Skip to content

Outside Of Time 1104


บทที่ 1104 ต้นกำเนิดของอำนาจ

สวี่ชิงกับผู้บำเพ็ญวัยกลางคนสบตากันจากภายนอกและภายในเมือง

หยาดฝนลอยคว้างกลางอากาศ แผ่จิตสังหารดุดันออกมา

ตอนนี้เทียบ 2 คนกลางม่านฝนได้อย่างชัดเจน

คนหนึ่งรูปงามไม่เป็น 2 รองใคร โดดเด่นท่ามกลางสายฝน ผมยาวพลิ้วไหว นัยน์ตาฉายแววประหลาด

คนหนึ่งผมเป็นสีดอกเลา หน้าตาน่าเกรงขาม แต่สีหน้ากลับไม่น่าดูนัก

ตรงกลางคั่นด้วยประตูเมือง

ทุกหยาดฝนราวคมศาสตรา เมื่อสวี่ชิงเงื้อมือชี้ไปทางผู้บำเพ็ญวัยกลางคนในเมือง

เวลาเหมือนชะงักค้าง มีเพียงจิตสังหารพลุ่งพล่านออกจากตัว

ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เลือกลงมือทันที

สวี่ชิงกำลังสังเกตการณ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลองควบคุมรอยวิถีอำนาจของอีกฝ่าย เขาต้องการให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมากกว่านี้เพื่อพิสูจน์ความคิดตน

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนกำลังสังเกตการณ์เช่นกัน

ไม่ใช่แค่สังเกตการณ์สวี่ชิง แต่สำรวจฝนรอบตัวด้วย

อำนาจแห่งฝนวิวัฒน์จากรอยวิถีของเขา ก่อนเขาก้าวเป็นเจ้าเหนือหัว ใช้ชีวิตในวงแหวนที่ 5 นี้ แน่นอนว่าเคยเป็นผู้เก่งกล้าด้านการศึก

มีวิชาต่อสู้มากมาย ตลอดทางล้วนพึ่งพาการสังหารเพื่อก้าวเดิน

แต่ตอนนั้นกว่าจะทะลวงระดับได้ไม่ง่ายเลย เมื่อก้าวเป็นเจ้าเหนือหัว ไม่ทันพักฟื้นก็เจอศัตรูแข็งแกร่ง

ศึกนั้นเขาบาดเจ็บหนัก โชคดีหนีมาได้ แต่ความสาหัสของอาการบาดเจ็บทำให้หนทางข้างหน้าเขาตัดขาด

ต่อจากนั้นจึงหมดกำลังใจ อยู่อย่างสงบตรงแดนนี้

ครั้งนี้เขาคิดนานกว่าจะตัดสินใจเด็ดขาดว่าอยากทุ่มสุดตัว

แต่นึกไม่ถึงว่าศึกแรก… กลับเจอเรื่องเช่นนี้

ทว่าหลังจากเป็นเจ้าเหนือหัวแล้วไม่ได้ต่อสู้นัก ก่อนหน้านี้จึงไม่เคยเจอสถานการณ์เสียการควบคุมรอยวิถีอำนาจเหมือนตรงหน้าด้วยตัวเอง แต่เคยได้ยินเรื่องคล้ายคลึงกัน

โดยทั่วไปถ้าเกิดสถานการณ์เสียการควบคุมรอยวิถีอำนาจเช่นนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะเจอศัตรูใช้อำนาจแบบเดียวกัน ทั้งความเข้าใจที่อีกฝ่ายมีต่ออำนาจยังเหนือกว่าตัวเอง

‘อำนาจวิวัฒน์มาจากวิถีเซียนที่ถือกำเนิดพร้อมตัวอ่อนเซียน’

‘วิถีเซียนคล้ายกับวิถีสวรรค์ แต่กลับไม่คงอยู่จริง เลือนรางว่างเปล่า ถือเป็นสิ่งบ่งชี้เมื่อผู้บำเพ็ญชิงพลังวงแหวนที่เดิมเป็นของเทพเจ้ามา’

‘ไม่ว่าวงแหวนใดก็มีร่องรอยอันเป็นเอกลักษณ์ของสิ่งลึกลับอย่างเทพเจ้าทั้งสิ้น เมื่อร่องรอยเหล่านี้ถูกเทพสัมผัสรู้ก็จะกลายเป็นอำนาจเทพ’

