บทที่ 1163 เจ้าวังร้อยบุปผา
นัยน์ตาเซียนหลิงหวงเหี้ยมเกรียม สีหน้าอึมครึม
วาจาสกปรกหยาบคายเช่นนั้น ทำให้นางไม่สบอารมณ์นัก
แม้ว่าฐานะนางสูงส่งเทียบหลิงหวงตัวจริงไม่ได้ แต่นับว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ผู้รู้จักตั้งแต่เด็กแทบไม่มีคนเอ่ยวาจาสกปรกเหมือนจิ้งจอกชั้นต่ำตรงหน้า
ตอนนี้จึงมีจิตสังหารผุดขึ้นในใจ
แน่นอนว่าสิ่งที่นางอยากฆ่า ไม่ใช่เหล่าหญิงงาม ไม่ใช่ตัวจิ้งจอกสาว แต่เป็น… จิตสำนึกในตัวจิ้งจอกสาว!
อริยะเซียนที่ 4 บอกนางแล้ว คนผู้นี้เป็นคนต่างถิ่นเหมือนพวกเขา
ส่วนเป็นใครนางไม่ทราบแน่ชัด แต่นางเชื่อว่าหลังจากออกไปย่อมตรวจสอบได้
ตอนนี้เมื่อนางออกคำสั่ง เหล่าผู้คุ้มกันเกราะดำโดยรอบเปี่ยมจิตสังหาร ก้าวมาข้างหน้า แผ่ปราณดุดันทั่วทิศ
เพียงชั่วขณะเหมือนมีพายุพัดกระหน่ำที่นี่ เคลื่อนกวาดสรรพสิ่ง คิดทำลายทุกอย่าง กำจัดเหล่าหญิงงาม
แต่เหล่าหญิงงามแห่งวังร้อยบุปผา ดูเหมือนอ่อนหวาน ได้รับความสำคัญจากนายน้อยจี๋กวง ทั้งอยู่เพียงในวัง แน่นอนว่าไม่ใช่พวกธรรมดา
ไม่ใช่แค่ต้องมีหน้าตางดงาม แต่ต้องมีคุณสมบัติสะดุดตา ทั้งพลังบำเพ็ญยังห้ามอ่อนแอเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงคู่ควรกับคำว่ามวลบุปผา
โดยเฉพาะที่นี่มีจิ้งจอกสาวนั่งบัญชาด้วย
ดังนั้นชั่วพริบตายามเหล่าผู้คุ้มกันเกราะดำระเบิดปราณพิฆาต จิ้งจอกสาวพลันหยัดร่างท่อนบนอันอวบอิ่มขึ้นนั่ง เรียวขาราวมรกตพาดสลับ ถลึงตาราวผลซิ่ง
“พวกเราพี่น้อง ใครไม่ใช่อัจฉริยะฟ้าประทาน ใครไม่ปรนนิบัตินายน้อยอย่างจริงใจบ้าง ทั้งอาศัยอยู่แค่วังร้อยบุปผา ไม่คิดแก่งแย่งกับใคร ทำไมถึงเป็นสิ่งสกปรกสำหรับดอกผักบุ้งอย่างเจ้า!”
“เจ้าแค่หมั้นกับนายน้อย ไม่ทันแต่งงานกันจริง คิดมาถล่มที่นี่ก็ได้หรือ”
“ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะกำจัดอย่างไร หรือว่าคิดสังหารพวกเราที่นี่!”
จิ้งจอกสาวแค่นเสียงเย็นชา มวลบุปผารอบตัวเผยพลังบำเพ็ญทันที วิชาเวทพลังวิเศษก่อตัวชั่วพริบตา
ฝ่ายเซียนหลิงหวงพลันเผชิญหน้า
ทั้ง 2 ฝ่ายบรรยากาศตึงเครียด ต่างเผยจิตสังหารเด่นชัด เมื่อเห็นว่าจวนปะทุ จงฉือที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพลันตัวสั่น ในใจมีเสียงสวี่ชิงดังขึ้น
หลังจากฟังคำชี้แนะของสวี่ชิง จงฉือรีบพุ่งตัวมา ชั่วพริบตายาม 2 ฝ่ายเกือบลงมือ เขาพลันกล่าวเสียงดังตรงกลางระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย “นายน้อยมีคำสั่ง!”
