่ด้วยอายุยังไม่ถึง 25… เขาจะเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร?

กว่าคนๆหนึ่งจะเป็นปรมาจารย์ได้ จะต้องผ่านบททดสอบมากมาย และแต่ละบทก็แสนยากเย็น เมื่อดูจากระยะเวลาที่คนๆหนึ่งสามารถสั่งสมความรู้ในทุกแขนง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะเป็นปรมาจารย์ในวัยเพียง 20!

“เขาต้องเป็นตัวปลอมแน่ ผมจะหาทางเปิดโปงเอง” ปรมาจารย์เจิงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

หลังจากได้ฟังหลิงเทียนหยู่กับคนอื่นๆพรรณนาถึงคนผู้นี้ พวกเขาก็สงสัยและอยากพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์จริงหรือไม่ แต่เมื่อได้เห็นการปลอมแปลงรูปลักษณ์อันแสนอ่อนด้อย ก็สรุปได้เลยว่าอีกฝ่ายต้องเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน

ถ้าไม่ใช่ตัวปลอม จะปกปิดรูปลักษณ์ไปทำไม แถมยังปกปิดแบบไม่เนียนอีกต่างหาก?

ถ้าไม่ใช่ตัวปลอม จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนวัยยี่สิบจะมีความเก่งกาจในแบบที่แม้แต่พวกเขาก็ยังเทียบไม่ได้?

“ยังมีอีกนะ พวกคุณเห็นไหมว่านัยน์ตาของเขาแดงก่ำและดูเหนื่อยล้าขนาดหนัก? ถ้าเป็นปรมาจารย์ เขาจะปล่อยให้สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” หลิวหลิงพูด

เขาไม่เพียงเห็นการปลอมแปลงรูปลักษณ์ของจางเซวียนเท่านั้น แต่ยังรับรู้ถึงอาการอ่อนล้าด้วย

และเมื่อสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็รู้สึกเดือดดาลขึ้น เพราะดูอย่างไรชายผู้นี้ก็ไม่น่าเป็นปรมาจารย์ตัวจริงไปได้

เจ้าคนจอมปลอมผู้นี้ปล่อยให้พวกเขามาขอเข้าพบที่คฤหาสน์ถึง 5 วันติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็สมควรที่จะเดือดดาล ป่วยการจะพูดว่านี่คือปรมาจารย์ตัวปลอม

จางเซวียนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองเขาออกทะลุปรุโปร่ง เขาเดินเข้าห้องโถงใหญ่และตรงไปยังที่นั่ง จากนั้นก็มองปรมาจารย์ทั้งสามและเอ่ยถาม “ขอผมทราบได้ไหมว่าท่านทั้งสามมีธุระอันใด?”

“คือ ผมได้ยินมาว่าปรมาจารย์หยางเป็นทั้งนายแพทย์ผู้เก่งกาจ แถมยังช่วยผู้คนให้ฝ่าด่านวรยุทธได้อีกด้วย จึงมาเพราะมีความหวังว่าท่านจะช่วยชี้แนะให้ผมได้…” หลังจากสบตากับอีกสองคน หลิวหลิงก็เริ่มพูด

ดูเหมือนว่าการใช้วิธีตรงไปตรงมาไม่น่าจะได้ผล ถ้าต้องการเปิดโปงกลโกงของอีกฝ่าย ก็ควรจะล่อให้เขาจนแต้มเสียก่อน

“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเลย!” ทั้งหมดที่จางเซวียนคิดก็คืออยากหาเงินให้ได้อีกสองล้านเพื่อไปจ่ายค่าของที่สั่งซื้อจากสมาคมนักปรุงยา และจากนั้นก็หาที่นอน เขาเหนื่อยเกินกว่าจะมาคุยเรื่องสัพเพเหระอีก จางเซวียนโบกมืออย่างไม่คิดอะไร

“การแสดง! นี่การแสดงทั้งนั้น!” เห็นอีกฝ่ายแสดงทีท่าไม่ยี่หระ นัยน์ตาของปรมาจารย์ทั้งสามพลันหรี่ลง พวกเขาโมโหจนหน้าเขียวหน้าเหลือง

ตัวปลอมชัดๆ!

หึหึ การแสดงของแกใช้กับพวกเราไม่ได้หรอก เราจะไม่กลับจนกว่าจะเปิดโปงความปลิ้นปล้อนของแกได้!

“มันเป็นปัญหาเรื่องการฝึกวรยุทธ ได้โปรดชี้แนะด้วย!”