‘ผู้บำเพ็ญไม่อาจครอบครอง แต่ระหว่างการสร้างตัวอ่อนเซียนย่อมดูดซับมาโดยธรรมชาติ กลายเป็นพลังรากฐานตน’

‘ดังนั้นการเจอผู้ครองอำนาจเดียวกัน ถือว่ามีความน่าจะเป็นไม่น้อย’

ยามผู้บำเพ็ญวัยกลางคนครุ่นคิด จิตใจค่อยสงบลง นัยน์ตาฉายแววดุดัน

‘แม้ว่าไม่เคยเจอ แต่เรื่องแบบนี้… ใช่ว่าผ่านพ้นไม่ได้! คนผู้นี้เป็นเพียงระดับเตรียมสู่เทวะ ไม่ใช่เจ้าเหนือหัว! ต่อให้เป็นพวกอัจฉริยะก็มีความสามารถจำกัด!’

ครู่ต่อมายามทั้ง 2 จ้องมองกัน ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน

เขาพลันเงื้อมือขวาขึ้น ก่อนตบหน้าอกตัวเองเต็มแรง

เมื่อเสียงกัมปนาทราวอัสนีบาตดังก้อง ทั้งตัวเขาสะเทือน เลือดแดงสดออกมาตามรูขุมขน ระเบิดออกมาชั่วพริบตา

เลือดแดงสดหลอมรวมกับหยาดฝนทั่วสารทิศทันที เสริมส่งรอยวิถีตน ใช้หมอกเลือดเป็นสื่อนำ ควบคุมฝนโลหิต พยายามสลายการควบคุมของสวี่ชิง ควบคุมอำนาจใหม่อีกครั้ง

แต่กลับไม่อาจทำสำเร็จได้โดยสิ้นเชิง

วารี 5 ธาตุของสวี่ชิงเหมือนพิเศษกว่า ต่อให้ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนระเบิดเจตจำนงเสริมพลัง แต่ยังชิงสิทธิ์ครอบครองได้เพียงครึ่งเดียว

พริบตาต่อมาม่านฝนระหว่างสวี่ชิงกับผู้บำเพ็ญวัยกลางคนแบ่งเป็น 2 ส่วนโดยมีประตูเมืองเป็นเขตแดน

ในประตูเมืองเปี่ยมฝนโลหิต กลิ่นคาวแผ่กระจาย

นอกประตูเมืองหยาดฝนเป็นประกาย บริสุทธิ์หาใดเปรียบ

เพียงพริบตาม่านฝน 2 ผืนพลันระเบิด กลายเป็นกระบี่คมกริบ หุ่นกระบอกฝน วิชาเวทวารี

เมื่อมองจากไกลๆ คล้าย 2 กองทัพปะทะกัน กองกำลังพันหมื่นห้ำหั่นกันในยามนี้

เสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

เวิ้งฟ้าเปลี่ยนสี พื้นดินสะเทือน ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนในเมืองใจสั่นสะท้าน ประตูเมืองรับแรงกระแทกก่อน แตกกระจายเป็นเสี่ยงทันที พังทลายกลายเป็นเถ้าธุลี

ส่วนสวี่ชิงกับผู้บำเพ็ญวัยกลางคน ทั้ง 2 ต่างได้รับผลกระทบและแรงสะท้อนกลับจนถอยหลัง

แต่สีหน้าท่าทางกลับต่างกัน

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนสีหน้าไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม

ส่วนสวี่ชิงกลับนัยน์ตาเปล่งประกาย

สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ลงมือทันที ด้วยต้องรวมข้อมูลมาตรวจสอบและวิเคราะห์มากขึ้น

ตอนนี้เขาพอมองเค้าเงื่อนบางอย่างออกแล้ว

เขารู้สึกว่าแนวคิดการมอง 7 ยอดวิถีเป็นอำนาจ สำหรับตอนนี้ถือว่าถูกต้อง

นอกจากนี้คือผ่านการปะทะหยาดฝนก่อนหน้า เขาสัมผัสได้ว่าวารี 5 ธาตุของตนแผ่สัญชาตญาณมุ่งหวังปรารถนา

‘ข้ากลืนกินอำนาจแห่งฝนของคนผู้นี้ได้ นำมาเสริมความแข็งแกร่งให้วารี 5 ธาตุของข้า!’

