บทที่ 1062 สุสานจักรพรรดิ เปิดแล้ว!
เสียงระฆังที่มาจากเวทีเต๋าเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาดังก้องในเข้าตรู่ของวันนี้ เสียงของมันก้องกังวาน ราวกับพายุกวาดโหมไปทั้วทั้งเผ่าปีกมารบูรพา
ในเสี้ยวขณะนี้ ในเผ่าปีกมารบูรพา ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหรือจะเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด หรือจะเป็นภูเขาเจ้าเหนือหัว ผู้บำเพ็ญทุกคนต่างได้ยินกันทั้งนั้น อดเงยหน้ามองไปไม่ได้ เงยหน้ามองเวทีเต๋าปีกมารบูรพา
พวกเขารู้…สถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน วันที่มันเปิดออก มาถึงแล้ว
และมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารแล้วเป็นชื่อที่รุ่งโรจน์และน่าสะพรึงกลัว
เขาไม่ใช่ผู้สืบทอดสายตรง
เมื่อนานมาแล้วได้หายตัวไปอย่างน่าแปลกประหลาด หลายปีหลังจากนั้นเมื่อกลับมาก็ก้าวสู่ระดับมหาจักรพรรดิ
ในยามที่เขารุ่งเรืองถึงขีดสุด แม้จะปกครองเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา แต่อาศัยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของเขาก็ได้รวมทั้งฝั่งประจิมและบูรพาไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน
กระทั่งว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำก็ยังต้องก้มหัวให้เขา
เพราะมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนผู้นี้มาถึงจุดสูงสุดของระดับมหาจักรพรรดิแล้ว ห่างจากเซียนคิมหันต์อีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น
กระทั่งว่ามหาจักรพรรดิปีกมารรุ่นนี้ก็ยังต้องก้มศีรษะให้เขา แม้จะสืบทอดชื่อปีกมาร แต่ก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น
เวลาช่วงนั้น เป็นเวลาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารเปล่งประกายที่สุด เรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำอันดับหนึ่ง
ตามหลักแล้ว มหาจักรพรรดิระดับนี้ไม่มีทางแตกดับได้ง่ายๆ พูดได้กระทั่งว่าอายุขัยหากคิดอยากจะยืดออกไปก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก
แต่ที่น่าแปลกประหลาดคือ ความรุ่งโรจน์ของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนคนนี้สั้นนัก หลังจากที่ทะลวงระดับเซียนคิมหันต์ล้มเหลว เพียงแค่ไม่กี่พันปีก็ราวกับเดินมาถึงปลายทางของชีวิตแล้วโดยสมบูรณ์
ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผล
ส่วนใหญ่เดาว่า บางทีอาจจะเกี่ยวกับวิธีที่เขาได้พลังบำเพ็ญระดับมหาจักรพรรดิ
ดังนั้นจึงมีการปิดด่านครั้งนี้เมื่อพันปีก่อนของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน
วันนี้พันปีผ่านไป เป็นตายไม่รู้
ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารก็เนื่องจากการปิดด่านของเขา สถานการณ์จึงค่อยๆ เปลี่ยนไป
มหาจักรพรรดิปีกมารยุคนี้ที่เคยเป็นหุ่นเชิดมาโดยตลอดถึงได้มีโอกาสผงาดขึ้น
จวบกระทั่งวันนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารแล้ว บางทีทุกอย่างอาจจะได้บทสรุปเสียที
ดังนั้นผู้ที่จับตามองจึงมีนับไม่ถ้วน
แม้แต่สงครามกับเผ่ามนุษย์ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
เผ่าปีกมารถอนทัพ ในช่วงเวลาต่อจากนั้นมีการป้องกันเป็นหลัก ขณะเดียวกัน แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารก็เปิดค่ายกลใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันการเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
