Skip to content

Outside Of Time 1033


บทที่ 1033 วิชาเซียน, 5 หมาสละเซียน

แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในโลกแดนบูรพา

นอกม่านแสงที่เกิดขึ้นจากค่ายกลสุดยอดที่เผ่ามนุษย์และเผ่านภาคิมหันต์สร้าง แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารลอยฟ้า รัศมีอำนาจยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ

มองไปไกลๆ รูปร่างของมันเหมือนจานกลม รัศมีกว้างใหญ่เทียบดินแดนแดนหนึ่ง

ฝั่งตะวันออกและตะวันตก 2 ฝั่ง มีรูปสลักน่าตื่นตะลึงตั้งอยู่

เหมือนปีก 2 ปีก!

พวกมันตั้งเอียง คล้ายปีกที่จะสยายโบยบิน

“นั่นคือเวทีเต๋ามหาจักรพรรดิในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร!”

ในแดนศักดิ์สิทธิ์ สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฝ่ายหลังทอดสายตามองไปยังรูปสลักปีกมหึมาน่าตื่นตะลึงนั่น เอ่ยขึ้นเสียงต่ำทุ้ม

“ผ่านจากการเปรียบเทียบความทรงจำของเฟิงหลินเทาและเยวี่ยตง 2 คน สำหรับโครงสร้างของแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร ตอนนี้ข้ารู้กระจ่างแล้ว”

“อาชิงน้อย แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารแบ่งเป็นฝั่งบูรพาและประจิม 2 ฝั่ง”

“แต่ละฝั่งล้วนมีแท่นเต๋ามหาจักรพรรดิ 1 แห่ง นั่นเป็นเสาหลักของเผ่าพันธุ์พวกเขา ยิ่งเป็นหลักยึดทางจิตใจ!”

“แต่ตอนนี้แท่นเต๋ามหาจักรพรรดิหมิงเหยียนฝั่งบูรพาหมองหม่นลงไปแล้ว…”

เสียงของเอ้อร์หนิวดังก้อง สวี่ชิงฟังพลางทอดสายตามองไปยังแท่นเต๋าที่อยู่ที่ไกล

แม้พวกเขาจะอยู่ห่างมาก แต่เพราะแท่นเต๋ากว้างใหญ่ดังนั้นจึงมองเห็นมาแต่ไกล

สิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้า ก็เป็นอย่างที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดจริงๆ แท่นเต๋ารูปร่างปีกแห่งนี้กำลังตกสู่ความเป็นธรรมดา

หมองหม่น ไร้ประกาย

“ก็เหมือนกับขั้วอำนาจฝ่ายบูรพาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร ว่างเปล่าและเงียบงัน”

“แต่ฝ่ายประจิมของแดนศักดิ์สิทธิ์สืบทอดต่อจากมหาจักรพรรดิที่ผงาดขึ้นในภายหลังนามปีกมาร 2 คำนั้น แท่นเต๋าของพวกเขาเปล่งประกายเจิดจ้า พร่างพรายเจิดจรัส ประกายแสงสามารถส่องสว่างทั่วทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้”

“และด้วยเพราะเหตุนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารในตอนนี้มีแดนประจิมเป็นผู้นำ”

“เผ่าปีกมารฝั่งประจิมแข็งแกร่งรุ่งโรจน์ เผ่าปีกมารฝั่งบูรพาตกต่ำไร้อำนาจ”

เอ้อร์หนิวดึงสายตากลับมา ประสานสายตากับสวี่ชิง

“แต่ว่าสำหรับการทำการใหญ่ของพวกเราครั้งนี้แล้วเป็นผลดี เผ่าปีกมารฝั่งบูรพายิ่งอ่อนแอยิ่งดี”

สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า

เอ้อร์หนิวเอ่ยต่อไป

“แน่นอน สำหรับขั้วอำนาจทุกฝ่ายของแดนศักดิ์สิทธิ์ฝั่งบูรพา อาชิงน้อยเจ้ายังต้องรู้อีกสักหน่อย”

“แดนศักดิ์สิทธิ์ฝั่งบูรพามีตระกูลเก่าแก่อยู่ 3 ตระกูล, 3 ตระกูลนี้ล้วนยามก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนแรกก็มีตัวตนอยู่แล้ว สืบทอดมาจนถึงวันนี้”

“ตระกูลหลันเป็นหนึ่งในนั้น”