เงาร่างกับเสียงเขาดึงดูดสายตาทั้งหมดทันที
เมื่อสายตาทยอยจับจ้อง จงฉือสูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยปากฉับพลัน “นายน้อยกล่าวว่าข้าละอายใจนัก ไม่มีหน้ามาด้วยตัวเอง หวนนึกถึงปีที่ผ่าน ลำนำเซียนเสนาะหู มวลบุปผาร่วมเคียง ครั้นแล้วชีวิตผกผัน สิ้นลำนำต้องจรจาก…”
“ไม่อาจขัดคำสั่งบิดา…”
“แต่มวลบุปผาไม่ผิด ผิดเพียงข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามทำลายมวลบุปผา มอบวิญญาณเซียนร้อยล้านแก่หญิงงามทุกคน ลูกกลอนเซียนนับแสน สมบัติเซียนนับร้อย วาสนาเซียนนับ 10…”
“หวังว่ามวลบุปผาจะมีอนาคตที่ดี”
“ทั้งจากไปทันที”
จงฉือเสียงต่ำลึก หลังจากกล่าวตามคำสั่งนายน้อย ในใจพลันปั่นป่วน
เขาทราบประวัติศาสตร์
ในประวัติศาสตร์ช่วงนี้วังร้อยบุปผาถูกรื้อจริงๆ เหล่าหญิงงามจากไปก่อนงานแต่ง ดังนั้นถือว่าพ้นเคราะห์ระดับหนึ่ง
ภายหลังสิ้นชีพหรือไม่ ด้วยต่างแยกย้ายกันไป ทั้งไม่สำคัญ ดังนั้นจึงไม่ถูกบันทึกลงประวัติศาสตร์
จงฉือจึงทราบฉากจบตอนท้าย
ทว่าตามประวัติศาสตร์ช่วงนี้ วันรื้อวังบุปผาคือ 4 วันก่อนงานแต่งของนายน้อยกับหลิงหวง
ปัจจุบันเห็นชัดว่ามีคนเจตนาทำล่วงหน้า
ตอนนี้เมื่อเสียงจงฉือสะท้อนก้อง มวลบุปผาเงียบไป
ไม่นานความเศร้าเข้าอบอวล
สุดท้ายจิ้งจอกสาวถอนหายใจ มองเหล่าหญิงงามรอบตัวก่อนกล่าวเสียงเบา “นายน้อยให้ความสำคัญกับพวกเรา พวกเราจริงใจต่อนายน้อยเช่นกัน ในเมื่องานแต่งเขาใกล้มาถึง ทั้งเป็นคำสั่งของผู้นำเซียน พวกเจ้า…ไปจากสถานที่น่าเศร้านี้เถอะ”
“ทำตามที่พวกเราหารือก่อนหน้านี้ ที่นี่ไม่มีวังร้อยบุปผา แต่บนวงแหวนที่ 5 ตั้งแต่นี้ยังมีวังร้อยบุปผาอย่างแท้จริง!”
เมื่อจิ้งจอกสาวเอ่ยวาจา กาลอวกาศที่นี่เกิดคลื่นสะเทือน
ตามประวัติศาสตร์วังร้อยบุปผามีแค่ตรงตำหนักน้อยของวังเซียน ไม่มีบนโลกภายนอก
แต่เห็นชัดว่าวิธีของจิ้งจอกสาว เมื่อเกิดขึ้นที่นี่ ทั้งเกี่ยวข้องกับมวลบุปผาเป็นเวลานาน มีหรือจะไม่จับประเด็นนี้
ดังนั้นหลายวันมานี้จึงหารือกับเหล่าหญิงงามล่วงหน้า
ถ้าวันหนึ่งวังบุปผาตรงตำหนักน้อยต้องรื้อถอน พวกนางไม่มีทางยอมแพ้เท่านี้ แต่จะตั้งสำนักตัวเองบนโลกภายนอก
ชื่อสำนักคือ…วังร้อยบุปผา
ทั้งเป็นวังร้อยบุปผาของนายน้อยจี๋กวงตลอดไป!
