ตอนที่ 156 : เมลิสซ่ามองการณ์ไกล
แถมตนยังมีคะแนนคุณประโยชน์เก่าจากสูตรผลิตโอสถตัวตลก…ไคลน์อมยิ้มเมื่อทุกสิ่งเป็นไปตามแผน มันจงใจใช้สูตรโอสถนักอ่านใจเพื่อเพิ่มคะแนนอยู่แล้ว
ในตอนแรก ชายหนุ่มคิดใช้คะแนนคุณประโยชน์บางส่วนแลก ‘วัตถุดิบ’ สำหรับผลิตโอสถตัวตลก เนื่องจากตนมีสูตรผลิตอยู่กับตัว จึงไม่ต้องการสิ้นเปลืองคะแนนไปอย่างสูญเปล่า
แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก มันไม่อยากเสียเวลาหาเหตุผลกลบเกลื่อน จึงปล่อยเลยตามเลย รับโอสถตัวตลกแบบเสร็จสมบูรณ์โดยใช้คะแนนคุณประโยชน์ทั้งหมด
“หวังว่าผมจะผ่านบททดสอบได้ราบรื่น”
ว่ากันตามตรง ไคลน์ดีใจเมื่อได้ยินดันน์ออกคำสั่งเมื่อครู่ คือตนไม่ต้องปฏิบัติการในภารกิจจับตามองฮู้ด ยูเก็น สามารถกลับไปเฝ้าประตูยานิสต่อได้เลย
ไม่เพียงฝีมือต่อสู้จะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ฝีมือการปลอมตัวสอดแนม รวมถึงฝีมือการยิงปืนของไคลน์ก็ไม่ได้ดีเลิศขนาดนั้น
ในด้านยิงปืน มันอาจเหนือกว่าตำรวจปรกติพอสมควร แต่เพื่อนร่วมทีมทุกคนล้วนเป็นผู้วิเศษสายสมรรถภาพร่างกาย ฝีมืออาจยังไม่เข้าขั้นนักแม่นปืนก็จริง แต่ก็ใกล้เคียงมากเต็มที
ด้านศิลปะการต่อสู้ยิ่งแล้วใหญ่ ฝีมือไคลน์เรียกได้ว่าเด็กเพิ่งตั้งไข่หัดเดิน
ต่อให้มียันต์หลับใหล ยันต์สยบวิญญาณ และยันต์ห้วงความฝัน ชายหนุ่มก็ยังถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ผู้วิเศษสายสนับสนุนอยู่ดี
การเอาชนะมนุษย์ปรกติสักคนไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะเป็นหนังคนละม้วนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้วิเศษสายต่อสู้
คงต้องรอให้กลายเป็นลำดับแปด ตัวตลก เสียก่อน ตนถึงสามารถปฏิบัติภารกิจเหนือธรรมชาติตามลำพังได้
จริงสิ…หากขโมยพลังจาก 3-0782 เพื่อนำมาสร้างยันต์เพลิงสุริยัน ตนคงมีไม้เด็ดสำหรับไว้พลิกสถานการณ์ และนั่นอาจนำพาไปสู่ชัยชนะ…ไคลน์ไตร่ตรองอย่างมีความหวังขณะเดินกลับบริษัทหนามทมิฬ
…
เช้าวันถัดมา หลังจากชายหนุ่มเสร็จเวรประตูยานิส เหยี่ยวราตรียังคงไม่พบเบาะแสเพิ่มเติมจากการเฝ้าจับตามองฮู้ด ยูเก็น ความหวังเดียวจึงมาจากสายข่าวของไคลน์
เมื่อกลับถึงบ้าน ชายหนุ่มจัดการอาหารเช้าและเดินขึ้นไปทิ้งตัวนอนบนเตียงอ่อนนุ่มจนถึงช่วงบ่าย
…
ไคลน์เองตื่นตามธรรมชาติ มันรีบล้างมือและเดินลงมายังชั้นล่าง จมูกพลันสัมผัสกับกลิ่นหอมกรุ่นของอาหาร
“เมลิสซ่าเป็นคนทำอาหารหรือ?”
ไคลน์จ้องมองเบ็นสัน อีกฝ่ายกำลังกางหนังสือพิมพ์อ่านในห้องนั่งเล่นด้วยท่าทีผ่อนคลาย
เบ็นสันลดหนังสือพิมพ์ลงพลางกระซิบ
“ถูกต้อง ว่ากันตามตรง พอได้ยินว่าจะมีแขกของเมลิสซ่ามาเยี่ยมบ้าน ฉันอาสาจะเป็นคนทำอาหารให้ เธอจะได้มีเวลาสนทนากับแขกในห้องนั่งเล่น แต่เมลิสซ่ากลับไม่เชื่อใจ หล่อนเลือกชวนแขกเข้าไปคุยในห้องครัวแทน…หยาบคายมาก”
เบ็นสัน เพิ่งรู้ตัวหรือว่าเมลิสซ่ารังเกียจฝีมือการทำอาหารของนายมาก…ไคลน์พยายามกลั้นขำ มันเดินไปนั่งบนโซฟาก่อนจะหันมาถาม
“แขกของเมลิสซ่า?”