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด สำหรับโครงสร้างและรายงานข่าวของแดนศักดิ์สิทธิ์เขามีความเข้าใจไม่มาก จากความเคยชินและนิสัยของเขากับเอ้อร์หนิว เรื่องในด้านนี้หลักๆ แล้วจะเป็นเอ้อร์หนิวที่จัดการดูแล

ส่วนเอ้อร์หนิวก็ชำนาญเป็นอย่างดี เมื่อ 1 เดือนก่อนหน้านี้ ก็รวบรวมข้อมูลได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“นอกจากตระกูลทั้ง 3 แล้ว ฝั่งบูรพายังมีภูเขาเจ้าเหนือหัว 9 ลูก และขั้วอำนาจที่เกิดขึ้นโดยมีภูเขาเจ้าเหนือหัวทั้ง 9 เป็นศูนย์กลาง”

“ภูเขาเจ้าเหนือหัวหรือ” สวี่ชิงหันไปมองเอ้อร์หนิว เจ้าเหนือหัว 2 คำนี้ทำให้เขาประหลาดใจนัก

เอ้อร์หนิวพยักหน้า

“เขาที่มีเจ้าเหนือหัวอยู่ย่อมเป็นภูเขาเจ้าเหนือหัว ภูเขาเจ้าเหนือหัวทั้ง 9 ลูกนี้ 6 ลูกในนั้นเป็นลูกศิษย์จากมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน”

“มีเพียงพลังบำเพ็ญทะลวงขั้นถึงระดับเจ้าเหนือหัวเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์สร้างภูเขาเจ้าเหนือหัวของตัวเอง”

สวี่ชิงคิดๆ ถามข้อสงสัยของตัวเองออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจำได้ว่าหลี่ว์หลิงจื่อคนนั้นบอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์คนที่ 10 ของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน แต่ตอนนี้มหาจักรพรรดิคนนั้นมีลูกศิษย์ 6 คนที่สำเร็จมีเขาเจ้าเหนือหัว”

เอ้อร์หนิวหัวเราะ เอ่ยอธิบาย “เรื่องนี้ในความทรงจำของเยวี่ยตงก็มีเหมือนกัน หลี่ว์หลิงจื่อมีศิษย์พี่ 3 คนแต่แตกดับไปนานมากแล้ว ส่วนภูเขาเจ้าเหนือหัวก็มีแค่เจ้าเหนือหัวที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะสามารถสร้างได้”

“หลังจากแตกดับก็จะสูญสลายตลอดกาล”

สวี่ชิงพยักหน้า ไม่สงสัยอะไรกับเรื่องนี้อีก

เห็นสวี่ชิงไม่มีข้อสงสัยอะไรกับเขาเจ้าเหนือหัวอีก เอ้อร์หนิวสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายแวววาดหวัง “อาชิงน้อย นอกจากตระกูลเก่าแก่ทั้ง 3 และภูเขาเจ้าเหนือหัวทั้ง 9 แล้ว เผ่าปีกมารฝั่งบูรพายังมีกลุ่มสุดยอดอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้ความจริงพวกเราคุ้นเคยกันดี มันชื่อว่าตำหนักวิชาเซียน”

“ตำหนักนี้สืบทอดวิชาเซียนในช่วงของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์คอยฝึกฝนให้ผู้บำเพ็ญสามารถใช้วิชาเซียนได้ ผู้บำเพ็ญประเภทนี้ในแดนศักดิ์สิทธิ์จะเรียกว่าปรมาจารย์เซียน”

“อาจารย์ของเยวี่ยตงเป็นมหาปรมาจารย์เซียนรุ่นที่แล้ว ดูแลตำหนักวิชาเซียน แต่เมื่อหลายปีก่อน จากมรดก จากการที่เยวี่ยตงควบคุม 6 รากราคะตัณหาได้ ปรมาจารย์เซียนผู้นี้ก็ได้นั่งละสังขารไปแล้ว”

“ตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาก็เพราะความหมองหม่นของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนค่อยๆ ตกต่ำลง”

“แต่เดิม จากแผนของเยวี่ยตง หากนางผสานอำนาจมรดกของเฟิงหลินเทาได้สำเร็จ แปรเปลี่ยนเป็นอำนาจวิชาเซียนของตัวเองได้ เช่นนั้นนางเมื่อกลับมาก็จะมีคุณสมบัติที่จะเป็นมหาปรมาจารย์เซียน จะทำให้ตำหนักวิชาเซียนกลับมาผงาดขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง”