ส่วนจิ้งจอกสาวย่อมถูกบันทึกในประวัติศาสตร์วังร้อยบุปผา กลายเป็นเจ้าวังร้อยบุปผารุ่นแรก!
สืบต่อมาชั่วนิรันดร์!
แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ก่อเกิดคลื่นกาลอวกาศ แม้ว่าหลิงหวงบัญญัติขัดข้อง ไม่อาจสังเกตเห็นคลื่นกาลอวกาศนี้ แต่นางทราบประวัติศาสตร์ช่วงนี้ดี ดังนั้นเลยเข้าใจความหมายของประโยคนี้
นางทำหน้าจริงจังทันที
ขณะเดียวกัน…
ในตำหนักน้อย สวี่ชิงมือไพล่หลัง ยืนข้างหน้าต่าง ทอดมองโลกภายนอก บนหน้าฉายแววหดหู่
ในใจกลับนิ่งสงบ
ความเข้าใจของเขาที่มีต่อประวัติศาสตร์ช่วงนี้เทียบจงฉือกับหลิงหวงไม่ได้ แต่เขาสัมผัสคลื่นกาลอวกาศได้
เริ่มตั้งแต่บุตรสาวจิ่วอั้นมาเยือน กาลอวกาศเกิดคลื่นสะเทือนตลอด บ่งบอกว่าประวัติศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่กลับไม่มาก
ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพราะการกระทำของอริยะเซียนที่ 4
นี่คือคลื่นกาลอวกาศขนาดเล็กที่เกิดขึ้นได้ ทั้งต้องลงมือล่วงหน้า
แน่นอนว่าเป้าหมายคือจิ้งจอกสาว
ตอนนี้คลื่นกาลอวกาศใหญ่ขึ้นชั่วพริบตา
สวี่ชิงทราบว่าเป็นฝีมือของจิ้งจอกสาวแน่
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดฝากความหวังทั้งหมดกับเสียหลิงจื่อ
“น่าสนใจ…”
เสียงราบเรียบพลันดังขึ้นด้านหลังสวี่ชิง สะท้อนก้องทั่วตำหนัก
สวี่ชิงไม่ผิดคาด หันหลังไปมอง
เห็นเพียงห้วงอากาศรวมตัวเป็นเงาร่างหนึ่ง สุดท้ายค่อยเด่นชัดขึ้นมา
คนผู้นี้คิ้วกระบี่เนตรดารา สวมชุดคลุมยาวทองม่วง รูปร่างสูงโปร่งดุจสนเขียว
ศีรษะสวมกวานทองม่วงประดับอัญมณี บนกวานสลักลายหงส์มังกรเหมือนมีชีวิต หน้าตาไม่ธรรมดา เป็นอริยะเซียนที่ 4 นั่นเอง!