ทุกสายตา ทุกความสนใจล้วนอยู่ที่เวทีเต๋าเผ่าปีกมารบูรพา
เพราะที่นั่นก็คือสถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน
ตอนนี้จากเสียงกังวานมาของระฆัง เงาร่างแต่ละทางๆ ส่งข้ามไป ส่วนขอบฟ้าก็จะเห็นรุ้งยาวทางฝั่งประจิมประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน เสียงระฆังก็ดังมายังตำหนักวิชาเซียน
ต่อให้เป็นห้องลับที่สกัดกั้นโลกภายนอก เสียงระฆังนี้ก็ยังดังทะลุมาได้ ดังมาในใจของสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว
สวี่ชิงลืมตาขึ้น สิ้นสุดการทดลองวิชา 5 หมาสละเซียน
เอ้อร์หนิวถอนหายใจโล่งอก
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมาสักที ข้ายังคิดอยู่ว่าหากเจ้ายังไม่ตื่น ข้าเตรียมจะแบกเจ้าออกไปแล้ว”
ในหลายวันนี้ การทดลองวิชา 5 หมาสละเซียนของสวี่ชิงทำให้ภูมิต้านทานของเขามีความทรงจำต่อวิชาเซียนนี้ลึกล้ำมากขึ้น ระหว่างนั้นก็มีอันตรายเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง แต่ดีที่มีเอ้อร์หนิวคอยคุ้มกัน ดังนั้นจึงผ่านมาได้อย่างราบรื่น
“น่าเสียดายที่เวลาไม่ค่อยพอ”
สวี่ชิงในใจเสียดายหน่อยๆ หากมีเวลาอีกครึ่งเดือน เขามีความมั่นใจว่าจะสามารถลอกเลียนวิชาเซียนนั่นได้โดยสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ทำไปได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าเขาเองก็รู้ เทียบกับวิชาเซียน สถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนถึงจะเป็นเป้าหมายหลักของเขาในการเดินทางครั้งนี้
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ลุกยืนขึ้น มองไปทางเอ้อร์หนิว “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราออกเดินทางเลยไหม”
เอ้อร์หนิวดวงตาฉายความวาดหวัง เลียริมฝีปาก ถูฝ่ามือ หัวเราะเจ้าเล่ห์ “ก่อนไป ข้าจะให้ของวิเศษเจ้าชิ้นหนึ่ง”
พูดแล้ว เอ้อร์หนิวก็ยกมือเอาไข่ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวใบหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ ยื่นให้สวี่ชิง
ไข่นี้ทันทีที่ปรากฏขึ้น ความอัศจรรย์กลุ่มหนึ่งที่หมุนวนอยู่ในนั้นก็ทำให้มิติรอบๆ เกิดการบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา
สวี่ชิงจ้องเพ่ง แค่เห็นก็จำมันได้ “ทำไมถึงไปอยู่กับท่านได้”
นี่เป็นไข่ของหนูสีทองนั่นเอง ตอนนั้นหลังจากที่พวกเขา 2 คนได้มา คิดว่าอู๋เจี้ยนอูเชี่ยวชาญการฟักไข่มาก ดังนั้นจึงมอบมันให้กับอู๋เจี้ยนอู
จนกระทั่งเดินทางไปมหาสมุทรนอกกับอวี้หลิวเฉิน ได้พบกับชายชราที่บอกว่ามาจากระบบดาวที่ 5 นั่น ได้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายก็มีตัวหนึ่งเหมือนกัน อีกทั้งท่าทางยังหวงแหนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ตอนนั้น เขากับเอ้อร์หนิวก็ตระหนักได้ถึงราคาของหนูสีทอง
“ก่อนหน้านี้หลังจากที่พวกเรากลับไปยังเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ เจ้าคอยเฝ้าจับตามองเฟิงหลินเทาอยู่ทุกวี่ทุกวัน ส่วนข้าก็ไปหาอู๋เจี้ยนอู”
เอ้อร์หนิวภาคภูมิใจ
“หนูสีทองนี่ล้ำค่าขนาดนี้ ข้ากังวลว่าหากอู๋เจี้ยนอูฟักมันออกมา สายตาแรกที่เห็นก็คือเจ้านั่น กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาไป”