เห็นแววตาเร่งเร้าของสหายอีกสองคน ปรมาจารยร์จวงเชียนจึงยืนขึ้นเป็นคนแรกพลางประสานมือคารวะ “ผมสำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวนระดับสูงสุด อีกก้าวเดียวก็จะถึงกึ่งจงซรือแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าพลังปราณที่ไหลเวียนในร่างกายนั้นช่างเชื่องช้าเหลือเกิน ไม่ว่าทำอย่างไรผมก็ไม่อาจผ่านขั้นสุดท้ายไปได้ ทดลองทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล หวังว่าท่านจะให้คำชี้แนะ”

“ทงฉวนขั้นสูงสุดรึ?” จางเซวียนมึน

เพราะเขาหาหนังสือเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธขั้นทงฉวนในหอสมุดไม่เจอแม้แต่เล่มเดียว เขาจึงยังติดอยู่ที่พี่เชวี่ยขั้นสูงสุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อาจรู้ว่าผู้ฝึกวรยุทธจะต้องมีความสามารถแบบใดจึงจะเข้าถึงขั้นทงฉวนได้ แล้วจะเอาอะไรไปชี้แนะอีกฝ่ายกันเล่า?

“เอาอย่างนี้ แสดงให้ผมดูสักสองสามกระบวนท่าก็แล้วกัน!” จางเซวียนรู้ว่าความรู้เรื่องวรยุทธขั้นทงฉวนของเขาไม่อาจเทียบกับอีกฝ่าย เมื่อฝ่ายนั้นถามมา จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแก้ปัญหาโดยไม่พึ่งหอสมุดเทียบฟ้า

“สองสามกระบวนท่าหรือ? ได้เลย!” จวงเชียนรู้ว่าการวิเคราะห์ปัญหาของแต่ละบุคคล อาจทำได้โดยการแสดงวรยุทธเท่านั้น เขาจึงลุกขึ้นยืนและออกหมัดโดยไม่ลังเล

ฟึ่บ!

เสียงลมพัดหวีดหวิวอยู่ภายใต้หมัดอันทรงพลัง

สมฐานะนักรบขั้นทงฉวน พลังปราณของเขาพุ่งปราดไปทั่วร่างอย่างดุดันราวกับมังกรคำราม หมัดของเขาพุ่งตรงแหวกอากาศโดยรอบ เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท

ไม่นานก็เสร็จสิ้นการแสดงกระบวนท่า

จวงเชียน หลิวหลิง และเจิงเฟยหันไปมอง ‘ปรมาจารย์หยาง’ เป็นตาเดียวด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไร แต่ฝ่ายนั้นก็เอาแต่ทำหน้าเหวอเหมือนคนจนปัญญา

“ได้โปรดชี้แนะด้วย!” เห็นอีกฝ่ายแสดงทีท่าเช่นนั้น จวงเชียนหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นอีก ไม่อยากจะเรียกเจ้านั่นว่า ‘ปรมาจารย์หยาง’ แล้วด้วยซ้ำ เพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นปรมาจารย์ของจริง ถ้าอีกฝ่ายมีระดับสูงกว่าก็เป็นอีกเรื่อง แต่นี่ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ แล้วพวกเขาจะก้มหัวให้กับพวกต้มตุ๋นจอมปลอมได้อย่างไร?

แกเป็นคนบอกให้ฉันแสดงวรยุทธ แล้วตอนนี้ก็มาทำเป็นพูดไม่ออก…เห็นวรยุทธของฉันแล้วคงเซ่อไปเลยสิท่า!

“คุณอยากให้ผมชี้แนะหรือ?” จางเซวียนไม่สนทีท่าขัดเคืองของอีกฝ่าย เขาช้อนสายตามอง

“ก็ใช่น่ะสิ!” จวงเชียนคำราม

เขาเตรียมการไว้แล้ว อีกฝ่ายอ้าปากพูดเมื่อไรเขาจะหาช่องโหว่และเปิดโปงต่อหน้าทุกคนทันที จะประจานเจ้าคนหลอกลวงนี่อย่างเจ็บแสบเลยทีเดียว

ว่ากันตามจริง ที่ผู้คนพากันเข้าแถวยาวเหยียดทั้งๆที่ยังไม่รู้ตัวตนอันแท้จริงของคนที่พวกเขาอยากพบ ก็คงเป็นเพราะทำตามๆกันไปเท่านั้น