“ศิษย์พี่สี่ ท่านมาได้อย่างไร ทำให้ท่านขบขันแล้ว” สวี่ชิงยิ้มขื่นกล่าว
“ศิษย์น้องเล็ก นี่เป็นคำสั่งล่วงหน้าของอาจารย์ ข้าไม่อาจขัดขวาง มาที่นี่เพื่อเป็นเพื่อนเจ้า ห่วงว่าเจ้าเศร้าเกินไป”
อริยะเซียนที่ 4 มองสวี่ชิง สีหน้าอบอุ่น นัยน์ตาไม่ดุดันแม้แต่น้อย กลายเป็นว่าเจือความสนิทสนม
ทว่าในใจกลับกำลังสำรวจ
นี่คือการกระทำตามสัญชาตญาณของเขา
สีหน้าสวี่ชิงหดหู่กว่าเดิม ส่ายศีรษะเล็กน้อย ไม่เอ่ยวาจา
“แต่ศิษย์น้องเล็ก จิ้งจอกสาวที่เจ้าได้มาจากการชนะอัจฉริยะหลี่ น่าสนใจอยู่บ้าง…” อริยะเซียนที่ 4 กล่าวเนิบช้า สายตาจ้องมองนัยน์ตาสวี่ชิงเหมือนไม่ตั้งใจ
ต่อให้ในใจตัดสินแล้ว รู้ว่าคนต่างถิ่นรวมตัวข้างกายนายน้อยตรงหน้า ดังนั้นจิ้งจอกสาวปรากฏตัวที่นี่ย่อมไม่แปลก
ทั้งเขาทราบว่านายน้อยกับผู้นำเซียนจี๋กวงไม่อาจเป็นที่ซ่อนจิตสำนึกภายนอกเช่นกัน
แต่หลังจากผ่านความล้มเหลวก่อนหน้า เขากลับเกิดความคิดบางส่วนอย่างอดไม่ได้ ดังนั้นจึงกล่าวเช่นนี้
สวี่ชิงสีหน้าอึ้งงัน สายตาสำรวจมองอริยะเซียนที่ 4 สักพัก
การกระทำของเขา ทำให้อริยะเซียนที่ 4 ชะงัก กำลังคิดเอ่ยปาก สวี่ชิงพลันกล่าววาจา “ศิษย์พี่สี่ เมื่อก่อนท่านไม่เคยสนใจใครในวังร้อยบุปผาของข้า ตอนนี้พลันกล่าวเช่นนี้…”
สวี่ชิงเอ่ยปากเสียงเบา
ประโยคนี้ของเขาทำให้ในใจอริยะเซียนที่ 4 ระวังตัวทันที ในสถานการณ์ยามผลกระทบจากข่าวลือยังไม่ทันซ่านสลาย เขาห้ามทำให้คนจากกาลอวกาศนี้สงสัย ดังนั้นจึงคิดเอ่ยวาจา
สวี่ชิงกลับยิ้มแล้ว
“หรือว่าศิษย์พี่ 4 มีใจเหมือนปุถุชน ช่างเถอะ ถ้าเป็นเหล่าหญิงงามคนอื่น ติดตามศิษย์น้องมานาน ต่อให้เลิกเกี่ยวพัน ทว่าในใจยังเสียดาย แต่จิ้งจอกสาวเพิ่งมาไม่นาน หากศิษย์พี่ชอบย่อมยกให้ท่าน ให้เป็นหญิงรับใช้แล้วกัน”
สวี่ชิงกล่าวอย่างสบายๆ แต่อริยะเซียนที่ 4 มีหรือจะกล้า!
ถ้าต้องการ ตัวเขาย่อมไม่สมบทบาท อีกอย่างคือชะตาชีวิตจิ้งจอกสาวไม่ใช่เช่นนี้
แต่เขาอดหวั่นไหวไม่ได้
ถ้าจิ้งจอกสาวเป็นหญิงรับใช้ของเขา เขาย่อมขับจิตสำนึกนางได้ คลี่คลายมหัตภัย
แต่เมื่อความคิดนี้เพิ่งก่อเกิด เขาพลันเห็นนัยน์ตานายน้อยตรงหน้าฉายแววพิจารณา…
สายตานี้ทำให้ในใจอริยะเซียนที่ 4 ชะงัก
‘ในความทรงจำเจ้าของร่าง นายน้อยคนนี้กลับไม่ธรรมดาเหมือนที่เห็นภายนอก เขากำลังสงสัยข้า…’
‘การกระทำของข้าไม่เหมือนอริยะเซียนอยู่บ้างจริงๆ’
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อริยะเซียนที่ 4 แย้มยิ้ม “อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีกเลย”
สวี่ชิงได้ยินแล้วยิ้มรับ “ชั่วพริบตาหนึ่งข้าคิดว่า… ศิษย์พี่สี่ต้องการนางจริงๆ”
สุดท้ายเขาก็เป็นนายน้อย!