“ถูกต้อง นายอาจรู้จัก เธอชื่ออลิสซาเบธ เคยพบกันครั้งหนึ่งในงานวันเกิดเซเลน่า”
เมื่อเล่าจบ เบ็นสันเอนหลังพิงเบาะพร้อมกับยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านต่อ
ไม่ใช่อาจรู้จัก แต่พวกเราเจอกันบ่อยมาก…
เด็กคนนั้นมาหาถึงบ้านเลยหรือ?…ไคลน์มองไปทางห้องครัวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ทันใดนั้น เมลิสซ่าเดินออกจากครัวพร้อมกับถาดอาหารในมือ อลิสซาเบธเดินตามหลังไม่ห่าง ทั้งสองสาวสวมผ้ากันเปื้อนผืนใหญ่ไว้ด้านหน้า
“ไคลน์…? นายตื่นแล้วหรือ ฉันกำลังจะขึ้นไปปลุกพอดี”
เมลิสซ่าบรรจงวางอาหารลงบนโต๊ะทานข้าวอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เงยหน้า
“นี่คืออลิสซาเบธ คงรู้จักอยู่แล้ว”
“สวัสดี ไคลน์” เด็กสาวแก้มยุ้ยทักทาย
เธอฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มพยักหน้าทักทายตามมารยาท
ถัดมา เมลิสซ่าหันมองทางไคลน์และเบ็นสันพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อลิสซาเบธจะตามพวกเราไปสำนักงานจัดหาคนรับใช้ด้วย บ้านของเธอเคยจ้างสาวใช้มาแล้วสองสามคน คงช่วยพวกเราได้บ้างแน่นอน ฉันกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของสาวใช้ไว้บ้างแล้ว จะอ่านให้ฟัง ถ้ามีสิ่งใดต้องการเพิ่มเติมสามารถบอกได้”
เมลิสซ่าเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เศษกระดาษแผ่นเล็กถูกหยิบออกมาคลี่กาง
เด็กสาวเปล่งเสียงอ่านชัดถ้อยชัดคำ
“หนึ่ง สุขภาพดี สอง ทำงานหนัก รับผิดชอบ สาม ทำอาหารเก่ง สี่ เงียบขรึม ไม่เสียงดัง ห้า มาจากครอบครัวปรกติ หก รูปลักษณ์ปรกติ”
…
ขณะคุณสมบัติแต่ละข้อถูกประกาศจากปากเด็กสาว ไคลน์และเบ็นสันต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง พวกมันไม่เคยคิดว่าการจ้างสาวใช้จะวุ่นวายและจุกจิกซับซ้อนขนาดนี้
“เมลิสซ่า ไม่ใช่ว่าเธอคัดค้านการจ้างสาวใช้หรอกหรือ?”
เมื่อน้องสาวอธิบายจบ ไคลน์ถามจากจิตใต้สำนึก
เมลิสซ่าผงกศีรษะ
“ใช่ ฉันคัดค้าน แต่ก็ทราบดีว่าคงไม่สำเร็จ ในเมื่อขัดขวางไม่ได้ ก็มีแต่ต้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้าให้รอบคอบ… แล้วทั้งสองคนมีอะไรจะเสริมรึเปล่า?”
“ไม่!” ไคลน์และเบ็นสันพยักหน้าพร้อมกัน
อลิสซาเบธหัวเราะคิกคักกับบรรยากาศแสนอบอุ่นภายในครอบครัวโมเร็ตติ
เมื่อจัดการอาหารกลางวันเรียบร้อย ทั้งสี่เริ่มออกเดินทางไปยังถนนแชมเปญด้วยรถม้าสาธารณะ สำนักงานจัดหาคนรับใช้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีปลายทางมากนัก
สำนักงานจัดหาคนรับใช้มีลักษณะคล้ายกับองค์กรการกุศล พวกมันไม่คิดค่าใช้จ่าย ส่วนมากได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อกระตุ้นสภาพความเป็นอยู่ของชาวเมือง
ทางสำนักงานจะเปิดรับประวัติและข้อมูลจากบรรดาแรงงาน วิธีนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสถูกจ้างงาน และยังช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงแรงงานได้ง่ายขึ้น รายได้บางส่วนมาจากองค์กรการกุศล และบางส่วนก็มาจากเปอร์เซ็นต์ค่าแรงของลูกจ้าง
ขณะทั้งสี่คนเดินเข้าไปด้านใน พนักงานต้อนรับสาวสวยในเดรสผ้าพริ้วสีเหลืองอ่อนเดินออกมาทักทาย เธอนำทางทุกคนไปนั่งบริเวณโซฟารับรอง
“มีอะไรให้รับใช้คะ?”
