บทที่ 1056 หนิวหนิวผู้สุดแสนจะน่าเวทนา
สำหรับความปลอดภัยของศิษย์พี่ใหญ่ สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกังวล
ตลอดทางมานี้เขาไม่เคยเห็นศิษย์พี่ใหญ่เสียเปรียบสักเท่าไร โดยพื้นฐานแล้วคนที่เสียเปรียบมักจะเป็นคนอื่น
ในบรรดาผู้เสียหายเหล่านี้รวมถึงสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพในทะเลต้องห้าม และรวมถึง 3 วิญญาณฟ้า ดิน มนุษย์ สำหรับผู้เสียหายที่แข็งแกร่ง…มีชื่อหมู่ กระทั่งว่าแม้แต่เสี้ยวหน้าซ่างฮวง เอ้อร์หนิวยังแทะไปหลายคำ
ดังนั้นสำหรับสวี่ชิงแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ที่บ้าระห่ำเช่นนี้ ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ตำหนักวิชาเซียนแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารเด็ดขาด
ในเมื่อครั้งนี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ตั้งใจจะไปตำหนักวิชาเซียนเอง ก่อนจะเดินทางไปท่าทางแน่วแน่จริงจังนัก
ดังนั้นสำหรับสวี่ชิง ครั้งนี้มาเยือนในฐานะตัวแทนของภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 10 ด้านหนึ่งคือเพื่อเป็นสักขีพยาน อีกด้านหนึ่งก็เพื่อมาดูเรื่องสนุกเสียมากกว่า
ต้องรู้ว่าในอดีต เขาล้วนลงมือกับศิษย์พี่ใหญ่ แต่เรื่องที่ใช้ฐานะสูงส่งไปดูการแสดงของอีกฝ่ายแบบนี้ ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรก
“แต่ว่าต้องพยายามควบคุมสถานการณ์ให้ดี”
ในเมื่อจักรพรรดินีร้องขอมาแล้ว สวี่ชิงคิดว่าตัวเองมีความจำเป็นอย่าให้ศิษย์พี่ใหญ่ทางนั้นเล่นใหญ่โตเกินไป
แต่ว่าคิดถึงความน่าปวดหัวของศิษย์พี่ใหญ่ สวี่ชิงไม่มีความมั่นใจกับเรื่องนี้สักเท่าไรเหมือนกัน
“ลองเตือนสักหน่อยก็แล้วกัน”
นึกถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็วางใจ ความเร็วบนท้องฟ้าเร็วยิ่งขึ้น
ทะยานไปอย่างรวดเร็วตลอดทาง
หลังจากนั้น 2 ชั่วยาม เขาที่อยู่บนม่านฟ้า มองเห็นเมืองที่เดินทางแยกจากศิษย์พี่ใหญ่ไปในตอนนั้นจากที่ไกลๆ
และตำแหน่งของตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาก็คือห่างจากเมืองนี้ไปทางเหนือพันลี้
สวี่ชิงกวาดสายตาไป เงาร่างไม่ได้หยุดนิ่งเลยแม้แต่น้อย พุ่งทะยานผ่านเมืองด้วยเสียงหวีดลมกรีดอากาศ ไม่นานนักก็ข้ามผ่านระยะทางพันลี้ เห็นทะเลสาบสีขาวผืนหนึ่ง!
เหมือนกับตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารฝั่งประจิม สร้างไว้บนทะเลสาบเหมือนกัน ที่แตกต่างกันคือทะเลสาบตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารบูรพาเป็นสีดำ ส่วนทะเลสาบตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารประจิมเป็นสีขาว
ชื่อของมันชื่อว่าทะเลสาบกำเนิดลวง
ใจกลางทะเลสาบมีวังที่เหมือนศาลเจ้าตั้งตระหง่านอยู่ เป็นสีดำมืดไปทั้งหมด เหมือนสร้างขึ้นจากหยกสีดำ
เมื่อเปรียบเทียบกับทะเลสาบสีขาว ก็ยิ่งขับเน้นให้เกิดความแตกต่างอย่างเด่นชัด
ส่วนบนทะเลสาบ ต่างไปจากที่สวี่ชิงเคยเห็นในเผ่าปีกมารฝั่งประจิมที่เต็มไปด้วยเหล่าปรมาจารย์เซียนที่นั่งสัมผัสรับรู้ บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศอันเงียบเหงา หรืออาจเป็นเพราะในวันนี้มีพิธีการให้ร่วมชม ดังนั้นจึงไม่มีปรมาจารย์เซียนนั่งบำเพ็ญอยู่เลยแม้แต่ผู้เดียว ว่างโล่งไปหมด
กระทั่งว่าตำหนักวิชาเซียนสีดำนั่นยังมีร่องรอยเสียหายจำนวนหนึ่งทิ้งเอาไว้ ดูแล้วไม่เหมือนว่ามีอยู่มานานแล้ว ยิ่งเหมือนว่าเกิดจากระลอกคลื่นวิชาเซียนช่วงนี้
มองร่องรอยเหล่านี้ สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เงาร่างข้ามทะเลสาบมา ในยามที่ปรากฎที่ท้องฟ้าตำหนักวิชาเซียน หยุดลง มือไพล่หลัง เอ่ยราบเรียบ “ปรมาจารย์เซียนที่รับผิดชอบที่นี่ ออกมาหาข้า”
ประโยคนี้ราวสายฟ้า ฟาดผ่าไปทั่วทุกทิศ ทำให้มิติบิดเบี้ยว ระลอกคคลื่นทะเลสาบข้างล่างซัดหอบคลื่นขึ้นมา
เงาร่าง 7-8 คนพุ่งออกมาจากในตำหนักเซียนทันที พุ่งตรงมาหาสวี่ชิง
ผู้นำมาเป็นปรมาจารย์เซียนกลางคนคนหนึ่ง ในพริบตาที่เห็นสวี่ชิง รูม่านตาทั้ง 2 ของเขาหดเล็กลง สีหน้าเปลี่ยนมาเคารพนอบน้อมยิ่งขึ้น เร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ เมื่ออยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่จั้ง ก็ประสานหมัดโค้งคารวะอย่างลึกซึ้ง “คารวะสหายเสี่ยเฉินจื่อ”
“ขอต้อนรับสหายผู้มาเยือน เมื่อครู่พวกข้ายุ่งกับการต้อนรับแขกที่มาถึงก่อน หากมีสิ่งใดที่บกพร่องไป หวังว่าสหายจะไม่ถือสา”
สีหน้าของปรมาจารย์เซียนกลางคนคนนี้จริงใจ ปรมาจารย์เซียนเหล่านั้นที่อยู่ข้างหลังต่างสีหน้าเคร่งขรึม พากันก้มศีรษะคารวะ
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะช่วงระยะนี้ ชื่อเสียงของเสี่ยเฉินจื่อผงาดขึ้นทั่วทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร
เขาทำศึกท้าประลองที่เผ่าปีกมารฝั่งประจิม ตลอดจนการต่อสู้สุดท้ายกับซีหมัวจื่อ พูดได้ว่ารู้กันไปทั่ว
นี่ทำให้ชื่อของเขา ในเผ่าปีกมารฝั่งบูรพายิ่งโด่งดัง
รวมกับเจ้าเหนือหัวที่ 10 ข้างหลังเขา ทำให้ตำหนักวิชาเซียนที่ตกต่ำ ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย
สวี่ชิงใบหน้าเรียบเฉย พยักหน้าเบาๆ
“สหายเสี่ยเฉินจื่อ เชิญ!”
เห็นสวี่ชิงไม่ถือสา ปรมาจารย์เซียนวัยกลางคนคนนี้ถอนหายใจในใจ เขาเคยได้ยินมาว่าเสี่ยเฉินจื่อคนนี้ดุดันเหี้ยมโหด พลังวิเศษสีเลือดทั่วทั้งร่าง หลงใหลคลั่งไคล้ในการสังหารเป็นพิเศษ
ตอนนี้เขาระมัดระวังตัวสุดขีด กำลังนำทางให้สวี่ชิง