“ดังนั้นข้าก็เลยเอาคืนกลับมาจากเขา เตรียมจะฟักเอง”
“นี่ไง ผ่านจากความพยายามของข้าช่วงนี้ ใกล้จะฟักออกมาแล้ว”
เอ้อร์หนิวภาคภูมิใจ
“ครั้งนี้พวกเราเข้าไปในสถานที่ปิดด่านของหมิงเหยียน ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน ใบของเจ้าใบนั้น เจ้าเก็บเอาไว้เองก็แล้วกัน คิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะฟักออกมาแล้ว”
“แม้จะไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของหนูสีทองนี่ แต่เป็นของดีเรื่องนี้แน่นอนแน่ๆ”
สวี่ชิงได้ยินก็เก็บไข่ในมือลงไปอย่างระมัดระวัง
จากนั้นทั้ง 2 คนก็มองหน้ากัน มองเห็นถึงความยึดมั่นในสีหน้าและความคาดหวังในการเดินทางครั้งนี้ของกันและกัน
“อาชิงน้อย ไปสถานที่ปิดด่านของหมิงเหยียนครั้งนี้ ข้ายังมีเป้าหมายนอกเหนือจากนั้นอีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับชาติที่แล้วของข้า”
“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจนัก ถ้ามั่นใจแล้ว เจ้าช่วยข้าหน่อย”
เอ้อร์หนิวเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
สวี่ชิงไม่ได้ถามรายละเอียด พยักหน้า
เอ้อร์หนิวฉีกยิ้ม ตบๆ ไหล่สวี่ชิง พวกเขาก้าวออกไปพร้อมกัน เพียงพริบตาก็หายไปจากห้องลับ
ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้น เอ้อร์หนิวมาอยู่นอกตำหนักวิชาเซียนแล้ว
ส่วนสวี่ชิงกลับอยู่กลางท้องฟ้าห่างไปจากตำหนักวิชาเซียนระยะหนึ่ง หลังจากหันกลับไปมองทางตำหนักวิชาเซียน สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ พุ่งตรงไปยังเวทีเต๋าเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา
ส่วนนอกตำหนักวิชาเซียน เอ้อร์หนิวที่จำแลงกายเป็นเยวี่ยตงเอ่ยราบเรียบ
“ตำหนักวิชาเซียนจงฟังคำสั่ง ตามข้าไปยังเวทีเต๋ามหาจักรพรรดิ”
คำพูดของเอ้อร์หนิวเมื่อดังออกมา ปรมาจารย์เซียนจำนวนมหาศาลก็ลอยขึ้นฟ้าพร้อมเผยให้เห็นไพ่ตายที่พวกเขายึดเป็นหลักพึ่งพาออกมา
ส่วนนายน้อยตระกูลอวิ๋นไม่อยู่ที่นี่ เมื่อ 3 วันก่อนบรรพจารย์ของเขาเรียกตัวให้เข้าพบ จำต้องกลับไป
เช่นนี้เอง คนกลุ่มหนึ่งไม่นานนักก็ทะยานไปอย่างเร็วรี่บนท้องฟ้า
และตอนนี้ ที่แท่นเต๋ามหาจักรพรรดิหมิงเหยียน เวทีเต๋ามหึมารูปปีกแห่งนี้ รอบๆ ทั่วทุกทิศมีผู้บำเพ็ญเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาล้อมรอบ ปิดกั้นทางเข้าโดยสมบูรณ์
มีเพียงผู้ที่กำหนดโดยเฉพาะแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้
ในนั้นมี 3 คนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศแล้ว รอคอยอยู่เงียบๆ
หากสวี่ชิงมาตอนนี้ก็จะจำ 2 คนนี้ได้อย่างแม่นยำทันที
คนหนึ่งคือบุตรชายของเจ้าเหนือหัวที่ 5 หลินคุน
อีกคนคือนายน้อยตระกูลอวิ๋น
2 คนนี้เห็นได้ชัดว่าจากในการหารือภายในของเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา คือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ติดตามเจ้าเหนือหัวที่ 10
ส่วนคนที่ 3 หน้าตาท่าทางเหมือนเด็กหนุ่ม หน้าตาธรรมดา แต่พลังบำเพ็ญเป็นระดับเตรียมสู่เทวะแล้ว
คนคนนี้มาจากภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 9
พวกเขาเป็นคนที่มาที่นี่กลุ่มแรก และหลังจากผ่านไป 1 ก้านธูปในพริบตาที่เสียงระฆังครั้งที่ 3 ดังขึ้น…ท้องฟ้าก็เกิดรอยแยกทางหนึ่งแยกออก