เบ็นสันถูกน้องชายและน้องสาวจ้องเขม็ง เป็นนัยว่า ‘งานของนาย!’
มันตอบกระอักกระอ่วน
“ต้องการจ้างสาวใช้ครับ”
“กำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นไว้หรือยังคะ?”
พนักงานสาวตอบคล่องแคล่วคล้ายระบบอัตโนมัติ
ขณะเดียวกัน ภายในใจเบ็นสันกำลังหวนนึกถึงภาพน้องสาวดูแคลนฝีมือทำอาหารตน
“ทำอาหารเก่งครับ”
“ทำอาหารเก่ง?” พนักงานขมวดคิ้ว
“ว่ากันตามตรง…ไม่มีสาวใช้คนใดทำอาหารเก่งแน่นอน ทำไมถึงไม่จ้างพ่อครัวแทน หรือถ้าต้องการเป็นแม่ครัว ทางเราก็มีให้บริการในจำนวนไม่น้อยเช่นกัน”
“ไม่มีสาวใช้ทำอาหารเก่งสักคนเลยหรือ”
เมลิสซ่าอดแสดงท่าทีผิดหวังไม่ได้ แผนของเธอพังครืนในพริบตา
พนักงานสาวพยักหน้า
“ใช่ค่ะ โดยส่วนมากแล้ว สาวใช้จะมาจากครอบครัวชนชั้นล่างหรือไม่ก็หมู่บ้านห่างไกล ไม่มีโอกาสร่ำเรียนทักษะทำอาหาร แม้ทางสำนักงานของเราจะมีบทเรียนพื้นฐานคอยฝึกอบรม แต่ก็ไม่ได้ช่วยยกระดับฝีมือทำอาหารสักเท่าไร อย่างมากก็ทำได้เพียงรับประกันว่า ผู้ทานจะไม่ป่วยไข้เพราะอาหารเห็นพิษ”
เมลิสซ่าพลันเงียบงัน เมื่อทุกสิ่งไม่เป็นไปตามแผน เด็กสาวเริ่มแสดงท่าทีกระอักกระอ่วน
“น่าเสียดายจัง” เบ็นสันออกตัว
มันก้มหน้าเรียบเรียงคำพูดสักพัก
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราขอเปลี่ยนคุณสมบัติ จากทำอาหารเก่ง เป็นบุคคลพร้อมเปิดใจเรียนรู้วิธีการทำอาหาร และมีพื้นฐานบ้างสำหรับต่อยอด”
ไม่เลว เบ็นสัน…ไคลน์นั่งอมยิ้มเงียบงัน มือซ้ายจับไม้ค้ำผ่อนคลาย ส่วนมือขวากำลังจัดระเบียบหมวก
เห็นทีคงไม่ต้องถึงมือตนกระมัง
“ไม่มีปัญหาค่ะ ระหว่างคาบเรียนทำอาหาร ทางเราได้จดบันทึกผลลัพธ์ของสาวใช้แต่ละคนไว้ รวมถึงสถิติของบุคคลผู้มีแนวโน้มสามารถกลายเป็นแม่ครัว”
พนักงานสาวยังคงยิ้ม
“มีข้อกำหนดเพิ่มเติมอีกไหมคะ”
“มีครับ” เบ็นสันรีบพยักหน้า
ขณะสัมผัสถึงสายตากดดันจากเมลิสซ่า พี่ชายคนโตของครอบครัวรีบหยิบเศษกระดาษออกจากกระเป๋าเสื้อด้วยมือไม้สั่นเทา
มันไล่อ่านคุณสมบัติเสียงดังฟังชัด
พนักงานสาวนั่งฟังอย่างตั้งใจ และมอบคำตอบเมื่อเบ็นสันพูดจบ
“ค…คงต้องขอตรวจสอบข้อมูลในบันทึกก่อนนะคะ ว่ามีสาวใช้คนใดบ้างคุณสมบัติตรงกับความต้องการ พวกคุณไม่จำเป็นต้องตัดสินใจทันที สามารถเลือกเผื่อไว้ราวสองถึงสี่คน จากนั้นทางเราจะส่งพวกหล่อนไปหา เพื่อทดสอบฝีมือทำอาหารและความพึงพอใจ แล้วค่อยตัดสินใจเด็ดขาดในภายหลัง แน่นอนว่า การดำเนินการในส่วนนี้มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย และทางเราจะไม่จัดเตรียมวัตถุดิบประกอบอาหารให้”
“ตกลงครับ” เบ็นสันพับกระดาษเก็บ
พนักงานสาวลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน แต่ผ่านไปเพียงสองก้าว เธอชะงักฝีเท้าและหันมาถามเบ็นสันด้วยสีหน้าเขินอาย
“ข…ขอกระดาษแผ่นนั้นได้ไหมคะ ดิฉันเกรงว่าอาจจำคุณสมบัติตกหล่น”
“ไม่มีปัญหาครับ” เบ็นสันพยายามกลั้นขำ
…
ผ่านไปสักพัก พนักงานเดรสเหลืองอ่อนคนเดิมเดินออกมาพร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ให้เบ็นสัน
พี่ชายคนโตหยิบมาเปิดอ่านรายละเอียดอย่างตั้งใจ ข้อมูลค่อนข้างลงลึก มีทั้งชื่อจริง วันเกิด สถานภาพครอบครัว คำอธิบายรูปลักษณ์ ประวัติสุขภาพ ประสบการณ์ทำงานในอดีต จุดตำหนิ ค่าจ้างคาดหวัง รวมถึงข้อมูลจิปาถะยิบย่อย
ฉวยโอกาสเบ็นสันและเมลิสซ่ากำลังนั่งมุงแฟ้มเอกสาร อลิสซาเบธแอบขยับใกล้ไคลน์พลางส่งเสียงถาม
“คุณไม่มีความเห็นบ้างหรือ?”