“ถึงตอนนั้น ตำแหน่งของนางก็จะแตกต่างกับอดีตไปโดยสิ้นเชิง”

เอ้อร์หนิวทอดถอนใจ ทำท่าเหมือนเสียดายยิ่งนัก

“เยวี่ยตงทำมาได้ถึงขั้นนี้ ทุ่มเทลงไปมากมายขนาดนั้นเพื่อพวกเรา ข้าย่อมมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบไปทำให้นางทำความฝันให้เป็นจริง”

“ดังนั้น…เป็นปรมาจารย์เซียน รวมตำหนักเซียนให้เป็นหนึ่ง นี่ก็คือเรื่องขั้นต่อไปที่ข้าจะไปทำ”

เอ้อร์หนิวตบอกปุๆ ส่งเสียงต่ำทุ้ม

สำหรับคำพูดทอดถอนใจเสียดายและองอาจห้าวหาญของศิษย์พี่ใหญ่ สวี่ชิงแค่ฟังไว้ก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้ไปสนใจ ตอนนี้สายตาของเขาจับไปที่เผ่าปีกมารฝั่งประจิม

“ศิษย์พี่ใหญ่ ขั้วอำนาจเผ่าปีกมารฝั่งประจิมเป็นอย่างไร”

เอ้อร์หนิวได้ยินสีหน้าก็ฉายแววเคร่งขรึม

“เผ่าปีกมารฝั่งประจิม มหาจักรพรรดิปกครองดูแล 5 ตระกูลเก่าแก่คุ้มครองปกป้อง เขาเจ้าเหนือหัว 21 ลูก สำนักอีกจำนวนหนึ่ง…”

“มีตำหนักวิชาเซียนเหมือนกัน วิชาเซียนหลักๆ ที่สืบทอดชื่อว่า 5 หมาสละเซียน!”

เอ้อร์หนิวพูดถึงตรงนี้คำพูดก็หยุดนิ่งไป

สวี่ชิงอึ้งไปเล็กน้อย ชื่อของวิชาเซียนวิชานี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเสียจริง

แต่ไม่นานนักในดวงตาของเขาก็มีประกายฉายวาบ เอ่ยขึ้นราบเรียบ “6 รากราคะตัณหา, 5 หมาสละเซียน…วิชาที่สืบทอดของตำหนักเซียนทั้ง 2 แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารดูเหมือนว่าน่าจะเป็นวิชาหนึ่งเดียวกัน”

เอ้อร์หนิวพยักหน้า

“จากความทรงจำของเยวี่ยตง ตำหนักวิชาเซียนทั้ง 2 ของสายแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร วิชาที่สืบทอดมาความจริงแล้วเป็นวิชาเซียนสังหารทำลายล้างขั้นสุดยอดที่จัดอยู่ใน 3 อันดับแรกในบรรดาวิชาเซียนมหาศาลของช่วงจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว!”

“วิชาเซียนนี้ชื่อยาวมาก มันชื่อว่า ‘วิชา 3 พิษ 4 งู 5 หมา 6 ราคะ 7 สังหาร 8 พิฆาตศาสตร์แห่งความเสื่อมทรามทั้งปวง!’ ”

“และแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารครอบครองเอาไว้เพียง 2 แขนงในนั้น ส่วนรากของวิชานี้กล่าวไว้ว่าสรรพชีวิตล้วนเวียนว่ายใน 3 ภพชั่วนิรันดร์ หาได้หลุดพ้นไม่ ต้องทนทุกข์นานัปการมิรู้จบ เหตุทั้งปวงล้วนเกิดจากถูกยิงด้วยลูกศรแห่ง 3 พิษ ถูกกัดกร่อนด้วยพิษของงูทั้ง 4  ถูกขโมยสติด้วยสุนัขทั้ง 5 ถูกหลอกหลอนโดยรากทั้ง 6 ถูกกลืนกินโดยการฆ่าทั้ง 7 ถูกชักจูงโดยพิฆาตทั้ง 8 และถูกรุมเร้าด้วยความเสื่อมทรามนานัปการ’”

“พิษในนั้นคือหลง รัก ใคร่”

“เกิดความยึดมั่นถือมั่นโดยไร้เหตุอันควรคือความหลง เดิมคือของตน สละทิ้งไปแต่กลับไล่ไขว่คว้ายึดมั่นหลงใหลคือความรัก ความลุ่มหลงมัวเมาในรูปลักษณ์แห่งสตรีคือความใคร่ 3 จิตนี้ปั่นป่วนก่อกวน ย่อมเรียกว่าปุถุชน”

