บทที่ 1050 ซีหมัวจื่อ
ในตอนที่สวี่ชิงไปจากทะเลสาบสละเซียน ภายในเผ่าปีกมารฝั่งประจิม บริเวณค่ายกลส่งข้ามส่งกองกำลังสงครามชายแดน ก็เกิดระลอกคลื่นพลังสั่นสะเทือนขยายออกมา
จำนวนค่ายกลส่งข้ามที่นี่มีอยู่หลายแห่ง กระจายตัวกันไป และแต่ละแห่งเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในช่วงสงคราม มันคือประตูของแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร
ดังนั้นโดยปกติแล้ว ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ของเผ่าปีกมารฝั่งประจิมล้วนส่งกองกำลังทหารมาป้องกันที่นี่
ตอนนี้ นอกค่ายกลส่งข้ามที่ 17 มีผู้บำเพ็ญที่มาจากภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 17 จำนวนร้อยกว่าคน รอคอยอย่างเคารพนอบน้อม
ผู้เป็นหัวหน้าคือเด็กสวมชุดนักพรตคนหนึ่ง
พวกเขาไม่พูดอะไรเลย ล้วนแต่จ้องมองค่ายกลที่ 17 ที่แผ่ระลอกคลื่นข้างหน้า
ค่ายกลนี้ค่อยๆ ส่งเสียงดังสะท้านสะเทือนขึ้นมา กลิ่นอายส่งข้ามเข้มข้น สุดท้ายหลังจากเกิดแสงพร่างพรายเจิดจ้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่ค่ายกลทั้งหมด เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในประกายแสงนี้
ต่อให้เกิดเป็นเพียงเค้าร่าง แต่กลิ่นอายเหี้ยมโหดอำมหิตที่มาจากคนคนนี้ก็แผ่ซ่านมาก่อน ทำให้ผู้ที่รอคอยที่นี่ทุกคนต่างจิตใจสั่นสะท้าน
คลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าจะได้กลิ่นคาวเลือด
จนกระทั่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง จากแสงบนค่ายกลค่อยๆ จางหายไป เงาร่างในนั้นก็ชัดเจนยิ่งขึ้น สุดท้าย ในยามที่แสงหายไปโดยสมบูรณ์ สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคนทั้งหลายคือชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีดำคนหนึ่ง
บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นที่น่าครั่นคร้ามสยดสยอง 2 ทาง เป็นรูปกากบาท เนื้อชุ่มเลือดปลิ้นทะลัก น่ากลัวเป็นที่สุด
และรอยแผลเป็นนี้ทั้งๆ ที่ควรจะอัปลักษณ์ แต่อยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้กลับทำให้รู้สึกถึงความเป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความอำมหิตโหดเหี้ยมให้เขาอย่างเข้มข้น
และผมสีแดงที่ปลิวสยายของเขาช่วยขับเน้น เหมือนเป็นต้นกำเนิดของกลิ่นคาวเลือดที่นี่
ส่วนเกราะบนร่าง บนนั้นมีร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้จากสงครามมากมาย เห็นได้ว่าคนคนนี้ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน
และทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น นอกค่ายกล คนทั้งหลายที่มาจากภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 17 โดยมีการนำจากเด็กคนนั้น ก็รีบคุกเข่าคารวะคนคนนี้ทันที
คนคนนี้ก็คือลูกศิษย์คนที่ 3 ของเจ้าเหนือแห่งภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 17
แม้จะอยู่ในอันดับ 3 แต่ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงพลัง ยิ่งไม่ได้ถึงศักยภาพ ความจริงแล้ว เขาไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงเลื่องลือในภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 17 เท่านั้น ต่อให้เป็นทั่วทั้งเผ่าปีกมารฝั่งประจิมก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
กระทั่งว่าแม้แต่เผ่าปีกมารฝั่งบูรพา ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังเช่นกัน
ซีหมัวจื่อ!