“คำชี้แนะของผมง่ายมาก แต่กลัวว่าคุณจะไม่เชื่อ…” จางเซวียนส่ายหน้า

เขาไม่มีทางเลือกนอกจากตามน้ำ ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาปลอมตัว เขาก็คงไม่มีปัญญาหาทางหนี แต่หลังจากมีประสบการณ์การปลอมตัวเป็นหยางชวนมาหลายวัน เขาก็เริ่มจะคุ้นเคยบ้างแล้ว

ด้วยทีท่าไม่ยินดียินร้าย จางเซวียนโบกมือและเอ่ยถาม

“คุณต้องการฝ่าด่านทงฉวนขั้นสูงสุดไปสู่ขั้นกึ่งจงซรือใช่หรือไม่?”

“แน่นอนว่าผมต้องการเช่นนั้น!” จวงเชียนตอบ

ตลกเป็นบ้า! นักรบคนไหนบ้างจะไม่อยากฝ่าด่านการฝึกเพื่อเลื่อนขั้นวรยุทธของตน?

ใครกันที่ไม่อยากสำเร็จวรยุทธขั้นสูงกว่าเดิม?

ก็เหมือนกับนายแพทย์ที่ไม่อาจรักษาตัวเองได้ ปรมาจารย์ก็ไม่อาจชี้แนะตัวเองได้เช่นกัน เขาปรารถนาที่จะฝ่าด่านวรยุทธมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ

เพื่อนเก่าทั้งสองของเขา หลิวหลิงกับเจิงเฟย ฝ่าด่านนี้ไปได้นานแล้ว เขาได้แต่เฝ้ามองสองคนนั้นสำเร็จวรยุทธขั้นสูงและทิ้งห่างเขาไปเรื่อยๆอย่างกระวนกระวาย

“ผมช่วยคุณฝ่าด่านวรยุทธได้ภายในสิบนาทีนะ แต่…” จางเซวียนหยุดพูดดื้อๆ

“ฝ่าด่านได้…ภายในสิบนาทีหรือ?” จวงเชียนผงะ

แม้แต่หลิวหลิงกับเจิงเฟยก็มีสีหน้าไม่เชื่อ

ในฐานะสหายรัก พวกเขาเคยเฝ้าสังเกตการฝึกของจวงเชียนและได้ข้อสรุปว่าเป็นไปไม่ได้ที่จวงเชียนจะฝ่าด่านวรยุทธภายในเวลาอันสั้น แต่เจ้าคนจอมปลอมนี่กลับยืนยันว่ามันทำได้

ภายในสิบนาทีด้วย เอากันมันสิ!

“ผมเปิดให้โอกาสให้พวกคุณแล้ว จะเลือกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคุณเอง!”

จางเซวียนยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสุขุม

ปกติกิริยาท่าทางแบบนี้จะดูมีสง่าราศีอย่างน่าทึ่ง ผู้ได้พบเห็นจะรู้สึกราวกับมีภูเขาหนักอึ้งทับอยู่บนยอดอก แต่ตอนนี้ นัยน์ตาของจางเซวียนแดงก่ำทั้งยังมีถุงใต้ตาถ่วงอยู่ ริมฝีปากก็แห้งและเขียวคล้ำ นอกจากจะดูไม่เหมือนผู้ทรงภูมิแล้วยังดูราวกับกรำศึกหนักมาตลอดคืน รูปลักษณ์กับท่าทีของเขาช่างห่างไกลกันอย่างสุดบรรยาย

“ผม…ตกลง! โปรดชี้แนะด้วย!” จวงเชียนกัดฟันตอบหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

ถ้าแกช่วยให้ฉันฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างปากว่า ฉันก็จะยอมรับว่าแกเป็นปรมาจารย์ตัวจริง แต่ถ้าทำไม่ได้…นั่นหมายถึงแกมันจอมปลอม เป็นไอ้คนหลอกลวง!

“แน่ใจนะ?” จางเซวียนจ้องหน้าเขา

“แน่ใจ!”

จวงเชียนพยักหน้า

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น เสี่ยวฉาง ไปเอากระสอบป่านมา แล้วเรียกองครักษ์มาสองสามคน บอกพวกเขาเอาไม้กระบองติดตัวมาด้วย…” จางเซวียนออกคำสั่ง

ฮ่องเต้เซินจุยกับปรมาจารย์ทั้งสามสบตากันอย่างงุนงง

กระสอบป่าน?

องครักษ์?

ไม้กระบอง?

จะช่วยเขาฝ่าด่านวรยุทธหรือกำลังจะจับหมู?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version