“มี…แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลในนั้น”
ไคลน์ตอบคลุมเครือ
ดวงตาอลิสซาเบธพลันส่องประกาย
“แล้วคุณจะเลือกด้วยวิธีไหน?”
ชายหนุ่มอมยิ้มพร้อมกับชี้ไปยังโซ่เงินรอบข้อมือซ้าย
“ผมจะทำนายหาความเหมาะสม โดยการเขียนประโยคทำนายให้เหมาะกับแต่ละคนใส่แผ่นกระดาษ ทำไปทีละคนจนกว่าจะได้รับคำตอบน่าพึงพอใจ”
“…” อลิสซาเบธใบ้กิน
เธอตกอยู่ในภวังค์เงียบงันราวยี่สิบวินาที
“จริงด้วย ทั้งง่ายและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด…ฉันลืมไปเลยว่าคุณคือ”
อลิสซาเบธพลันชะงักคำพูดเนื่องจากถูกเมลิสซ่าหันกลับมาจ้องเขม็ง
เมื่อเห็นภาพพี่ชายกำลังกระซิบกระซาบกับเพื่อนสนิท เมลิสซ่าเริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด
น้องสาว…เธอกำลังเข้าใจผิด!
ไม่ใช่แบบนั้น! พวกเราแค่คุยเรื่องทั่วไป
ไคลน์รีบกระแอมหนึ่งหนพร้อมกันขยับไปอ่านรายละเอียดบนเอกสารสาวใช้
…
ผ่านไปสักพัก มีสาวใช้ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดสามคน ถูกเลือกเพื่อส่งมาทดสอบฝีมือในวันหลัง ค่าแรงรายสัปดาห์ของพวกหล่อนตั้งแต่ สี่ซูล แปดเพนนีไปจนถึง ห้าซูล สองเพนนี
เบ็นสันไม่ได้ต่อรองค่าแรงสาวใช้ แต่มันเลือกต่อรองค่าธรรมเนียมกับสำนักงาน
จนกระทั่งการเจรจาบรรลุผล ทางครอบครัวโมเร็ตติต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเทียบเท่าค่าแรงสาวใช้หนึ่งสัปดาห์ จากเดิมคือสองสัปดาห์ แต่แลกมากับการต้องจ่ายค่าเดินทาง หนึ่งซูลเพื่อให้สาวใช้ทั้งสามทดสอบฝีมือ
เมื่อทุกสิ่งลงตัว อลิสซาเบธโบกมืออำลาสามพี่น้องและแยกย้าย ส่วนคนอื่นขึ้นรถม้ากลับถนนดารารัตน์
ตลอดทาง ไคลน์ต้องเผชิญกับรังสีอาฆาตจากสายตาเมลิสซ่า เมื่อถึงบ้าน ชายหนุ่มจึงรีบจ้ำเท้าขึ้นชั้นสองโดยไม่เหลียวหลัง
ทว่า เมลิสซ่าโกนเรียกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไคลน์” เด็กสาวเว้นวรรค
“ถ้านายต้องการหมั้นกับอลิสซาเบธ ต้องทำงานให้หนักกว่านี้อีกสักหน่อย พ่อของเธอเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่ ส่วนแม่เป็นบุตรสาวบารอน…”
เดี๋ยว…หมั้น?
หมั้น!? ตั้งแต่ตอนไหน?
ไคลน์ยืนขมวดคิ้วพลางจ้องมองเมลิสซ่า
เธอคิดไปไกลขนาดไหนกัน?
……………………