นัยน์ตาสวี่ชิงส่องประกาย

นอกจากนี้เขายังชี้ชัดได้ ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนตรงหน้าคนนี้ เทียบกับเจ้าเหนือหัวที่ตัวเองเจอตรงเหมืองวิญญาณแล้ว เห็นชัดว่าอ่อนแอกว่า

จากการวิเคราะห์ของสวี่ชิง เจ้าเหนือหัวเฝ้าเหมืองวิญญาณน่าจะเข้าใกล้ระดับเจ้าเหนือหัวช่วงกลาง พูดได้ว่าเป็นขั้นสูงสุดของเจ้าเหนือหัวช่วงต้น

ทว่าในตัวคนผู้นี้เหมือนมีแผลเก่า ทั้งพลังต่อสู้ยังด้อยกว่ามาก

‘ถ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งก้าวสู่ระดับเจ้าเหนือหัวไม่นานก็เป็นเพราะแผลเก่า’

‘คนผู้นี้… ข้าไม่ต้องใช้ปราณกระบี่ของท่านปู่เก้าก็สังหารได้!’

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ในใจสวี่ชิงเกิดจิตสังหารเด่นชัด ร่างไหววูบมุ่งตรงไปทางผู้บำเพ็ญวัยกลางคน

ระเบิดวิถีปัญจธาตุในตัวชั่วพริบตา

ทันใดนั้นรอบตัวเขาพลันเกิดภาพประหลาด

แผ่นดินม้วนตลบ พลังปฐพีซัดโหม คล้ายพื้นดินตื่นขึ้นมายามนี้ แผ่นดินสะเทือนภูเขาสั่นคลอน

ต้นไม้ส่ายสั่น หญ้าทั่วทิศเหมือนเป็นภูตผีปีศาจ เหล่าพฤกษชาติถูกกระตุ้น เติบโตอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พลังไม้สะท้านฟ้าชั่วพริบตา

เมืองสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น พลังทองทั้งหมดในนั้นได้รับผลกระทบ ไม่ว่าเป็นอาวุธเวท ของวิเศษเวท สิ่งที่ทำจากทอง ทุกอย่างพลันส่ายสั่นทันที ถูกควบคุมลอยขึ้นห้วงนภา

ถ้ามองภาพนี้จากเวิ้งฟ้าห่างไกลย่อมตกตะลึงหาใดเปรียบ เรียกว่ารวมตัวกันฉับพลัน

บนฟ้าเกิดคลื่นถาโถม เพลิงสวรรค์กว้างใหญ่พลันปรากฏ แดงชาดทั้งแถบ ปกคลุมแสงเหนือ โหมกระหน่ำบ้าคลั่ง ท่วมทับลงมาเหมือนทะเลเพลิง

อานุภาพยิ่งใหญ่

ขณะเดียวกันรอบตัวบิดเบี้ยว ตั้งแต่อากาศ ร่างกายผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วน กระทั่งสรรพสิ่ง… ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ทั้งหมดหลั่งรินลงมาราวมหาสมุทรเยือนโลกา

สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนการต่อสู้ของสวี่ชิงกับหลิงเฟิงที่อาศัยเพียงท่วงท่าวิถีสวรรค์ แต่ระเบิดพลังออกมาจากรูปแบบรอยวิถีอำนาจตามความคิดสวี่ชิง

ชั่วพริบตายามปรากฏ ฟ้าดินเปลี่ยนสี คลื่นลมก่อตัว

ในสายตาผู้บำเพ็ญวัยกลางคน เทียบกับการถูกคุมอำนาจก่อนหน้านี้แล้วชวนตระหนกและตกตะลึงกว่ามาก

“5 อำนาจ!!”

“เป็นไปไม่ได้!!”

ในสมองผู้บำเพ็ญวัยกลางคนเกิดคลื่นยักษ์ท่วมฟ้า คล้ายมีอัสนีบาตนับพันหมื่นเกิดขึ้นพร้อมกัน

สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนระดับเตรียมสู่เทวะครอง 5 อำนาจด้วย

“เจ้าเป็นใครกันแน่!”

