ตอนที่ 97 การแยกแยะยา
“จะขอลองสอบดูบ้างหรือ”
ไม่เพียงแต่โอวหยางเฉิงจะช็อก ตู้หม่านที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ช็อกเช่นกัน แต่ละคนล้วนรู้สึกหน้ามืดไปตามๆ กัน
น้องชาย นี่แกกำลังคิดว่าการเป็นนักปรุงยาก็เหมือนกับเลือกซื้อผักปลาอยู่รึไง คิดจะซื้อก็ซื้อได้ คิดจะขายก็ขายออก
แถมยังพูดว่าจะขอลองสอบดูอีก แกกำลังล้อกันเล่นอยู่ใช่ไหม
ผู้ที่สามารถจะประกอบอาชีพที่ทรงเกียรติและมีศักดิ์ศรีมากที่สุดในบรรดาอาชีพต่างๆ ได้ แต่ละคนล้วนแต่ต้องผ่านประสบการณ์ที่สุดจะยากเย็นแสนเข็ญ หรือประสบการณ์ความเป็นความตายมาก่อนแล้ว
ทั้งนั้น
แต่แกนี่สิ ยังไม่ได้ผ่านประสบการณ์อะไรเลย อยู่ๆ ก็พูดว่าจะขอลองสอบดูบ้าง…
แกติงต๊องหรือ
แกรู้ไหมว่านักปรุงยาน่ะ พวกเขาต้องสอบอะไรกันบ้าง แล้วรู้ไหมว่าการจะเป็นนักปรุงยาตัวจริงเขาต้องทำอย่างไรกันบ้าง
โอวหยางเฉิงตัวสั่นระรัวเหมือนกำลังจะอาเจียน เขามองไปที่จางเซวียนด้วยสายตาจริงจัง “การจะเป็นนักปรุงยาได้นั้น มีความรู้ด้านสมุนไพรอย่างเดียวยังไม่พอ จะต้องสามารถแยกแยะสมุนไพรได้ แล้วต้องสามารถผสมสมุนไพร เก็บสมุนไพร ปรุงยา อัดเม็ดยา สกัดยา และอื่นๆ อีกมากมาย เฉพาะแค่วิธีการปรุงยาก็มีหลายพันวิธีแล้ว… มันไม่ได้สอบกันได้ง่ายๆ เลยนะ”
“ถูกต้อง กรรมวิธีในการปรุงยานั้น ความแรงและความร้อนของไฟก็มีส่วนอยู่มาก ทุกขั้นตอนจะต้องทำอย่างพิถีพิถัน หากเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็หมายความว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดเปล่าประโยชน์ไปทันที ความสามารถในการปรุงยาต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้ถึงจะสามารถปรุงยาได้อย่างถูกต้องถูกวิธี เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ภายในเวลาอันสั้นหรอก”
ตู้หม่านอธิบายเสริม
“มันซับซ้อนขนาดนี้เลยหรือครับ” จางเซวียนแสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมา “งั้นผมคงจะเป็นนักปรุงยาภายในครึ่งเดือนไม่ได้แน่”
อีกครึ่งเดือนก็จะมีการประลองฝีมือของศิษย์ใหม่แล้ว เป้าหมายของจางเซวียนที่มาสมาพันธ์นักปรุงยาในครั้งนี้ชัดเจนมาก นั่นก็คือหาข้อมูลของยาที่สามารถเปิดจุดชีพจรต่างๆ บนร่างกายของหยวนเทาและจ้าวหย่าได้ เพื่อให้ความสามารถของพวกเขาเพิ่มขึ้น จะได้ชนะการประลองที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกครึ่งเดือน