แต่ในตอนนี้เอง สวี่ชิงที่อยู่กลางอากาศ หันหลังทอดสายตามองปลายขอบฟ้า
ปรมาจารย์เซียนกลางคนคนนั้นอึ้งตะลึง จากนั้นในตอนที่มองไป ก็มีเสียงหัวเราะมาจากท้องฟ้า ดังมาที่นี่ก่อน
“ผู้ที่อยู่ข้างหน้าใช่สหายเสี่ยเฉินจื่อหรือไม่”
จากเสียงสะท้อนก้องของเสียงหัวเราะ ปลายฟ้ามีชายคนหนึ่งเดินมา
ชายคนนี้ร่างสูงใหญ่กำยำ สวมชุดคลุมยาวสีฟ้า ดวงตาประดุจสายฟ้า เปล่งประกายมีพลัง ตอนนี้เขากำลังก้าวเดินกลางอากาศไปข้างหน้า ทุกที่ที่ผ่าน พลังบำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะโลก 9 ใบนั่น ก่อเป็นพลังกดดันอย่างมหาศาล ส่งอิทธิพลต่อฟ้าดิน
ปรมาจารย์เซียนกลางคนคนนี้ก้มศีรษะคารวะ “คารวะท่านผู้สูงส่ง!”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ ในความทรงจำของเสี่ยเฉินจื่อ มีเงาร่างของคนคนนี้ รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกชายคนโตของเจ้าเหนือหัวที่ 5 ชื่อว่าหลินคุน
แต่ทั้ง 2 คนไม่สนิทกัน กระทั่งพูดได้ว่า ก่อนที่สวี่ชิงจะมา ท่านผู้นี้เกรงว่าความทรงจำต่อเสี่ยเฉินจื่อก็รางเลือนเช่นกัน ไม่อยู่ในสายตาเขา
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าต่างออกไป
สวี่ชิงเพียงแค่ประสานหมัดเล็กน้อย หลินคุนที่มาจากฟากฟ้านั้นเสียงหัวเราะกลับดังยิ่งกว่าเดิม
“สหายเสี่ยเฉินจื่อ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ วีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เผ่าปีกมารฝั่งประจิมของเจ้า ข้าชื่นชมเป็นอย่างมาก โห่ร้องชื่นชมอยู่หลายครั้ง”
หลินคุนหัวเราะร่า ความจริงใจในแววตามองยากจะตัดสินว่าเป็นของจริงหรือเสแสร้ง สีหน้าและถ้อยคำของเขาล้วนแฝงความสนิทสนม
“วันนี้ได้พบ สมแล้วที่ร่ำลือกันว่าเป็นยอดวีรบุรุษ”
แต่ว่าธรรมชาติของมนุษย์ตัดสินจากภายนอกไม่ได้ว่าดีหรือร้าย ดังนั้น สวี่ชิงย่อมไม่มีทางเพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็เกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นได้ ดังนั้นจึงส่ายหน้า
“เป็นอำนาจของเจ้าเหนือหัวปกป้องคุ้มครอง ข้าน้อยเพียงติดตามเจ้าเหนือหัวอยู่ข้างกาย ตอนนี้โชคดีมีชื่อเสียงเล็กน้อยก็เท่านั้น หากสหายหลินเดินทางไปจะต้องสร้างชื่อเสียงให้พวกเราเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาให้ยิ่งเลื่องลือได้อย่างแน่นอน”
เห็นสวี่ชิงพูดอย่างจริงจัง รอยยิ้มของหลินคุนยิ่งแจ่มชัด ดังนั้นจึงพูดจาทักทายต่ออีกสองสามประโยค แทรกคำพูดหยั่งเชิงบางอย่างเข้าไปอย่างแนบเนียน
ส่วนสวี่ชิง สำหรับการสนทนาเช่นนี้ หลังจากที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มามากนักก็สามารถตอบโต้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ไม่เปิดช่องโหว่ให้จับผิดได้แม้แต่น้อย ยิ่งยกย่องอีกฝ่ายกลับอย่างชาญฉลาดเยี่ยมยอดอีกด้วย
ดังนั้น จากภายนอก ทั้ง 2 ฝ่ายยิ่งสนิทสนมกลมเกลียวกันดี ยิ่งจากการนำทางของปรมาจารย์เซียนกลางคนคนนั้นก็เดินไปยังตำหนักวิชาเซียนด้วยกัน
ระหว่างทาง มองร่องรอยวิชาเซียนเหล่านั้นในตำหนักวิชาเซียน หลิงคุนหัวเราะ มองไปทางสวี่ชิง
“สหายเสี่ยเฉินจื่อ ช่วงที่ท่านเดินทางไปเผ่าปีกมารฝั่งประจิม ในตำหนักนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหลายเรื่องเลย”