หลี่ว์หลิงจื่อที่จำแลงมาจากจักรพรรดินีเดินออกมาจากในรอยแยก เพียงก้าวก็ลงมาเยือนที่นี่
พวกหลินคุนทั้ง 3 คนรีบลุกขึ้นคารวะทันที
จักรพรรดินีพยักหน้าเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ หลับตาไม่พูดจา
จวบจนกระทั่งเสียงระฆังที่ 4 ดังขึ้น ดวงตาทั้ง 2 ของจักรพรรดินีก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา ตรงข้ามนางมีเงาร่าง 5 ร่างเดินออกมาจากความว่างเปล่า
คนที่นำมาสวมชุดจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก ไม่ว่าจะเป็นพวกหลินคุน หรือจะเป็นผู้บำเพ็ญที่ล้อมอยู่รอบๆ กระทั่งว่าเจ้าเหนือหัวฝ่ายต่างๆ ที่แอบจับตามองเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา…
ต่างจิตใจสั่นสะท้าน พากันก้มศีรษะลงต่ำ
“คารวะมหาจักรพรรดิ”
ผู้มาเยือนคือมหาจักรพรรดิปีกมารรุ่นนี้นั่นเอง
ข้างหลังเขามีคนติดตามอยู่ 5 คน
ผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 2 คน
ชายกลางคนหน้าแดง 1 คน ชายชราหลังค่อมคนหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลางดงามคนหนึ่ง และผู้หญิง 2 คนที่สวมชุดชาววังคนหนึ่งกับชุดเขียวครามอย่างบัณฑิต
พวกเขาย่อมเป็นผู้เข้าร่วมฝ่ายเผ่าปีกมารฝั่งประจิม
“มาครบแล้วหรือยัง” มหาจักรพรรดิปีกมารที่ลงมาเยือนที่นี่เอ่ยราบเรียบ
เผชิญหน้ากับพลังกดดันของเขา คนทั้งหลายต่างจิตใจหวาดหวั่นสั่นกลัวไปตามสัญชาตญาณ มีเพียงจักรพรรดินีทางนั้นที่สีหน้าเป็นปกติ เอ่ยเสียงสงบนิ่งออกมา “ยังเหลืออีก 2 คน”
มหาจักรพรรดิปีกมารได้ยิน ก็มองจักรพรรดินีดวงดวงตาที่มีความหมายล้ำลึก แย้มยิ้ม
“พวกเขาก็มากันแล้ว”
คำพูดนี้ดังออกมา เสียงเซียนที่ขอบฟ้าก็สะท้อนก้องมา ปรมาจารย์เซียนกลุ่มหนึ่งแสดงพลังที่พึ่งพาออกมา แบกเกี้ยวมหึมา ปรากฏมายังปลายขอบฟ้า
ในเกี้ยวมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่
แต่เดิมยังสีหน้าหยิ่งผยอง แต่เสี้ยวขณะต่อมา…
“มานี่” จักรพรรดินีเอ่ย
ผู้หญิงคนนี้ร่างสะท้านเฮือก รีบเหาะมาทันที ตรงมาหาจักรพรรดินี หลังจากประชิดใกล้เข้ามาก็มายืนอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟังว่าง่าย
ขณะเดียวกัน ร่างของสวี่ชิงก็หอบม้วนด้วยหมอกเลือด พุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็วที่ปลายขอบฟ้า หลังจากมาถึงเพียงในพริบตาแล้วก็มายืนอยู่ข้างจักรพรรดินีเช่นกัน
ตอนนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมี 6 คน
จัรพรรดินีและมหาจักรพรรดิปีกมารเป็นผู้นำ ข้างหลังต่างมีคนติดตามอยู่ 5 คนเท่ากัน
“มหาจักรพรรดิหมิงเหยียนคือผู้สูงส่งสูงสุดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร”
หลังจากสายตากวาดไปยังสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว มหาจักรพรรดิปีกมารเอ่ยเนิบนาบ
“เปิดสถานที่ปิดด่านของเขา เดิมทีข้าไม่เห็นด้วย”
“แต่หลี่ว์หลิงจื่อในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของเขา อีกทั้งลูกศิษย์คนอื่นๆ ของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนก็ต่างยอมรับเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าก็ยากจะคัดค้าน”
“แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง พวกเจ้าจะต้องปฏิบัติตาม! พวกเจ้าเข้าไปครั้งนี้ให้ยึดการสำรวจเป็นหลัก ห้ามมิให้รบกวนการฝึกบำเพ็ญของมหาจักรพรรดิเด็ดขาด”