อริยะเซียนที่ 4 เป็นแค่อริยะเซียนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ณ วังร้อยบุปผา เมื่อคำสั่งนายน้อยสิ้นสุด ทุกอย่างก็มีข้อสรุป
เจ้าหน้าที่ตำหนักน้อยส่งมอบของตามคำสั่ง ส่วนเหล่าหญิงงามค่อยสงบอารมณ์ลงด้วยการปลอบของจิ้งจอกสาว
จากไปพร้อมกัน
สุดท้ายตรงซากวังร้อยบุปผาเหลือเพียงจิ้งจอกสาวคนเดียว นางยังนั่งตรงนั้น ท่าทางเกียจคร้าน ไม่ยอมจากไป
เซียนหลิงหวงขมวดคิ้วงาม มองจิ้งจอกสาวด้วยสายตาเย็นชา “ใน 10 ลมหายใจ ไสหัวออกจากวังเซียน ไม่อย่างนั้นย่อมขับเจ้าออกไป!”
จิ้งจอกสาวได้ยินแล้วยิ้มหวาน “พี่สาวคนสวย ท่าทางยามโกรธน่ารักอยู่บ้างจริงๆ มิน่านายน้อยถึงไม่สนพวกเราเพราะเจ้า”
ปราณพิฆาตตรงนัยน์ตาหลิงหวงยิ่งเข้มข้น รออีก 10 ลมหายใจ จากนั้นค่อยหันหลังเดินออกไป ปากออกคำสั่ง “นำตัวนางออกไป!”
ผู้คุ้มกันเกราะดำก้าวมาข้างหน้าทันที อานุภาพกดดันพลันปะทุ เมื่อเห็นว่ากำลังจะลงมือ
เวลานี้เสียงเย็นชาพร้อมอัสนีบาตครั่นครื้น ดังมาจากนอกตำหนักน้อย
“พวกเจ้าจะทำอะไรศิษย์ข้า!”
ขณะกล่าวเงาร่างกงซุนชิงมู่แห่งวังทัณฑ์อัสนีปรากฏตัวกลางอากาศ
สีหน้าเขาเดือดดาล ยามเผยตัวเสียงยังดังก้อง
“จิ้งจอกวิญญาณตนนี้เป็นศิษย์ใหม่ของข้า นี่คือป้ายฐานะของนาง ข้าแจ้งต่อวังทัณฑ์อัสนีแล้ว กำลังจัดทำเอกสาร!”
จิ้งจอกสาวยิ้มแล้ว ลุกขึ้นคารวะมาบนฟ้า “อาจารย์”
หลิงหวงชะงักฝีเท้า
ผู้บำเพ็ญเกราะดำโดยรอบหยุดมือทันที
พวกเขาไม่มีสิทธิ์ขับไล่คนที่มีฐานะอย่างเป็นทางการในวังเซียน!
คลื่นกาลอวกาศใหญ่ขึ้นแล้ว
เสียหลิงจื่อที่ยึดร่างกงซุนชิงมู่เงยหน้าขึ้น สายตามองตำหนักน้อย กล่าวอย่างเย็นชา “อริยะเซียน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่”
“เจ้าเพิ่งสังหารศิษย์คนหนึ่งของข้า ตอนนี้ยังทำให้ศิษย์ใหม่ของข้าลำบากอีกหรือ!”
“อริยะเซียน หรือตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าเพ่งเล็งข้ามาตลอด”
เมื่อเอ่ยวาจานี้ ตรงตำหนักน้อยสวี่ชิงผิดคาดอยู่บ้าง จากนั้นค่อยมองอริยะเซียนที่ 4 ข้างกาย
ใบหน้าอริยะเซียนที่ 4 ปราศจากความรู้สึก ทว่าในใจกลับเกิดคลื่นสะเทือนรุนแรงอย่างหายากยิ่ง
เขาพลันรู้สึกว่าเสียหลิงจื่อน่ารังเกียจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
‘รอจบเรื่องนี้แล้ว เมื่อกลับแดนตะวันออก ข้าต้องตามล่าคนผู้นี้ด้วยตัวเอง!’
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