“เยวี่ยตง ลูกศิษย์มหาปรมาจารย์เซียนรุ่นก่อน คิดจะชิงตำแหน่งมหาปรมาจารย์เซียน เผชิญกับการขัดขวางของผู้อาวุโสหลายคนของตำหนักวิชาเซียน ประลองฝีมือกันหลายครั้ง”
“เยวี่ยตงก็มีฝีมืออยู่ ยิ่งมีเสน่ห์ ไม่เพียงแต่ดึงให้ปรมาจารย์จำนวนหนึ่งมาเป็นพวกได้ ยิ่งหาพันธมิตรจากภายนอกเข้ามาได้ในช่วงเวลาสำคัญ ดึงหลานชายคนโตรุ่นนี้ของระกูลหลันเข้ามา ช่วยสังหารผู้อาวุโสมากมายเพื่อนาง”
“เดิมทีเรื่องควรจะเป็นเยวี่ยตงได้รับชัยชนะ สุดท้ายเลื่อนขั้นเป็นมหาปรมาจารย์เซียน แต่กลับคาดไม่ถึงว่าในช่วงสุดท้าย ผู้อาวุโสใหญ่ที่ปิดด่านหลายปีของตำหนักวิชาเซียนคนนั้นออกจากด่าน ลงมืออย่างแข็งแกร่ง สยบทุกฝ่าย จับเป็นเยวี่ยตง พลิกสถานการณ์ได้”
หลินคุนทางนั้นพูดพลางสังเกตสีหน้าของสวี่ชิง
ได้ยินชื่อเยวี่ยตง ดวงตาทั้ง 2 ของสวี่ชิงฉายแววเย็นชา
หลินคุนหัวเราะเบาๆ
“ข้าก็เคยได้ยินความแค้นระหว่างสหายเสี่ยเฉินจื่อกับเยวี่ยตงมาเหมือนกัน ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้ลงมือเอง แต่มองอีกฝ่ายดับดิ้นด้วยตาตัวเอง ท่าทางก็คงทำให้ความคิดของสหายปลอดโปร่งขึ้นมาได้บ้าง”
สวี่ชิงส่ายหน้า
“ข้ากลับหวังว่าเยวี่ยตงจะได้รับชัยชนะ เช่นนี้แล้ว วันหน้าข้าก็จะมีโอกาสสังหารนางด้วยตัวเอง อาศัยพลังของคนอื่น จะอย่างไรก็ขัดกับใจข้านัก”
หลินคุนพยักหน้า เข้าใจคำพูดนี้ของสวี่ชิง หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็คิดแบบนี้เช่นกัน
ศัตรูเช่นนี้ หากตัวเองไม่มีพลังไปแก้แค้นก็ช่างเถิด แต่ในสถานการณ์ที่ตัวเองมีความสามารถ ลงมือสังหารเองย่อมสะใจยิ่งกว่า
กำลังพูดอยู่ จากการนำทางของปรมาจารย์เซียนกลางคนข้างหน้า จากการเดินทะลุผ่านระเบียงทางเดินยาวในตำหนักวิชาเซียน ในยามที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็มาอยู่ที่ลานทรงกลมกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งแล้ว
ลานกว้างนี้โอ่อ่ายิ่งใหญ่ รอบๆ สลักอสูรประหลาดเก่าแก่นับไม่ถ้วนไว้รอบๆ ยิ่งมีภาพวีรบุรุษเผ่าต่างๆ ที่ใช้วิชาเซียนสร้างคุณูปการยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว
ส่วนกลางท้องฟ้า มีโซ่เหล็ก 6 เส้นตรึงร่างเอาไว้
เป็นเยวี่ยตงนั่นเอง
นางผมสยายกระเซอะกระเซิง นิ่งไม่ขยับ ร่างเต็มไปด้วยคราบเลือด น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งดูจากสภาพแล้ว เหมือนว่าเลือดจะไหลหมดตัวแล้ว
กลิ่นอายก็แผ่วเบาแทบไม่รู้สึก
ส่วนรอบๆ ยังมีเก้าอี้ขนาดมหึมา 10 ตัวลอยอยู่
ทุกตัวล้วนทำมาจากหยกเซียน เปล่งประกายดั่งสมบัติเซียนอันทรงพลัง ส่องแสงเจิดจ้าราวกับมีดวงอาทิตย์ 10 ดวง หรูหราเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้บนนั้นมีเก้าอี้ 6 ตัวมีผู้บำเพ็ญนั่งอยู่
ในบรรดาพวกเขา มีผู้หญิง มีผู้ชาย พลังบำเพ็ญของทุกคนล้วนเป็นระดับเตรียมสู่เทวะ 9 โลก รัศมีอำนาจแข็งแกร่ง
ล้วนแต่เป็นตัวแทนของภูเขาเจ้าเหนือหัวแต่ละลูก
ตอนสวี่ชิงและหลินคุนปรากฏตัวขึ้น สายตาของทั้ง 6 คนนี้ก็รวมมาทันที จุดรวมสายตาคือ…สวี่ชิง
