บทที่ 1152 ใช่ว่ามรรคาเอื้อมไม่ถึง
ใจจงฉือเต้นแรง หรี่ตามองอัจฉริยะหลี่ซึ่งตะโกนฉับพลันกลางอากาศ
พฤติกรรมอีกฝ่ายไม่เหมือนประวัติศาสตร์!
แม้ว่าตามประวัติศาสตร์การต่อสู้ครั้งนี้นายน้อยเป็นฝ่ายชนะ ทั้งได้จิ้งจอกสาวไป ทว่าอัจฉริยะหลี่กลับไม่เคยก้มหัว แต่กลับสำนักศึกษาอาศัยทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดัน ปิดด่านลองทะลวงระดับของตน
แต่น่าเสียดาย อีก 1 เดือนด้วยสิ้นชีพ ดังนั้นจึงไม่สำเร็จ
แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างออกไป
จงฉือไม่รู้ว่าตามประวัติศาสตร์เกิดเรื่องนี้จริง แต่คนรุ่นหลังเขียนขึ้นใหม่ กระทั่งตนไม่ทราบรายละเอียดหรือไม่
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจได้
สหายศึกษาของนายน้อย มีแค่เขาคนเดียว
ดังนั้นตอนนี้คำตอบของนายน้อยจึงสำคัญยิ่ง
หากพยักหน้า ประวัติศาสตร์ย่อมเปลี่ยนแปลง
หากปฏิเสธ ทุกอย่างจะหวนกลับไปตามทิศทางเดิม
ภาพนี้ทำให้ในใจจงฉือเกิดขบวนความคิด
‘อัจฉริยะหลี่คนนี้ เป็นไปได้ว่าเหมือนข้า ล้วนเป็นคนต่างถิ่น’
‘เป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคืออาจเป็นโอกาสดี ดูว่าคนอื่นขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างไร ใช้สิ่งนี้เป็นเส้นทาง ให้ข้าอ้างอิงภายหลัง!’
ยามความคิดแล่นผ่านสมองจงฉืออย่างรวดเร็ว เขาทอดมองนายน้อย
ใช่ว่ามีเพียงสายตาเขาจ้องมองนายน้อย ผู้ชมรอบสังเวียนต่อสู้ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้
ด้านหนึ่งด้วยการต่อสู้ของทั้ง 2 ต่างแปลกประหลาด ทั้งมีอานุภาพชวนตะลึง
อีกด้านเพราะอัจฉริยะหลี่ที่เย่อหยิ่งมาตลอด ถึงคราวก้มหัวอย่างยากพบเห็น
แต่สวี่ชิงไม่ได้เอ่ยปากทันที กวาดสายตามองอัจฉริยะหลี่ก่อนหรี่ตา
เขากำลังครุ่นคิด
‘หากประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ง่ายเช่นนี้จริง นั่นย่อมไม่มีความหมาย’
‘ต่อให้ข้าคาดเดาว่าประวัติศาสตร์ช่วงนี้เป็นแค่ภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์จริง แต่… แม้เป็นเพียงภาพสะท้อนก็ยังเกี่ยวกับผู้นำเซียน ตามหลักแล้วการเปลี่ยนแปลงควรทำได้ยากถึงจะเหมาะสม!’
‘ดังนั้นความยากอยู่ตรงไหน’
สวี่ชิงขบคิด สายตาสำรวจมองอัจฉริยะหลี่ รูปร่างพฤติกรรมของคนตรงหน้าล้วนเหมาะแก่นำมาการทดสอบอย่างยิ่ง ก่อนประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงจะมีแรงต้านหรือไม่
ฝ่ายอัจฉริยะหลี่ เมื่อถูกสวี่ชิงมองเช่นนี้ ในใจเขาเป็นกังวลทันที
ก่อนประลองเขาเจตนากล่าวว่าหากแพ้จะยอมเป็นสหายศึกษาจริงๆ
แน่นอนว่าเขาทราบ นี่ถือว่าไม่ตรงกับประวัติศาสตร์
แต่นี่เกี่ยวข้องกับบัญญัติของเขา
บัญญัติเขาคือหมอกทึบ
ใช่ว่าเป็นหมอกธรรมดา แต่มาจากความว่างเปล่า ลึกลับ กาลเวลา
กล่าวอย่างถูกต้องคือมาจากประวัติศาสตร์
หมอกแห่งประวัติศาสตร์คือต้นกำเนิดของบัญญัติเขา
ดังนั้นการแผ้วทางบัญญัติตนคือเข้าใจประวัติศาสตร์
ยิ่งรอบรู้ทั่วด้าน ยิ่งสลายหมอกปกคลุมประวัติศาสตร์ได้
อาศัยปราณหมอกที่ซ่านสลายพวกนี้สร้างความถ่องแท้ ทำให้บัญญัติของตนก้าวหน้ามากขึ้น
เขาทราบดีว่าเส้นทางของตน จุดหมายคือรอบรู้ประวัติศาสตร์แท้จริง
ดังนั้นการต่อสู้กับนายน้อย ครึ่งหนึ่งเขาเอาจริง ครึ่งหนึ่งด้วยเจตนา ปล่อยตัวตามน้ำ ยอมแพ้นายน้อย!