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะความสามารถของเขาเคยได้รับการชื่นชมจากมหาจักรพรรดิปีกมาร
ในตอนที่เป็นระดับหวนสู่อนัตตาก็สามารถสู้กับระดับเตรียมสู่เทวะขั้นต่ำได้ หลังจากที่ตัวเขาทะลวงขั้นก้าวสู่ระดับเตรียมสู่เทวะยิ่งคว้าอำนาจมาได้ เป็นผู้ที่คว้าเอาอำนาจมาได้ทั้งที่อยู่ระดับเตรียมสู่เทวะเท่านั้นคนที่ 2 ของเผ่าปีกมารประจิมในพันปีมานี้
อีกทั้งอำนาจของเขาทั้งพิเศษและน่ากลัว
สังหารเป็นหลัก!
ตอนนี้ ยิ่งด้วยพลังบำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะโลก 7 ใบแต่กลับเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเตรียมสู่เทวะโลก 9 ใบเสียอีก กระทั่งว่าหากปะทุเต็มกำลังก็สามารถสำแดงพลังที่ใกล้เคียงกับพลังระดับเจ้าเหนือหัวได้
อยู่ในสนามรบเผ่ามนุษย์ก็อาศัยความสามารถและการสังหาร สร้างความชอบอย่ามหาศาล กระทั่งว่าในอันดับรายชื่อต้องสังหารของเผ่ามนุษย์ อันดับของคนคนนี้อยู่ในอันดับเดียวกับอัจฉริยะคนอื่นๆ อีก 3 คน อยู่หลังเจ้าเหนือหัว
และแต่เดิมเขาอยู่ที่สนามศึกมาโดยตลอด จวบจนได้รับจดหมายลับของสหายร่วมสำนัก
ดังนั้นเขาเลือกที่จะกลับมา
ตอนนี้จากการแผ่ซ่านของกลิ่นคาวเลือด จากการแผ่ลามของจิตสังหาร ซีหมัวจื่อสีหน้าเย็นชา เพียงก้าวเดียวก็เดินออกมาจากค่ายกล มายืนอยู่หน้าผู้คุกเข่าคารวะทั้งหลาย
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” ซีหมัวจื่อเอ่ยราบเรียบ
การมาเยือนของเขาทำให้ผู้ที่คุกเข่าคารวะเหล่านั้นส่วนใหญ่จิตใจสั่นสะท้าน ในฐานะที่อยู่ร่วมภูเขา พวกเขารู้ดีว่าท่านผู้นี้มีความชอบการสังหารแทบจะเป็นการหลงใหลคลั่งไคล้
เหี้ยมโหดคือตัวตนโดยแท้จริงของเขา
แต่เขากลับเป็นยอดอัจฉริยะผู้เป็นที่จับตามองทั่วทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร ได้รับการยอมรับจากมหาจักรพรรดิปีกมาร และยังมีเจ้าเหนือหัวเป็นอาจารย์ บุคคลเช่นนี้ แม้จะไม่พูดว่าถึงกับปิดบังสวรรค์ได้ด้วยมือเดียว แต่ก็ไม่ห่างจากขั้นนั้นนัก
ดังนั้นศีรษะจึงก้มต่ำลงไปอีก
ต่อให้เป็นเด็กที่เป็นผู้นำ เขาที่เป็นผู้ติดตามของมหาจักรพรรดิก็ไม่กล้าเฉยชาแม้แต่น้อย รีบบอกทุกสิ่งที่ตัวเองรู้ออกไปอย่างนอบน้อม
“เสี่ยเฉินจื่อคนคนนั้นได้มุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบสละเซียน หลังจากนั้น 2 ชั่วยามก็จากไป มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ตอนนี้หยุดอยู่ที่เขาสวรรค์บูรพาพ่ะย่ะค่ะ”
ซีหมัวจื่อพยักหน้า ในดวงตาประกายวาววับฉายวูบ ร่างเพียงเดินออกไปก้าวเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่บนฟ้า จับเป้าหมายทิศทางหนึ่งเอาไว้ เพียงสะบัดมือ เมฆดำมหาศาลก็ปกคลุมไปพันลี้ หอบม้วนร่างของเขาเอาไว้ พุ่งตรงไปยังที่ไกล