ความคิดของแต่ละคนเป็นอย่างไร มีเพียงพวกเขาเองที่รู้ ส่วนสิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอก นอกจากจงใจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่อย่างนั้นก็เหมือนปกติ ไม่ก็พยักหน้าทักทาย
สวี่ชิงก็เช่นเดียวกัน หลังจากจ้องมองทั้ง 6 คนนี้ ก็เหาะไปพร้อมหลินคุน นั่งลงบนเก้าอี้
เก้าอี้ที่สวี่ชิงนั่งเป็นเก้าอี้ตัวที่ 10
ทันทีที่นั่งลง สายตาของเขาก็มองไปยังเยวี่ยตงที่ห้อยอยู่กลางท้องฟ้า
เพียงมองปราดเดียว สวี่ชิงก็รู้ว่าเอ้อร์หนิวไม่เป็นไร
เพราะในความทรงจำของเขา เลือดของเอ้อร์หนิวไหลไม่มีทางหมด
จะมีทีท่าว่าเลือดไหลจะหมดตัวแบบนี้ไปได้อย่างไร
“ศิษย์พี่ใหญ่นี่คือแกล้งทำเป็นอ่อนแอหลอกศัตรู จงใจอย่างนั้นหรือ”
“หรือจะบอกว่ายืมพลัง”
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ เป้าหมายของเขาน่าจะเป็นการพลิกสถานการณ์ในช่วงเวลาสำคัญที่สุด”
“เงื่อนไขของการทำได้ถึงจุดนี้คือทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักวิชาเซียนคนนั้นเชื่อการวิเคราะห์ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ คิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ทางนี้ ไม่มีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ใดๆ”
“น่าเสียดายข้าไม่รู้รายละเอียด ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ทำถึงจุดนี้ได้อย่างไร”
ในยามที่สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่ เยวี่ยตงทางนั้นตัวสั่นเล็กน้อย คล้ายว่าสัมผัสได้ คิดจะฟื้นตื่นขึ้นมาจากอาการหมดสติ แต่เห็นได้ชัดว่าความสาหัสของบาดแผลทำให้ตอนนี้แม้แต่พลังที่จะลืมตาก็ยังไม่มี
และจากเวลาที่ผ่านไปทีละนิดๆ ในยามที่ตัวแทนของเจ้าเหนือหัวทั้ง 2 มาถึงที่นี่และนั่งลง ตัวละครหลักของพิธีกรรมนี้ จากในมิติข้างบน เดินมาทีละก้าวๆ
นี่เป็นชายชราชุดคลุมยามสีดำที่ผมทั้งศีรษะขาวโพลน ทั่งทั้งร่างแห้งเหี่ยวดูเหมือนโครงกระดูก
ที่แปลกประหลาดคือข้างหลังเขามีเงาหลายร่าง แบ่งเป็นวัยกลางคน วัยหนุ่มและวัยเด็กของตัวเอง
ส่วนตัวเขาเองมือถือคทาเวทขนาดใหญ่ ทั่วทั้งร่างรัศมีอำนาจน่าตื่นตะลึง ทำให้สวี่ชิงรู้สึกกว้างใหญ่ราวมหาสมุทร
ไม่เหมือนกับระดับเตรียมสู่เทวะทุกคนที่เขาเจอมา ในตัวของชายชราคนนี้แผ่ระลอกคลื่นพลังวิชาเซียนเข้มข้นออกมา
การมาเยือนของเขาทำให้ตำหนักใหญ่เงียบไปทันที ทุกฝ่ายที่เข้าร่วมรวมถึงสวี่ชิงต่างเงยหน้า จ้องมองไป
“ตามพันธสัญญากฎเก่าแก่โบราณ การปรากฏตัวขึ้นของมหาปรมาจารย์เซียนแห่งตำหนักวิชาเซียนทุกรุ่น ล้วนแต่มีภูเขาเจ้าเหนือหัวเป็นสักขีพยานทั้งสิ้น”
“ดังนั้นจึงมีคำเชิญในวันนี้”
ชายชราชุดดำคนนี้เอ่ยเสียงแหบแห้ง พูดจบคทาเวทในมือก็สะบัด ชี้ไปทางเยวี่ยตงที่ถูกแขวนอยู่บนท้องฟ้า
“เยวี่ยตงทรยศวิถีแห่งวิชาเซียน ข้าเชิญทุกฝ่ายมาที่นี่ ไม่ใช่แค่เป็นสักขีพยานกับการปรากฏตัวขึ้นของมหาปรมาจารย์เซียน แต่ยิ่งร่วมกันเป็นสักขีพยานพิธีหลอมตราเซียน 6 รากราคะตัณหา”
“ขอภูเขาเจ้าเหนือหัวฝ่ายต่างๆ อัญเชิญป้ายอาญาสิทธิ์ออกมา อนุญาตให้ตำหนักวิชาเซียนเริ่มพิธีหลอมเซียน ณ บัดนี้!”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