“หากมหาจักรพรรดิโชคร้ายแตกดับไปจริงๆ เช่นนั้นพวกเจ้าก็คารวะเขา 3 ครั้งแทนข้า และอย่าได้ทำการรบกวนมากกว่านั้น”
มหาจักรพรรดิปีกมารเมื่อพูดถึงข้างหลัง เสียงก็เปลี่ยนมาดุดันเฉียบขาด
คนทั้งหลายต่างประสานหมัด เพื่อแสดงว่ารับคำสั่ง
เห็นว่าทุกคนต่างกระทำเช่นนั้น มหาจักรพรรดิปีกมารสีหน้าผ่อนคลายลง หันหลังจ้องไปยังเวทีเต๋ามหึมานั่น ในดวงตาฉายแววย้อนระลึกความหลัง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมา
“สถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนดูเหมือนเป็นเวทีเต๋า แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นผืนฟ้านอกพิภพอันลึกลับแห่งหนึ่ง นั่นเป็นที่ที่มหาจักรพรรดิได้มาจากห้วงดารา”
“หากเขาแตกดับจริงๆ เนื่องจากการปิดผนึกของผืนฟ้านอกพิภพ ความทรงจำตลอดทั้งชีวิตของเขาก็จะแปรเปลี่ยนเป็นโลกมากมาย กระจายไปในนั้น”
“ในนั้นบางทีอาจจะมีมรดกของมหาจักรพรรดิ”
“และก่อนมหาจักรพรรดิกลับมา พลังบำเพ็ญของเขาในห้วงดาราและประสบการณ์อันลึกลับไม่มีใครล่วงรู้เลย ดังนั้น สำหรับความทรงจำของเขาก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน”
“ด้วยพื้นฐานจากความเคารพต่อมหาจักรพรรดิ ข้าหวังว่าพวกเจ้าหากเห็นแล้วจงอย่าได้แพร่งพรายต่อแม้เพียงเล็กน้อย”
พูดแล้ว มหาจักรพรรดิปีกมารก็เงยหน้า ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ไปยังจุดสูงสุดของเวทีเต๋า หลังจากนั่งขัดสมาธิลงก็สะบัดมือ ทันใดนั้นทั้งเวทีเต๋าก็ส่งเสียงครืนครั่นสนั่น ความหมองหม่นในทีแรกกลับสาดประกายแสงขึ้นมาทันที
“พวกเจ้าตามสบาย ข้าในช่วงนี้จะอยู่ที่นี่เพื่อคอยคุ้มกันให้พวกเจ้า”
ในเสี้ยวขณะนี้ เวทีเต๋าพร่างพราย เสียงของมหาจักรพรรดิปีกมารดังก้อง ฟ้าดินร่วมสั่นสะเทือน
เผ่าปีกมารฝั่งบูรพา เจ้าเหนือหัวทุกคนต่างลืมตา จ้องมาที่นี่
ฝ่ายเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาก็เช่นกัน
ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดทุกคน ตระกูลทุกคระกูล ล้วนมองไปเช่นกัน
พูดได้ว่าคนทั้งหลายล้วนจับจ้อง
ท่ามกลางการรวมมาของสายตาและจิตเทพนับไม่ถ้วน จักรพรรดินีเดินไปทางเวทีเต๋า ไม่ได้มีการเปิดด้วยความหรูหราอลังการอะไร และไม่มีพิธีซับซ้อนอะไร มีเพียงดวงตาที่ 3 กลางหว่างคิ้วของเขาเปล่งแสงออกมา
จากนั้นเลือดเป็นหยดๆ ก็ซึมมาจากร่างของเขา
นั่นเป็นเลือดที่มีต้นกำเนิดเดียวกับตระกูลหลันและมหาจักรพรรดิ
แผ่ความอัศจรรย์ออกมา แฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์และกฎระเบียบ
เลือดเหล่านี้รวมกันอยู่ข้างหน้าจักรพรรดินี หยดมาบนเวทีเต๋า ภายใต้การจับจ้องจากเนตรที่ 3 ก็ค่อยๆ ก่อเป็นคลื่นวนสีเลือดลูกหนึ่ง ท่ามกลางการหมุนวนเลื่อนลั่นครืนครั่น เหมือนเปิดเส้นทางหนึ่งออกมา
จากนั้น จักรพรรดินีก็ไม่ลังเลใดๆ ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง หายไปในนั้น
สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวไม่ลังเลเช่นกัน ตามติดข้างหลังนาง พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้น นายน้อยตระกูลอวิ๋นและหลินคุน ตลอดจนเด็กหนุ่มจากภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 9 และยังมีคนทั้งหลายของเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา หลังจากก้าวเข้าไปทั้งหมด เลือดที่ก่อเป็นคลื่นวนก็กลายเป็นหมอกแผ่กระจายไป
คลื่นวนก็หายตามไปด้วย