เขาจะต้องหาทางจัดการกับปัญหานี้ให้ได้ภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ถ้าจัดการกับปัญหาไม่ได้ ถึงจะได้เป็นนักปรุงยาตัวจริงก็ไม่มีประโยชน์
จากการที่จางเซวียนได้สนทนากับหวงหวี่ ตอนนี้เขามีจุดมุ่งหมายในชีวิตแล้ว นั่นคือการเป็นปรมาจารย์ ที่ลู่ฉวินมาท้าประลองกับเขาในครั้งนี้ นับเป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ แต่มองอีกทีก็เป็นโอกาส ถ้าเขาชนะการประลองขึ้นมา ชื่อเสียงของเขาก็จะดีขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ปรมาจารย์บางคนเกิดสนใจในตัวเขา แล้วคิดจะรับเขาไปเป็นผู้ช่วยบ้างก็ได้
เช่นเดียวกับการเป็นนักปรุงยา ก่อนอื่นก็ต้องเป็นศิษย์ของนักปรุงยาเสียก่อน แล้วค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ ทำตามขั้นตอนที่ถูกกำหนดไว้ก่อนอย่างไม่รีบร้อน
ถ้าไม่มีปรมาจารย์คนไหนสนใจ แล้วจะกลายเป็นผู้ช่วยหรือศิษย์ของพวกเขาได้อย่างไร
“ครึ่งเดือน…”
เมื่อทุกคนในห้องได้ยินคำพูดของจางเซวียนก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก
นักปรุงยาทุกคนต้องเคยเป็นศิษย์ของนักปรุงยาคนอื่นๆ มาก่อนหลายสิบปี จากนั้นถึงจะกล้าไปสอบเป็นนักปรุงยาตัวจริง
แล้วแกล่ะ เพิ่งจะสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยาได้หมาดๆ จากนั้นก็คิดจะสอบเป็นนักปรุงยาเลย… แถมยังบอกว่าจะสอบให้ได้ภายในครึ่งเดือนอีกด้วย นี่แกล้อกันเล่นอยู่ใช่ไหม
โดยเฉพาะซุนเทากับจูหวาหัวที่ยืนอยู่ข้างๆทั้งสองแทบจะถอดรองเท้าแล้ว
เขวี้ยงใส่หน้าจางเซวียนด้วยความหมั่นไส้
ไอ้อึ่งอ่าง ทำไมแกถึงได้อวดเก่งขนาดนี้
การจะเป็นนักปรุงยาตัวจริงนั้นมันยากกว่าการเป็นศิษย์ของนักปรุงยามากมายหลายเท่าตัว นี่แกยังไม่เห็นอีกหรือว่ากว่าจะได้เป็นศิษย์ของนักปรุงยา พวกเราล้วนลำบากลำบนกันแค่ไหน
จะเป็นนักปรุงยาให้ได้ภายในครึ่งเดือนหรือ
แกฝันเฟื่องไปแล้ว
“จางเซวียน อย่าได้ผยองนักสิ อายุของคุณยังไม่ถึงยี่สิบเลย สามารถเป็นนักปรุงยาก่อนอายุสามสิบก็ถือว่าเป็นการทำลายสถิติการเป็นนักปรุงยาของอาณาจักรเทียนเซวียนแล้ว การที่คิดจะเป็นนักปรุงยาภายในเวลาสิบห้าวัน เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ผมว่าคุณน่ะ ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ ก่อนจะดีกว่า อย่าใฝ่สูงนักเลย…”
โอวหยางเฉิงพูดด้วยความหวังดี
ไอ้น้องนี่มันเป็นอัจฉริยะ แต่ใจร้อนไปหน่อย คิดจะเป็นนักปรุงยาภายในครึ่งเดือนรึ เฮอะ!