ทุกที่ที่ผ่าน ฟ้าดินคำรามเลื่อนลั่น เขาที่อยู่ในเมฆดำประดุจมารฟ้า
เขากลับมาครั้งนี้ก็เพื่อ…เสี่ยเฉินจื่อ
หลังจากที่รู้ว่าเสี่ยเฉินจื่อท้าทายในภูเขาของตนแต่กลับไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้ ซีหมัวจื่อคิดจะเด็ดศีรษะเขา วางไว้ที่ที่เขาเคยนั่งขัดสมาธิ
สำหรับสงครามเผ่าเดียวกัน ตลอดจนการต่อสู้ระหว่างฝั่งบูรพาและประจิม สำหรับซีหมัวจื่อแล้ว เขาไม่สนใจ
……
ขณะเดียวกัน ในขณะที่ซีหมัวจื่อคนนี้ทะยานอย่างรวดเร็วไปในท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังเขาสวรรค์บูรพา บนเขาสวรรค์บูรพา สวี่ชิงเลือกที่จะหยุดอยู่ที่นี่จริงๆ
เรื่องที่เผ่าปีกมารฝั่งประจิมเขาดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
จักรพรรดินีก็ได้พบมหาจักรพรรดิปีกมารแล้ว ดังนั้นตนไม่จำเป็นต้องท้าประลองที่นี่ต่อไปอีก
ส่วนการเดินทางไปตำหนักวิชาเซียนครั้งนี้ สวี่ชิงก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวอย่างล้นหลามเช่นกัน
เช่นนี้แล้ว สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือรอให้การพูดคุยของจักรพรรดินีกับมหาจักรพรรดิปีกมารจบลง จากนั้นก็ไปจากเผ่าปีกมารฝั่งประจิมพร้อมกับจักรพรรดินี
สวี่ชิงครุ่นคิด เดินทางมากับจักรพรรดินีตลอดทางมานี้ ในใจของเขาก็ขบคิดถึงเป้าหมายของพระองค์มาโดยตลอด
สิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน
แต่เห็นได้ชัดว่าในนั้นจะต้องมีรายละเอียดและความลับมากมายซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน สวี่ชิงขาดข้อมูลที่สำคัญ ตอนนี้ไม่อาจวิเคราะห์อะไรได้มากนัก
แต่ว่าเขาจำเรื่องหนึ่งได้ นั่นก็คือ สถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนมีวาสนาที่ทำให้พลังบำเพ็ญยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล
“แล้วก็ยังมีแผนในอดีตของเยวี่ยตง…”
“นอกจากนี้ ก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้เก็บผลเก็บเกี่ยวได้อย่างไรบ้าง ท่าทางอยู่ในตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา น่าจะได้ประโยชน์อะไรมาไม่ได้”
สวี่ชิงความคิดหลั่งไหล จากนั้นก็เก็บทุกอย่างลงไป ไม่ไปขบคิดเรื่องนี้อีก แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ตนจะต้องทำการศึกษาค้นคว้าในตอนนี้
อย่างแรกคือหน้ากากอธิษฐาน
หน้ากากนี้ สวี่ชิงในตอนที่มีเวลาว่างก็เคยค้นคว้ามันหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนต้องควบคุมตัวเอง ไม่เคยอธิษฐาน แต่ว่าจากการศึกษาค้นคว้า ในใจของเขามีการวิเคราะห์อะไรบางอย่างออกมาคร่าวๆ
“การอธิษฐานของสิ่งนี้น่าจะเป็นอำนาจเทพอย่างหนึ่ง!”