ในใจผู้บำเพ็ญวัยกลางคนปั่นป่วน แต่เห็นชัดว่าคำพูดเขาไม่ได้คำตอบ สวี่ชิงพลันเข้ามาใกล้แล้ว

ครู่ต่อมาเสียงระเบิดดังกัมปนาทใกล้ประตูเมือง

ทั่วสารทิศอลหม่าน คนนอกยากมองเห็นชัดเจน

หากพลังบำเพ็ญไม่พอ ถึงขั้นว่ามองปราดเดียวยังจิตพังทลาย ต่อให้พลังบำเพ็ญพอใช้ได้ แต่ถ้าไม่ถึงขั้น สิ่งที่เห็นคือภาพนามธรรม

เนื่องจากไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจสิ่งที่รับรู้ ทำให้สมองปั่นป่วน ยากก่อตัวเป็นภาพที่ถูกต้อง

ดังนั้นพวกเขาไม่อาจเห็นว่ากลางภาพนามธรรมเลือนรางและบิดเบี้ยวนี้ นอกจาก 5 ธาตุแล้วยังมีห้วงมิติแปรเปลี่ยน รวมถึงมีเวลาหยุดนิ่งด้วย

กระทั่งผ่านไปพักใหญ่

เมื่อแสงกระบี่ส่องประกาย ภาพนามธรรมอลหม่านและบิดเบี้ยวกลับมาเป็นปกติ

ภาพที่ปรากฏคือมุมปากผู้บำเพ็ญวัยกลางคนหลั่งเลือดแดงสด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ยืนอยู่จุดเดิม

กระบี่หนึ่งแทงเข้าวิญญาณสวรรค์ ทะลวงผ่านร่างกายเขา

เลือดแดงสดหลั่งชโลมเต็มพื้น

ส่วนสวี่ชิงจ้องมองผู้บำเพ็ญวัยกลางคนจากกลางอากาศ

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนเงยหน้ามองสวี่ชิงอย่างยากลำบาก

เขาเหมือนอยากกล่าวอะไร แต่เมื่อเอ่ยปากเลือดแดงสดกลับขวางเสียงเขา

สวี่ชิงไม่คิดฟังคำพูดเขา เงื้อมือดึงกระบี่จักรพรรดิออกมา

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนร่างกระตุก ประกายแสงตรงนัยน์ตามืดมน วิญญาณดับสลาย

วารี 5 ธาตุพลันเพิ่มระดับ

แม้แต่กลิ่นอายของสวี่ชิงยังแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าก่อนการต่อสู้

นอกจากนี้สิ่งที่มาพร้อมกันคือแหวนเก็บของจากผู้บำเพ็ญวัยกลางคนนั่น

อีกอย่างสวี่ชิงยังสัมผัสได้ชัดเจน ตอนนี้ขอบเขตการสัมผัสรู้ถึงป้ายอื่นของตนเพิ่มขึ้น 10 เท่า

ขณะเดียวกันอันดับใหม่ยังปรากฏขึ้นในสมองสวี่ชิงด้วย

อันดับที่ 1,145 แห่งแดนทักษิณ!

ทั่วทิศเงียบสงัด

สวี่ชิงมองซากศพที่ยืนตรงนั้น เงื้อมือขึ้นทำลายทุกสิ่ง รวมถึงร่องรอยการต่อสู้ที่นี่ก็ถูกเขาใช้อำนาจลบเลือนไป

‘หากตอนประมือกับผู้เฝ้าเหมืองวิญญาณนั่น ข้าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเช่นนี้ บางทีอาจไม่ต้องใช้ปราณกระบี่ของท่านปู่เก้าไปครั้งหนึ่งโดยเสียเปล่า’

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย สวี่ชิงรู้สึกว่าต่อให้ตนกระจ่างแจ้งทันทีก็มีความเป็นไปได้ว่าต้องใช้ปราณกระบี่

ภายใต้สถานการณ์ยามไม่เข้าใจโลกภายนอก การคว้าโอกาสปลิดชีพในคราเดียวคือทางเลือกที่ดีที่สุด

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชิงไม่คิดถึงอดีตอีก แต่จ้องมองห่างออกไป

‘ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน’