“4 งูได้แก่เคืองแค้น เคืองขุ่น อิจฉา ริษยา”

“ไม่อยากให้คนได้ดีคือเคืองแค้น โกรธแต่ไม่พูดออกมาคือเคืองขุ่น กลัวคนอื่นจะเหนือกว่าตนคืออิจฉา เห็นผู้อื่นดีแต่คอยบั่นทอนคือริษยา”

“5 หมาคือตระหนี่ โลภ หลง ชั่ว ดื้อรั้น”

“ไม่อาจละวางจากสรรพสิ่ง เรียกว่าความตระหนี่ ปรารถนาไม่รู้จบ เรียกว่าความโลภ คิดคาดเดา วางแผนอย่างไร้ความตระหนักรู้ เรียกว่าความหลง ไม่เข้าใจสัจธรรม มัวแต่มุ่งเอาชนะในการโต้เถียง เรียกว่าความชั่วร้าย ยังไม่บรรลุสภาวะไร้เกิด แต่กลับปฏิเสธไตรภูมิอย่างดื้อรั้น เรียกว่าความดื้อรั้น”

“ส่วน 7 สังหาร 8 พิฆาตเยวี่ยตงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ในความทรงจำของเยวี่ยตง สิ่งที่นางเน้นให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ 5 หมาสละเซียนของเผ่าปีกมารฝั่งประจิม”

“วิชาเซียนนี้ หากกล่าวโดยย่อก็คือ…หากสุนัขแห่งความตระหนี่เข้ามาในเรือน จะสูญเสียสมบัติล้ำค่า หากสุนัขแห่งความโลภเข้ามาในเรือน จะถูกพันธนาการ หากสุนัขแห่งความหลงเข้ามาในเรือน จะตกสู่ความเป็นตาย หากสุนัขแห่งความชั่วร้ายเข้ามาในเรือน จะร่วงลงสู่นรก หากสุนัขแห่งความดื้อรั้นเข้ามาในเรือน จะสูญเสียร่างไปตลอดกาล”

ดวงตาทั้ง 2 ของเอ้อร์หนิวเป็นประกาย มองไปทางสวี่ชิง

“วิชานี้ฟังแล้วก็ไม่ธรรมดา หากพวกเรามีวิธีเอา 5 หมาสละเซียนมาจากเผ่าปีกมารฝั่งประจิมทางนั้นได้ แล้วค่อยหาทางไปฉกเอาวิชาเซียนที่เหลือนอกจากนี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ มา…หลังจากรวมทั้งหมดด้วยกันแล้ว เห็นใครขัดหูขัดตาก็จัดทั้งชุดให้ไปเลย”

“จะต้องทำให้อีกฝ่ายไปสบายอย่างสุขสุดขีดอย่างแน่นอน!”

ดวงตาทั้ง 2 ของเอ้อร์หนิวฉายแวววาดหวัง

สวี่ชิงฟังจบก็เกิดความสนใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางของศิษย์พี่แล้ว ก็รู้ว่าสำหรับวิชาเซียนครบชุดนี้อีกฝ่ายน่าจะมีความสนใจมากยิ่งกว่า

กำลังจะเอ่ยปาก แต่เสี้ยวขณะต่อมาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเหม่อลอยทันที ดวงตาไร้แวว

ส่วนเอ้อร์หนิวทางนั้นก็เปลี่ยนมาเย็นชาทันควัน ฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก หันไปมองที่ไกล คิ้วงามขมวด

ที่ปลายฟ้าไกลมีเสียงหวีดคำรามกึกก้องผืนฟ้า ทีแรกยังแผ่วเบา แต่ไม่นานนักก็กระหึ่มดังดั่งกลองศึก สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด ยิ่งเกิดลมพายุพัดหอบดุจถล่มภูเขาล่มมหาสมุทร เข้าใกล้มาอย่างทรงพลัง

พายุนี้เป็นสีเลือด

ในนั้นมีเงาร่างชุดคลุมยาวสีเลือดร่างหนึ่ง ทั่วทั้งร่างแผ่ระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะ 6 โลกแผ่ไปทั่วทุกสารทิศ ผมทั้งศีรษะเป็นสีแดงชาด ตอนนี้ปลิวสยายประดุจเลือดสาดกระจาย ทำให้ผู้บำเพ็ญที่มาเยือนประดุจเทพอสูรพิฆาตทำลายล้าง

ตอนนี้ในพริบตาที่เข้ามา ปากก็ส่งเสียงคำรามต่ำออกไป

“เยวี่ยตง ตายซะ!”