ถึงอย่างไรคนที่นี่ก็เป็นพยาน
ทั้งเจ้าของร่างเขายังรักษาสัญญายิ่ง
เขาอาศัยฐานะเจ้าของร่าง เดินตามประวัติศาสตร์ เพื่อโอกาสเข้าใกล้นายน้อยเพียงครั้งเดียว
สำหรับเขาจึงสำคัญยิ่ง
‘ในประวัติศาสตร์ช่วงนี้มี 2 บุคคลสำคัญ คนหนึ่งคือผู้นำเซียนจี๋กวง อีกคนคือนายน้อยผู้นี้ แค่อยู่ข้างกายเขาย่อมเข้าใจประวัติศาสตร์ช่วงนี้ทั้งหมด รวมถึงเนื้อหาซึ่งปิดบังไว้’
‘ทั้งเรื่องเกี่ยวกับจอมเซียน ปีนั้นขบถถูกกำราบ ดูท่าว่าตอนนี้มีเค้าเงื่อนแล้ว!’
‘ไม่อย่างนั้นครั้งนี้วังเซียนแสงเหนือย่อมไม่มีทางเปิดออก ชั้น 4 พลันกลายเป็นห้วงอดีตซึ่งไม่เคยมีมาก่อน’
‘เห็นชัดว่าต้องเปิดเผยความลับบางอย่าง… ดูว่าหาเจอหรือไม่’
‘ดังนั้นคิดทราบประวัติศาสตร์ทั้งหมด ได้ความเข้าใจเพียงพอ ข้าต้องอยู่ข้างกายคนผู้หนึ่ง เช่นนี้ถึงมองรอบด้านได้’
อัจฉริยะหลี่พึมพำในใจ มองนายน้อย รอคำตอบ
แต่น่าเสียดาย เขาไม่ทันได้คำตอบจากนายน้อย รุ้งยาวสะเทือนใต้หล้าสายหนึ่งหวือแหวกมาจากท้องฟ้าห่างไกล
รุ้งยาวราวลายเส้นตระการตากลางฟ้าดิน ตัดแบ่งห้วงอากาศ ทิ้งร่องรอยซึ่งไม่มีวันจางไว้
แฝงความน่าเกรงขามกับพลังเหลือคณา คล้ายเสียงคำรามแห่งวิถีสวรรค์ดั้งเดิม ทั้งเหมือนเสียงถอนใจหนักหน่วง
ใกล้เข้ามากะทันหัน
สรรพสิ่งสั่นสะเทือน ภูเขาแม่น้ำทั่ววังเซียนมืดสลัวหม่นแสง
กระทั่งรุ้งยาวซ่านสลายกลายเป็นร่างตระหง่าน ก้าวเข้าสังเวียนประลอง
ยามเผยตัวผู้ชมทั่วสังเวียนประลองล้วนหยัดร่างขึ้น คารวะผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม
“คารวะอริยะเซียน!”