“ละครฉากใหญ่ที่แต่ละคนก็ต่างมีแผนคิดไม่ซื่อกันทั้งนั้น…”
บนจุดสูงสุดของแท่นเต๋า มหาจักรพรรดิปีกมารลืมตาทั้ง 2 ขึ้น ก้มหน้าจ้องมอง เอ่ยพึมพำในใจ
……
สถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน สวี่ชิงไม่รู้ว่าคนอื่นตอนนี้เป็นอย่างไร แต่เขาในตอนนี้ขมวดคิ้วแล้ว
เมื่อครู่ในพริบตาที่เดินเข้ามาในคลื่นวน เขารู้สึกเพียงข้างหน้าพร่าเลือน ในยามที่ทุกอย่างชัดเจน เขาได้ยินเสียงดนตรี ได้กลิ่นเครื่องประทินผิว มองเห็นการร่ายรำ…
สถานที่ที่เขาอยู่เป็นตำหนักที่ใหญ่โตมโหฬารอีกทั้งยังหรูหราอลังการแห่งหนึ่ง แกะสลักงดงามด้วยหยกและหินล้ำค่า และภายในนั้นมีหญิงสาวอย่างน้อยพันกว่าคน สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งเบาบางเป็นอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่แล้วมองเห็นจนเกือบทะลุ
ผิวเผยให้เห็นวับแวมรางเลือน เย้ายวนจนหัวใจสั่นไหว
ในตำหนักแห่งนั้น บ้างร่ายรำ บางแนบชิดแน่นแฟ้น ทำให้ทั้งตำหนักดูแล้วหรูหราสิ้นเปลืองเกินประมาณ แม้แต่เสียงก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น
ส่วนหญิงสาวเหล่านี้มีทุกเผ่าพันธุ์ รูปร่างลักษณะต่างกันไป แต่ล้วนงามล่มเมือง แม้มองเพียงผู้ใดผู้หนึ่งโดยลำพัง ก็ล้วนงามจับใจเกินกล่าว
ตอนนี้แต่ละคนล้วนมองมาทางตนอย่างระแวงระวังแต่ก็เต็มไปด้วยความปรารถนา ไฟในดวงตานั่นคล้ายว่าจะเผาผลาญได้ซึ่งทุกสิ่ง
ทำเอาสวี่ชิงเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน
และกวาดตามองไปรอบๆ ที่นี่เป็นแผ่นดินลึกลับแห่งหนึ่ง ในขอบเขตจิตเทพของสวี่ชิง…เขานอกจากตัวเองแล้วก็มองไม่เห็นผู้ชายคนที่ 2
เหมือนว่าที่นี่เป็นเมืองไร้บุรุษ
ส่วนในตัวเขาก็ไม่ได้มีหน้าตาอย่างเดิม แต่เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่อยู่บนสุดของตำหนัก ประดุจราชาของที่นี่
ข้างหน้าเขามีเหล้าหยกน้ำทิพย์สวรรค์ ผลไม้เซียนและเนื้อวิเศษวางเรียงรายเต็มไปหมด
“นี่ก็คือโลกที่แปรเปลี่ยนมาจากความทรงจำช่วงหนึ่งของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงพึมพำ
และเสียงพึมพำเหมือนกันนี้ บนดาวรกร้างกันดารแห่งหนึ่ง ก็ดังออกมาจากปากของเอ้อร์หนิวเช่นกัน
เอ้อร์หนิวอึ้งไปเล็กน้อย
เขามองไปรอบๆ
นี่เป็นดาวที่แร้นแค้นกันดารอีกทั้งยังรกร้าง ท้องฟ้าเป็นสีเทา แผ่นดินเป็นสีดำ ไม่มีต้นไม้อะไรเลย
สิ่งที่เห็นในสายตาล้วนเป็นเนื้อเน่าเปื่อย ทุกที่เต็มไปด้วยกระดูกก็ยังพอว่า แต่เขากระทั่งว่ายังเห็นสิ่งปฏิกูลอีกมหาศาล กระทั่งว่ายังเห็นหนอนตัวมหึมามากมาย ชอนไชไปมาในนั้น บางตัวยังคลานมาทางเขาทางนี้ด้วย
กลิ่นเหม็นตลบอวลไปทั่ว ชวนให้คนคลื่นเหียนนัก
ราวนรกบนดิน
ส่วนตัวเขาก็เป็นซากร่างที่เน่าไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ลืมตามองรอบๆ อย่างอึ้งตะลึง
“นี่มัน…โลกที่แปรเปลี่ยนมาจากความทรงจำของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนอย่างนั้นหรือ ความทรงจำของเขาทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“คนอื่นๆ ก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ”
เอ้อร์หนิวตกตะลึง จากนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่หนอนพวกนั้นที่คลานมาหาตนไปตามสัญชาตญาณ คิดจะหาว่าในนั้นมีอาชิงน้อยอยู่หรือไม่
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