“ก็ได้ครับ ในเมื่อต้องลำบากขนาดนั้น ผมไม่สอบก็ได้ งั้นผมค่อยคิดหาวิธีอื่นก็แล้วกัน” จางเซวียนได้ยินอีกฝ่ายพูดซะเหมือนฟ้าจะถล่ม เขาจึงได้แต่ส่ายหัว
จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นนักปรุงยามากนักหรอก เขามีหอสมุดเทียบฟ้าในครอบครอง คิดจะบรรลุเคล็ดวิชาอะไรก็สามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องพึ่งพาฤทธิ์ยาเข้าช่วยเลย แล้วการเป็นนักปรุงยาจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าไม่ใช่เพราะหยวนเทา เขาเองก็คงจะไม่มาเหยียบสถานที่แห่งนี้เสียด้วยซ้ำ
เมื่อโอวหยางเฉิงกับตู้หม่านเห็นว่าจางเซวียนคิดล้มเลิกความตั้งใจ พวกเขาคิดว่าจางเซวียนคงรู้สึกรำคาญกับขั้นตอนที่แสนจะยุ่งยากนี้ ทั้งสองจึงรีบให้กำลังใจจางเซวียนต่อทันที “บนโลกใบนี้มีอาชีพมากมายหลายประเภท อาชีพนักปรุงยาเป็นอาชีพที่อยู่เหนืออาชีพอื่นๆ ทุกอาชีพแล้ว คุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์ซ้ำยังตั้งใจเรียนรู้เรื่องสมุนไพรอีก ถ้าไม่มาเป็นนักปรุงยา ก็เท่ากับว่าเวลานับสิบปีที่คุณเสียไป มันก็เปล่าประโยชน์เลยน่ะสิ”
“เวลานับสิบปีที่เสียไป?” จางเซวียนกะพริบตา
เขาใช้เวลาทั้งหมดแค่สี่ชั่วโมงเอง ไม่ได้ใช้เวลานับสิบปีสักหน่อย
“คือผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำน่ะครับ การสอบเป็นนักปรุงยาลำบากขนาดนี้ แถมยังต้องปรุงยาให้เป็นอีกด้วย ผมคงจะไม่สามารถเรียนรู้เรื่องทั้งหมดภายในเวลาอันสั้นได้ งั้นผมไม่สอบดีกว่า” จางเซวียนส่ายหัวแล้วตอบคำพูดของโอวหยางเฉิงอย่างไม่ลังเล
“เฮ้ย อย่ารีบร้อนนักสิ การสอบเป็นนักปรุงยานั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าจะต้องสอบการปรุงยาอย่างเดียว แต่ยังมีวิธีอื่นที่สามารถสอบได้อีก” โอวหยางเฉิงเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงรีบพูด “ความจำของคุณดีขนาดนี้ มีการสอบอีกแบบหนึ่งที่เหมาะกับคุณมากกว่า”
“คุณกำลังจะพูดว่า…” สีหน้าของตู้หม่านเปลี่ยนไปทันที
“ถูกต้อง” โอวหยางเฉิงพยักหน้า
“แต่… คุณต้องอย่าลืมผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วยนะ บทลงโทษของมันหนักมากเลยทีเดียว อาจจะทำให้หมดสิทธิ์ในการสอบเป็นนักปรุงยาไปตลอดชีวิตเลยนะ…”
ตู้หม่านเริ่มยืนไม่อยู่กับที่
“ผมไม่ได้ลืม แต่ถ้าจะเป็นนักปรุงยาภายในเวลาอันสั้น มันก็มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าเลือกสอบปรุงยาจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ผู้เข้าสอบจะต้องผ่านการอบรมและฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาหลายพันหลายหมื่นครั้ง กว่าจะกลายมาเป็นนักปรุงยาตัวจริงได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาอันสั้นหรอก” โอวหยางเฉิงตอบกลับ
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ว่า พวกเรามีหน้าที่บอกให้เขารู้ ส่วนหน้าที่ในการเลือกเป็นของตัวเขาเอง จะเลือกทำวิธีไหนก็แล้วแต่เขาจะเลือก” โอวหยางเฉิงส่ายหัว