“อีกทั้งความสูงของคุณสมบัติก็พูดได้กระทั่งว่าน่าหวาดหวั่น…”
“ดังนั้นใช้มันเป็นไพ่ตายได้ หากไม่จำเป็นจริงๆ อย่าไปอธิษฐานจะเป็นการดีที่สุด”
“ส่วนฝุ่นสีขาว ตั้งแต่ช่วงนี้มาก็เกิดขึ้นมากขึ้นมาเล็กน้อย แต่จำนวนก็ยังไม่พอ…”
สวี่ชิงสัมผัสครู่หนึ่ง ก็สำรวจอำนาจเทพชะตาวาสนาของตัวเอง
“การใช้อำนาจเทพนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้จำกัดอยู่เพียงรูปแบบเดียว ความจริงแล้วมันมีวิธีใช้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะใช้วิญญาณของข้าเองในการหอบม้วนมันขึ้นมา หรือเสริมพลังให้กับพลังวิเศษ ก็ล้วนสามารถลองได้ทั้งนั้น”
“ส่วนความสามารถในการสลักชะตาของมันก็มีผลสะท้อนกลับอยู่ด้วย”
“ชะตาที่ถูกสลักลงไป แทนที่เส้นทางแต่เดิม เช่นนั้นอุปสรรคขัดขวางที่จะต้องได้พบเจอในระหว่างนั้น ข้าจะต้องเป็นคนแบกรับ”
มือขวาของสวี่ชิงยกขึ้น ฝ่ามือมีมีดสลักที่แปรเปลี่ยนมาจากอำนาจเทพแห่งชะตาวาสนาลอยขึ้นมา หลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บมันลงไป จากนั้นก็หลับตาสัมผัสรับรู้หลังของตัวเอง
ตรงนั้นมีรอยสักเต็มแผนหลังรูปหนึ่ง
เทียนสีแดงที่มอดดับ
สัมผัสรับรู้ภาพนี้ สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย
การประทับตราของวัตถุนี้ในแดนลับต้นกำเนิดโลกไม่ใช่การควบคุมของเขา กระทั่งว่ารายละเอียดแล้วเป็นเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก
บางทีอาจเป็นเหตุผลจากเทียนเอง จะอย่างไรมันก็มีความนึกคิดของตัวเอง
หรือบางทีอาจเป็นเพราะความพิเศษของกายเนื้อเขา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สวี่ชิงไม่ชอบภาพสัญลักษณ์นี้ ในความรู้สึกของเขา ภาพนี้เป็นตัวแทนของเคราะห์ภัยแอบแฝง
แม้จะอยู่ในสภาวะมอดดับอยู่ตลอด แต่ในระหว่างนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้รางๆ ว่า ในเทียนสีแดงเล่มนี้มีกลิ่นอายฟื้นตื่นกลุ่มหนึ่ง กำลังก่อตัวขึ้น
นึกถึงพลังน่ากลัวที่แฝงอยู่ในเทียนสีแดง ในดวงตาสวี่ชิงประกายเย็นเยือกก็ฉายวูบ
“ไม่มีทางที่จะให้เจ้าฟื้นคืนสู่สภาวะที่ควบคุมไม่ได้ จุดเทียนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
สวี่ชิงแค่นเสียงเย็นในใจ อำนาจลบเลือนในดวงตาฉายวาบ แผ่ไปที่หลัง ปกคลุมไส้เทียน แล้วพลันสำแดงวิชาขึ้น
จากการกราดผ่านไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าของอำนาจเทพลบเลือน กลิ่นอายฟื้นตื่นนั่นค่อยๆ อ่อนแอลง แต่กลับไม่ได้หายไปโดยสมบูรณ์ ดังนั้นสวี่ชิงจึงเรียกเจ้าเงา
“กลืนมันลงไป!”