ผู้มาเยือนคือศิษย์คนที่ 4 ของผู้นำเซียนจี๋กวง
อริยะเซียนที่ 4 นี้ชื่อเสียงเลื่องลือ ครึ่งชีวิตแรกของเขาเปี่ยมสีสันแห่งตำนาน ฉลาดแต่เด็ก เชี่ยวชาญกระดานหมาก บังเอิญสบโอกาสต้องตาผู้นำเซียนจี๋กวง
บอกว่าเขาไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงรับเป็นศิษย์สายตรง
อริยะเซียนคนนี้ไม่ทรยศต่อการบ่มเพาะของผู้นำเซียน ยามฝึกบำเพ็ญยังเผยสติปัญญากับพรสวรรค์เหนือธรรมดา
อาศัยคุณสมบัติเหนือคนทั่วไป ร่วมกับความพยายามอย่างตั้งใจ รวมถึงทักษะการสังเกตฉับไวและความคิดสร้างสรรค์เหนือธรรมดา กระทั่งวังเซียนยอมรับ
ขณะเดียวกันยังมีนิสัยอบอุ่น เข้ากับคนอื่นง่าย รู้สึกเหมือนอาบไล้ด้วยลมวสันต์
ดังนั้นจึงเป็นที่ชื่นชมของคนทั่ววังเซียน
ตอนนี้ต่างพากันคารวะ
สวี่ชิงอมยิ้มเช่นกัน ความทรงจำเจ้าของร่างที่มีต่อคนผู้นี้ดีมาก มิตรภาพระหว่างทั้งสองแน่นแฟ้น หลายครั้งยังเห็นอีกฝ่ายเหมือนพี่ชายแท้ๆ ตามใจเจ้าของร่างมาก
ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมาเยือน สวี่ชิงยิ้มพลางเอ่ยปาก “ศิษย์พี่สี่ ทำไมวันนี้มีเวลามาที่นี่เล่า”
อริยะเซียนที่ 4 ยิ้มตอบผู้คน ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นค่อยหันมองสวี่ชิง ท่าทางอบอุ่นเหมือนพี่ชาย
“ศิษย์น้องเล็ก อาจารย์ออกไปเตรียมสินสอดแทนเจ้า ก่อนเดินทางยังกำชับข้าให้ดูแลเจ้า ไม่ให้เจ้าก่อเรื่องอีก”
ขณะกล่าวอริยะเซียนที่ 4 ยิ้มพลางส่ายศีรษะ ท่าทางเหมือนจนปัญญา
“แต่จากมุมมองข้า ไม่ว่าเจ้าก่อเรื่องอะไร ศิษย์พี่ย่อมช่วยเจ้าจัดการได้ ข้าจึงคอยจับตามอง ไม่ให้คนมีเป้าหมายอื่นเข้าใกล้ด้วยเจตนาร้าย”
“ตัวอย่างเช่น… อัจฉริยะหลี่”
ขณะกล่าวเสียงอริยะเซียนที่ 4 เปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาเปลี่ยนเป็นดุดันราวกระบี่ จ้องมองอัจฉริยะหลี่
แค่กวาดสายตา
อัจฉริยะหลี่สั่นสะท้านทั้งตัว ถอยหลังเปิดทาง รู้สึกเพียงว่ากายจิตสั่นสะเทือนรุนแรงชั่วพริบตา ถึงขั้นรู้สึกว่าจิตสำนึกตนกำลังถูกขับออกจากร่าง
อริยะเซียนที่ 4 เก็บสายตา สีหน้ากลับมาอบอุ่น หันมองสวี่ชิง
“โดยเฉพาะพวกเจตนาแอบแฝง”
“ถึงอย่างไรอีก 1 เดือนก็ถึงช่วงผลัดเวรปกครองวงแหวนของอาจารย์ ระหว่างนี้ย่อมมีผู้บำเพ็ญซ่อนเจตนาแอบแฝงอย่างเลี่ยงไม่ได้ วางแผนเข้ามาใกล้เจ้า”
“ดังนั้นอัจฉริยะหลี่ เจ้าช่างกล้านัก!”
“ตอนนี้เจ้ารีบกลับสำนักศึกษาไป ลงโทษโดยการปิดด่าน 30 ปี ไม่ให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง!”