“มีวิธีอะไรหรือครับ”
จางเซวียนเห็นนักปรุงยาทั้งสองโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เขาจึงมองไปยังทั้งสองอย่างสงสัย
“การสอบเป็นนักปรุงยาแบ่งออกเป็นสองแบบ แบบที่หนึ่งคือการสอบการปรุงยา ขอเพียงแค่สามารถปรุงยาออกมาได้หนึ่งชนิด เท่านี้ก็สามารถเป็นนักปรุงยาระดับต้นได้แล้ว วิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด และเป็นวิธีที่ใช้กันบ่อยที่สุด” โอวหยางเฉิงอธิบายทันทีโดยไม่ลังเล
“วิธีการสอบแบบที่สองไม่ใช่การปรุงยา แต่เป็นการประลอง ‘วิวาทะกับเหล่านักปรุงยา’…”
“วิวาทะกับเหล่านักปรุงยาอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง อาชีพที่อยู่เหนือทุกอาชีพในใต้หล้าก็คืออาชีพปรมาจารย์ เรื่องนี้พวกคุณทุกคนก็คงจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วสินะ”
“ครับ” ทุกคนในห้องพยักหน้า
คนที่รู้ว่าอาชีพแบ่งออกเป็น สูง กลาง และต่ำ ก็ต้องรู้ว่าปรมาจารย์คืออะไรอยู่แล้ว
“ปรมาจารย์ที่เก่งกาจจะสามารถชี้แนะเรื่องทุกเรื่องให้กับคนอื่นๆ ได้ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องการฝึกวรยุทธ แต่จะรวมไปถึงการปรุงยา การตีอาวุธ หรือการวางค่ายกล” โอวหยางเฉิงอธิบาย “แต่การจะเป็นปรมาจารย์ได้นั้นต้องใช้เวลานานมาก แล้วคนคนนั้นจะมีเวลาไปเรียนรู้วิธีปรุงยาหรือวิธีตีอาวุธได้อย่างไร อีกอย่าง เขาจะไปเป็นนักปรุงยาตัวจริงหรือเป็นช่างตีอาวุธได้อย่างไรกัน”
“ถ้าตนไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพในสายอาชีพนั้นๆ แล้วจะให้คำชี้แนะที่ถูกต้องกับคนอื่นได้อย่างไรล่ะครับ”
“เพื่อเป็นการรวบรวมเทคนิคและแก่นความรู้ของทุกอาชีพเข้าด้วยกัน จึงเกิดเป็นการสอบในลักษณะเดียวกับการ ‘วิวาทะกับเหล่านักปรุงยา’ เกิดขึ้นอย่างไรล่ะ”
“ยกตัวอย่างจากอาชีพนักปรุงยาอย่างพวกเรา ถ้าอยากจะเป็นนักปรุงยาตัวจริง คนคนนั้นจะต้องผ่านการลงมือปรุงยาในเชิงปฏิบัติจริงๆ ซ้ำไปซ้ำมาหลายหมื่นครั้งจึงจะสามารถเป็นนักปรุงยาตัวจริงได้ แต่สำหรับคนที่จะเป็นปรมาจารย์นั้น เขาจะไม่มีเวลามากขนาดนั้นแน่นอน ดังนั้น เขาเพียงต้องรู้วิธีการปรุงยาในเชิงวิชาการก็พอแล้ว”
“ก็หมายความว่า คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องลงมือปรุงยา แค่สามารถบอกทฤษฎีการปรุงยาที่ถูกต้องออกมาได้ก็พอ แบบนี้ก็ถือว่าสอบผ่านการเป็นนักปรุงยาได้แล้ว”
“แน่นอน การสอบในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย จะต้องมีนักปรุงยาตัวจริงสิบท่านคอยฟังและตรวจสอบการแยกแยะยาของผู้เข้าสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ถ้าตอบผิดไปเพียงนิดเดียว ก็จะถือว่าสอบตกทันที แถมยังจะถูกลงโทษสถานหนักอีกด้วย”
โอวหยางเฉิงค่อยๆ อธิบายรายละเอียดของการสอบเป็นนักปรุงยาอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่าการประลอง ‘วิวาทะกับเหล่านักปรุงยา’ ให้กับทุกคนได้ฟังอย่างทั่วหน้า