สวี่ชิงออกคำสั่ง
เจ้าเงาไม่ยินดี แต่กลับไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงกัดฟันพุ่งไป หลังจากปกคลุมไปก็กลืนคำโตลงไป
ความพิเศษของเจ้าเงาทำให้การลงมือของมันเช่นนี้มีผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย กลิ่นอายฟื้นตื่นเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอลงไปอีก
เช่นนี้เอง เวลาผ่านไป พลบค่ำมาเยือน
จากแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดทอที่ปลายของฟ้า จากการปะทุพลังขึ้นหลายครั้งของอำนาจลบเลือนและการร่วมมือของเจ้าเงาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดกลิ่นอายฟื้นตื่นก็เปลี่ยนมาเบาบางจนแทบสังเกตไม่ได้
“แม้จะยังมีอยู่แต่ก็ควบคุมได้”
สวี่ชิงหลังจากที่สัมผัสรับรู้ ก็ทิ้งวิชาผนึกไว้บนนั้น จากนั้น ก็กำลังจะไปศึกษาค้นคว้าวิชา 5 หมาสละเซียนสักหน่อยในตอนที่รอจักรพรรดินีอยู่ที่นี่
แต่ในตอนนี้เอง ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงกลุ่มหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมาในใจสวี่ชิง
ดวงตาทั้ง 2 ของเขาจ้องเพ่ง ร่างรางเลือนไปในทันที ถอยร่นไปข้างหลัง
ขณะเดียวกัน ท้องฟ้าเลื่อนลั่นราวสายฟ้าฟาด แสงพรายรุ้งยามอาทิตย์อัสดงแหลกละเอียด
ทั่วทุกสารทิศบิดเบี้ยวทันที
ทวนยาวทำลายล้างโลกสีดำสนิททั้งเล่ม เล่มหนึ่งแหวกผืนฟ้า ทะลุผ่านมิติ พุ่งตรงมาหาสวี่ชิงจากท้องฟ้า
ความสูงของทวนเทียบได้กระทั่งฟ้าดิน ปลายทวนน่าหวาดหวั่นราวยอดเขา
หอบม้วนมาด้วยพลังทำลายล้าง มาพร้อมด้วยรัศมีอำนาจล่มมหาสมุทร มาด้วยท่าทีแข็งแกร่งไร้เทียมทาน มาปรากฏขึ้นข้างหน้าสวี่ชิงในทันใด
ในช่วงวิกฤตอันตราย ความเร็วของสวี่ชิงปะทุสุดขีด หลบหลีกอย่างรวดเร็ว
ทวนนี้เฉียดผ่านข้างหน้าเขา สัมผัสรับรู้ที่ใกล้เช่นนี้ สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอันแข็งแกร่ง การโจมตีนี้ใกล้เคียงกับระดับเจ้าเหนือหัวเป็นอย่างมาก
และในขณะที่เขาหลบหลีก ทวนนี้ก็พุ่งแหวกอากาศ ตรงดิ่งปักไปยังเขาสวรรค์บูรพาสนั่นเลื่อนลั่น
ทวนปักลงมา เขาสวรรค์บูรพาถล่ม!
ขุนเขาพังทลาย แตกเป็นเสี่ยงๆ
ทวนสีดำพุ่งทะลุ ปักเฉียงไปบนผืนดิน
ปลายทวนมหึมาปักลึกลงไปในดิน ตัวทวนยาวไหวสั่นไปมาส่งเสียงวู้มๆ
แผ่นดินในรัศมีหมื่นลี้ปริแตกทันที ยุบตัวลงไป ยิ่งมีเปลวเพลิงสีดำมหาศาลปะทุออกมาจากบริเวณที่ปลายทวนปักลงไป พวยพุ่งมาตามรอยแยกบนพื้น
ทำให้พื้นที่หมื่นลี้นี้กลายเป็นทะเลเพลิง
ท่ามกลางทะเลเพลิงมีวิญญาณนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ล้วนแต่โหยไห้คร่ำครวญ
วิญญาณเหล่านั้นล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ พวกเขาเห็นได้ชัดว่าถูกทวนเล่มนี้สังหารบนสนามรบ วิญญาณเข้าสู่วัฏสงสารไม่ได้ ถูกพันธนาการไว้ในนั้น กลายเป็นส่วนหนึ่งของอานุภาพทวน
และบนด้ามทวนยาวที่เฉียงชี้ไปทางท้องฟ้า ตอนนี้มีเงาร่างประดุจมารร่างหนึ่งยืนอยู่
ผมยาวสีแดงปลิวสยาย เกราะสีดำเหี้ยมเกรียม ข้างหลังยิ่งมีเงามารฟ้าร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เงานี้ยิ่งใหญ่มโหฬาร กินพื้นที่ไปครึ่งท้องฟ้า ก้มมองสวี่ชิง
“เจ้าก็คือเสี่ยเฉินจื่ออย่างนั้นหรือ”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