อริยะเซียนที่ 4 กล่าวราบเรียบ
สายตากับน้ำเสียงเขากดดันอัจฉริยะหลี่นัก ตอนนี้อัจฉริยะหลี่ถอยร่นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ถึงขั้นรู้สึกหายใจติดขัด คิดกล่าวอะไรแต่กลับพูดไม่ออก
สวี่ชิงได้ยินแล้วยิ้มพลางพยักหน้า ไม่ได้คัดค้าน
ด้านหนึ่งด้วยคลื่นประวัติศาสตร์ช่วงนี้ยังกระตุ้นกาลอวกาศไม่ได้
อีกด้านคือผลประโยชน์ของสวี่ชิงเพียงพอแล้ว
การปรากฏตัวของอริยะเซียนที่ 4 เหมือนไม่มีเจตนาแฝง จุดประสงค์กับนัยสำคัญของเขามองปราดเดียวก็เข้าใจ
อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะอัจฉริยะหลี่ขลาดกลัว เสียเจตจำนงการต่อสู้ไป
หากว่าตนดึงดันย่อมเสียชื่ออยู่บ้าง
สวี่ชิงจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ศิษย์พี่สี่พูดมีเหตุผล ข้าเลินเล่อเอง”
อริยะเซียนที่ 4 ฟังแล้วยิ้มอบอุ่นกว่าเดิม ยกมือหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาส่งให้สวี่ชิง
“เมื่อวานข้าสั่งคนไปเมืองนภาทมิฬนอกวัง ซื้อน้ำค้างสวรรค์กาหนึ่งมาจากร้านค้าที่เจ้าชอบ สิ่งนี้เดือนหนึ่งถึงมีสักกา ข้าเห็นว่าเจ้าถูกอาจารย์ลงโทษ ผ่านช่วงเวลาซื้อของ ดังนั้นจึงไปซื้อมา กำลังจะส่งไปให้เจ้า”
สวี่ชิงได้ยินแล้วมีชีวิตชีวา ยิ้มรับมาพลางกล่าวขอบคุณ
เขาอยากเห็นผลจากการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร ถึงขั้นคิดว่าจะชิงบัญญัติอีกฝ่ายอย่างไรด้วย
หากปิดด่านเช่นนี้ย่อมน่าเสียดายยิ่ง
เขาจึงประเมินสถานการณ์รวดเร็วในใจ ตอนนี้ชี้ชัดแล้ว
‘อริยะเซียนที่ 4 นี้ หากไม่ใช่คนต่างถิ่น ข้ากล่าววาจาอะไรล้วนไม่เป็นผล แต่ถ้าเขาเป็นคนต่างถิ่น ต่อให้ข้าเงียบไป ภายหลังก็ย่อมเผชิญหน้ากัน ถึงขั้นมีโอกาสว่าสำหรับเขาแล้ว ฐานะข้าย่อมไม่ใช่ความลับอีก’
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จงฉือพลันกล่าวเสียงเบากับสวี่ชิง “นายน้อย อัจฉริยะหลี่คนนี้น่าสนใจ ก่อนประลองท่าทางเหิมเกริม ลั่นวาจาว่าถ้าแพ้จะยอมเป็นสหายศึกษาร้อยปี ตอนนี้กลับนิ่งเงียบ ตั้งท่าเผ่นแน่บ รักษาสัญญาอะไรกัน พูดเพ้อเจ้อทั้งนั้น”
“อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะป่าวประกาศเรื่องนี้ทั่วสำนักศึกษา ให้คนทราบถึงความน่าขันของอัจฉริยะหลี่!”
เมื่อจงฉือเอ่ยวาจา สวี่ชิงสัมผัสถึงคลื่นกาลอวกาศทันที
อัจฉริยะเซียนคนที่ 4 พลันหันมา มองจงฉือด้วยสายตาเยียบเย็น
ขณะเดียวกันอัจฉริยะหลี่ที่ถูกข่มขวัญได้ยินคำนี้ นัยน์ตาเขาฉายแววดิ้นรน จากนั้นเหมือนยอมทุ่มสุดตัว ชะงักเท้าหันมามองสวี่ชิง ถึงขั้นคุกเข่าคารวะทันที
“นายน้อยโปรดรักษาชื่อเสียงข้า ข้าคนแซ่หลี่ยอมรับความพ่ายแพ้ หากวันนี้จากไปย่อมมีปมในใจ!”
เสียงสะท้อนก้อง ทำให้นอกจากสวี่ชิงแล้ว ไม่มีใครสัมผัสถึงคลื่นกาลอวกาศ ตอนนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นมา
อริยะเซียนที่ 4 พลันหนักใจ กำลังคิดจะเอ่ยปาก
สวี่ชิงแย้มยิ้ม ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ กล่าวอย่างสบายๆ “นับว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง”
“แต่การมาเป็นสหายศึกษาของข้า เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากเจ้าอยากรักษาสัญญาจริง ไปสวนหมื่นอสูรของข้า เลี้ยงอสูรวิญญาณร้อยปีเถอะ”
สวี่ชิงกล่าวจบแล้วหันมองอริยะเซียนที่ 4 “ศิษย์พี่สี่ ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร”
ขณะกล่าวเขาเหมือนกวาดสายตามองจงฉือ ยามก้าวออกจากที่นี่ ห้วงอากาศไม่เหลือร่องรอย
ตั้งแต่ต้นจนจบการแสดงออกของสวี่ชิงคือยิ้ม ตอนนี้กำลังมองทิศทางที่อริยะเซียนที่ 4 จากไป การคาดเดาในใจยืนยันแล้วกว่าครึ่ง
‘เขาต้องเป็นคนต่างถิ่นแน่!’
‘วิธีการของเขา… น่าสนใจอยู่บ้าง ขัดขวางการกระทำที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หรือ’
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