ร่างเขาไหววูบ จากไปไกลชั่วพริบตา

บนฟ้ามีแสงเหนือแดงชาดหลั่งชโลม

กลางฟ้าดินสวี่ชิงเหมือนรุ้งยาว ห้อตะบึงด้วยความเร็วว่องไว

เขาระวังภัยรอบทิศพลางครุ่นคิดถึงศึกนี้

ว่ากันตามจริงสิ่งสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้คือตนวิวัฒน์อำนาจปัญจธาตุ รวมถึงเรื่องควบคุมอำนาจของอีกฝ่าย

เรื่องนี้มีส่วนช่วยต่อความเข้าใจของสวี่ชิงมาก

ทำให้สวี่ชิงพิสูจน์การวินิจฉัยของตนก่อนหน้านี้ ทั้งเกิดแนวคิดเกี่ยวกับระดับเจ้าเหนือหัวมากขึ้นด้วยเหตุนี้

ก่อนหน้านี้สวี่ชิงรู้จักระดับหวนสู่อนัตตาในระบบผู้บำเพ็ญ ถือเป็นขั้นตอนหยั่งรู้ระเบียบและกฎเกณฑ์ฟ้าดิน

อีก 4 ระดับย่อยก็เป็นเช่นนี้ ก้าวหน้าด้วยวิธีเดียวกัน สุดท้ายผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาจะครอบครองกฎเกณฑ์สร้างแดนใหญ่ของตนตามวิถีสวรรค์บนโลกที่ตนอยู่

คำว่าครอบครองนี้ สวี่ชิงทราบว่าไม่ได้รวมถึงต้นกำเนิด แค่เข้าใจและมีสิทธิ์ใช้เท่านั้น

กล่าวคือเข้าใจโลกที่ตนอาศัย ก่อนนำไปสร้างแดนใหญ่ของตน

โดยสรุปคือเป็นกระบวนการสั่งสมทีละขั้น

สวี่ชิงก้าวจากระดับหวนสู่อนัตตาเป็นระดับเตรียมสู่เทวะได้ก็ด้วยวิธีนี้

ด้านหนึ่งคือเขาสั่งสมประสบการณ์มาเพียงพอ อีกด้านหนึ่งคือพลังต้นกำเนิดซึ่งวิวัฒน์จากกายเนื้อของหมิงเหยียน ในนั้นมีครบทุกสิ่ง ทั้งบริสุทธิ์หาใดเปรียบ

ดังนั้นเมื่อหยั่งรู้ 10 ยอดวิถีจากพสุธาแดนดิน สวี่ชิงหล่อเลี้ยงสิ่งที่สั่งสมมาร่วมกับพลังต้นกำเนิด กระทั่งทะลวงระดับเตรียมสู่เทวะ

สร้าง 7 แดนของตน

เตรียมสู่เทวะเป็นคำพูดของแดนต้องประสงค์ ในสถานที่อื่นระดับนี้เรียกว่าเซียนเร้น

วิธีเรียกต่างกัน ความหมายเหมือนกัน

เนื่องจากจิตซ่อนเร้น ไม่ใช่วิญญาณเทพ แต่เป็นจิตดั้งเดิม

ส่วนแก่นแท้ของระดับเตรียมสู่เทวะ ก่อนออกจากแดนต้องประสงค์สวี่ชิงเคยสืบเสาะเช่นกัน

เขาทราบว่าแก่นของระดับนี้คือ… หลังจากหยั่งรู้กฎระเบียบเพียงพอแล้วค่อยทยอยสร้างแดนใหญ่ของตน

กระทั่งครบ 9 แดนใหญ่

9 แดนใหญ่รวมเป็นหนึ่งได้ ทั้งแยกจากกันได้ ตัดสินตามความคิดและประสบการณ์ของผู้บำเพ็ญ

ไม่ว่าเป็นดินแดนแบบใด สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งหล่อเลี้ยง

ผลักดันตัวเอง ก้าวสู่ระดับเจ้าเหนือหัว

แต่บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เส้นทางเป็นเจ้าเหนือหัวตัดขาดแล้ว นอกจากว่ามีสายเลือดพิเศษ เชื่อมต่อระหว่างทะลวงระดับได้ มิฉะนั้น… ย่อมยากจะเข้าระดับ