คำพูดราวอัสนีสวรรค์ฟาดผ่าเลื่อนลั่น ลมพายุพัดตรงมาหาเอ้อร์หนิวและสวี่ชิง

คิ้วงามของเอ้อร์หนิวเลิกขึ้น ไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ยกมือเอาตราประทับไร้นามซ่อนอำพรางออกมา

ดวงตาทั้ง 2 ที่ไร้แววของสวี่ชิงทางนั้นก็แผ่ท่วงทำนองเทพออกมากลุ่มหนึ่งเช่นกัน

แม้พวกเขาจะไม่รู้ตัวตนของผู้มาเยือน แต่พลังบำเพ็ญของคนคนนี้ไม่เลวเลย อีกทั้งกล้าลงมือกับเยวี่ยตงทันทีที่นี่ เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีฐานะในระดับหนึ่ง

คำพูดแบบนี้ก็คงจะเหมาะ

เสี้ยวขณะต่อมา พายุกระหนำซัดสะท้านสะเทือนมา ภายใต้จิตสังหารอันรุนแรงของชายหนุ่มชุดแดงคนนั้น หมอกเลือดเดือดพล่าน เพียงพริบตาก็ปกคลุมสวี่ชิงและเอ้อร์หนิวไปในนั้น

สายฟ้าแลบแปลบปลาบไปในนั้น เสียงเลื่อนลั่นดังสะท้อนกึกก้องในนั้น

ฟ้าดินเปลี่ยนสี

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หมอกเลือดพลันเดือดพล่านรุนแรงยิ่งกว่าเดิมขึ้น เงาร่างสีเลือดรางเลือนร่างหนึ่งในนั้นคล้ายว่าจะพุ่งออกมา แต่เพียงพริบตาเถาวัลย์เทพ 2 กิ่งก็พุ่งประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว พันรัดอีกฝ่ายทันทีแล้วกระชากเต็มแรง

เงาสีเลือดคิดจะดิ้นรน แต่ก็ไร้ประโยชน์ อยากจะตะโกน แต่กลับถูกร่างอรชรแนบชิดติดข้างหลังแล้วอุดปากเอาไว้

สุดท้ายจากการฉุดกระชากของเถาวัลย์ทั้ง 2 ก็ทำได้เพียงถูกลากกลับเข้าไปในส่วนลึกของหมอกเลือดอีกครั้ง

จากนั้นระลอกคลื่นพลัง 6 รากราคะตัณหาก็เกิดขึ้นในหมอกเลือด แผ่ลามไปทั่วทุกทิศ

รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แต่ในตอนนี้ ที่ท้องฟ้าไกลมีระลอดคลื่นแผ่มา รถศึกหรูหราคันหนึ่งทะลุผ่านมิติมาปรากฏขึ้นที่นี่ทันที

ข้างหลังรถศึกมีองครักษ์ผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาลยืนอยู่ มาพร้อมด้วยบุคลิกรัศมีอำนาจที่หลงเหลือจากสงคราม จิตสังหารทำลายล้างรุนแรง

และในรถศึก ตอนนี้มีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังเมฆสีเลือดข้างหน้า

เป็นผู้เกี้ยวพาเยวี่ยตง ชายหนุ่มชุดหรูหราคนนั้นนั่นเอง

ในดวงตาของเขาร้อนรน ปากคำรามเสียงต่ำ

“เสี่ยเฉินจื่อ หากเจ้ากล้าทำร้ายแม่นางตงเอ๋อร์แม้เพียงเล็กน้อย ข้าจะต้องฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน!”

“ผู้บำเพ็ญทั้งหมดจงฟังคำสั่ง เสี่ยเฉินจื่อกำเริบเสิบสาน คิดจะทำร้ายข้าผู้เป็นแม่ทัพคนนี้ ผนึกกำลังทุกทิศ สังหารเสี่ยเฉินจื่อ!”

ทหารผู้บำเพ็ญรอบๆ ต่างปะทุจิตสังหารขึ้น พุ่งตรงไปยังหมอกเลือด

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มชุดหรูหราก็มาถึงขอบหมอกเลือด เอ่ยอย่างรีบร้อน

“ตงเอ๋อร์อย่าได้ตระหนกไป ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version