สาเหตุส่วนหนึ่งคือวิถีสวรรค์ซึ่งเซียนคิมหันต์สร้างบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เมื่อปีนั้นเกิดปัญหา

สุดท้ายแล้วสาเหตุหลักก็เป็นเพราะผลกระทบจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

กลิ่นอายเทพเจ้าหนาแน่นเกินไป ดังนั้นเลยยากจะก่อเกิดเซียน

เนื่องจาก… ระดับเจ้าเหนือหัวไม่ธรรมดานัก

ถือเป็นขั้นตอนหลอมรวม 9 แดนใหญ่ สร้างตัวอ่อนเซียนของตนขึ้นมา

ทั้งเป็นเส้นแบ่งเขตการแปรสภาพของผู้บำเพ็ญกับเซียน

เมื่อสร้างตัวอ่อนเซียนสำเร็จ เท่ากับเป็นระดับกึ่งเซียน หรือก็คือระดับมหาจักรพรรดิ

คล้ายจักรพรรดินีเผ่ามนุษย์เมื่อปีนั้น แม้ว่านางได้รับการช่วยเหลือจากผู้ครองกระบี่ สืบทอดสายเลือดจากเสวียนจั้น รวมถึงได้รับพลังหนุนจากดวงชะตาเผ่ามนุษย์ ก้าวเข้าสู่ระดับเจ้าเหนือหัว แต่กลับมีขีดจำกัด

นางข้ามผ่านได้ก้าวหนึ่ง แต่สุดท้ายไม่อาจก้าวต่อ ชีวิตนี้ไม่มีทางกลายเป็นมหาจักรพรรดิ

ทั้งเมื่อเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็ไม่มีมหาจักรพรรดิปรากฏตัวอีก

นางจึงต้องหันมาบำเพ็ญวิถีเทพ อาศัยลักษณ์ผลาญเพลิงเทวะ ใช้ตัวอ่อนเซียนซึ่งไม่อาจก่อตัวจนสำเร็จเป็นเชื้อเพลิง ทำให้เพลิงเทวะลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายค่อยก้าวสู่ระดับแท่นเทวะ

ตัดขาดกับวิถีเซียนด้วยเหตุนี้

นี่คือสิ่งที่สวี่ชิงเข้าใจเกี่ยวกับหนทางการเป็นเจ้าเหนือหัวและมหาจักรพรรดิกึ่งเซียนในวังเซียนคิมหันต์ก่อนออกจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มา

ส่วนเรื่องอำนาจ ในบันทึกของวังเซียนคิมหันต์ สิ่งนี้ไม่เคยปรากฏบนพสุธาแดนดิน

หลังจากมาแดนต้องประสงค์แล้วค่อยปรากฏ

ตอนแรกวังเซียนคิมหันต์คิดว่าเป็นพลังต้นกำเนิด แต่ความจริงพลังต้นกำเนิดของผู้บำเพ็ญบนพสุธาแดนดิน สะท้อนออกมาให้เห็นนานแล้ว

ทั้ง 2 อย่างแตกต่างกัน เห็นชัดว่ารอยวิถีอำนาจแข็งแกร่งกว่ามาก

รูปแบบการปรากฏคือขั้นตอนยามระดับเจ้าเหนือหัวสร้างตัวอ่อนเซียน ถือกำเนิดจากวิถีเซียน

สิ่งที่เรียกว่าวิถีเซียน นั่นคือความว่างเปล่าเหนือวิถีสวรรค์ สิ่งแสดงออกมาคืออำนาจและรอยวิถี

ทำไมถึงปรากฏ วังเซียนคิมหันต์ก็ไม่เข้าใจ

โดยทั่วไปรอยวิถีอำนาจคือสิ่งที่ปรากฏในระดับเจ้าเหนือหัว

แต่ก็มีข้อยกเว้นอย่างพวกอัจฉริยะ มักปรากฏล่วงหน้าในระดับเตรียมสู่เทวะ

ทั้งเวลาปรากฏก็เป็นช่วงที่เสี้ยวหน้ายังไม่มาเยือน ถือเป็นเกณฑ์ประเมินพวกอัจฉริยะของแดนต้องประสงค์

ส่วนเซียนคิมหันต์ หรือก็คือเซียนชั้นล่าง…

หลังสร้างตัวอ่อนเซียนสำเร็จ ทั้งหล่อเลี้ยงถึงขีดสุด สุดท้ายค่อยทะลวงระดับ แปรสภาพจากตัวอ่อน ก่อเกิดเป็นเซียน

ในบันทึกวังเซียนคิมหันต์ ระดับเซียนคิมหันต์คือขีดจำกัดบนวงแหวนพสุธาแดนดิน

พสุธาแดนดินเรียกว่าขั้น 9

แต่พลังต่อสู้ของเซียนคิมหันต์บนพสุธาแดนดินกับแดนต้องประสงค์ต่างกันมาก

ตรงวงแหวนพสุธาแดนดิน เซียนคิมหันต์ปกคลุมทั้งวงแหวนได้ในหนึ่งห้วงคิด นอกจากห้ามถล่มวงแหวนที่อยู่แล้ว เรื่องอื่นไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้

แต่บนแดนต้องประสงค์กลับทำไม่ได้

ประเด็นนี้มีคำอธิบายจากการวิเคราะห์ของวังเซียนคิมหันต์

พวกเขาทราบว่าแดนต้องประสงค์อยู่ตรงวงแหวนที่ 9 ทั้งสืบทราบว่าแก่นฟ้าขั้นสูงอย่างวงแหวนที่ 9 มีทั้งหมด 36 วงแหวน

วงแหวนที่ 9 หรือก็คือวงแหวนนภาจรัสเป็นเพียงหนึ่งในนั้น

ตามความเข้าใจของวังเซียนคิมหันต์ ทั้ง 36 วงแหวนถือเป็นชั้นสูง

กล่าวอีกนัยคือโลกเบื้องบน

ส่วนพสุธาแดนดินคือวงแหวนชั้นล่าง หรือก็คือโลกเบื้องล่าง

วังเซียนคิมหันต์คิดว่าวงแหวนชั้นล่างย่อมไม่ได้มีเพียงพสุธาแดนดิน น่าจะมีวงแหวนชั้นล่างครบ 36 เช่นกัน หรืออาจมากกว่าด้วย

แค่เหนือพสุธาแดนดินคือนภาจรัสเท่านั้น

นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ของวังเซียนคิมหันต์ ไม่มีข้อพิสูจน์ที่เชื่อถือได้

แต่ตามการวิเคราะห์นี้ การเปลี่ยนแปลงด้านพลังต่อสู้ของเซียนคิมหันต์ถือว่ามีคำตอบแล้ว

แรงกดดันชั้นบนล่างต่างกัน พลังต่อสู้จึงต่างกันด้วย

คล้ายความต่างระหว่างแดนใหญ่กับแดนเล็ก

ในแดนเล็กไม่มีแรงกดดัน แน่นอนว่าเรียกลมฝนได้

แต่แดนใหญ่กลับทำไม่ได้

จากการค้นคว้าของวังเซียนคิมหันต์ คิดว่า 36 วงแหวนชั้นบนคือแดนเทพเจ้า

ต้นกำเนิดอำนาจเทพ ร่องรอยสิ่งลึกลับ สำหรับ 36 วงแหวนชั้นบนถือว่ามีแรงกดดันมาก

ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าหรือผู้บำเพ็ญ

สวี่ชิงไม่ค่อยเข้าใจประเด็นนี้นัก ด้วยเขาไม่เคยไปพสุธาแดนดิน ดังนั้นเลยไม่ทราบว่าพลังบำเพ็ญของตัวเองตอนนี้ หากอยู่บนพสุธาแดนดินแล้วจะน่ากลัวเพียงใด

สำหรับเขาสิ่งสำคัญตอนนี้คือวงแหวนชั้นบน

‘ทำไมอำนาจปัญจธาตุของข้าถึงพิเศษ…’

สวี่ชิงหรี่ตา ลูบหน้าอกตามสัญชาตญาณ

ตรงนั้นผลึกวารีสีม่วงกำลังส่องประกาย

‘มันคืออะไรกันแน่…’

‘ตอนหยั่งรู้ 10 ยอดวิถี ในภาพสัญลักษณ์ที่ข้าเห็นมีผลึกวารีอันสมบูรณ์แตกเป็น 10 ส่วน’

‘แต่ผลึกของข้าไม่ได้แตกหัก มันยังสมบูรณ์’

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version