Skip to content

Outside Of Time 533

บทที่ 533 ลูกศิษย์องค์รัชทายาท ไป๋เซียวจัว

ตอนนี้ เมืองหลวงเขตปกครองลมโหมเมฆทะลัก ครืนครันไปทั้งแปดทิศ

บนท้องฟ้า มังกรทองสี่กรงเล็บ ดวงตาเปล่งแสงสีทอง หลังจากมองปลัดเขตปกครอง ก็มองไปทางองค์ชายเจ็ดที่สีหน้าไร้อารมณ์

ดังนั้น มังกรทองจึงเงียบนิ่ง สีหน้าฉายแววหม่นหมอง ซ่อนตัวอยู่ในหมอกเมฆ มีเพียงเสียงมังกรคำรามที่ดังสนั่นไปทั้งแปดทิศ แยกชั้นเมฆราวกับอยากจะทำให้ฟ้าดินสว่างไสว ทำให้แสงอาทิตย์สาดส่อง

แต่น่าเสียดาย ต่อให้ตอนนี้จะเป็นช่วงกลางวัน แต่ระลอกคลื่นที่มาจากเมืองหลวงเขตปกครองยังคงบิดเบือนแผ่นฟ้า ทำให้ท้องนภามืดครึ้ม ทำให้รูปสลักจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวขมุกขมัว ราวกับฝุ่นธุลีปกคลุม

ท่านยกสองมือขึ้นโอบกอดประชาชนเผ่ามนุษย์นับล้านในเมืองหลวงเขตปกครอง แต่ละคนสีหน้าฉงน ตื่นตระหนกตกใจ

ต่างเผ่าแต่ละคน ต่างดวงตาวาววาม พากันถอยหนี นี่คือเรื่องของเผ่ามนุษย์ พวกเขาไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย

ทุกคนกำลังเฝ้ารอ

รอเวลาที่ลานกว้างเมืองหลวงเขตปกครองจะได้ข้อสรุปที่แน่นอน

สุดท้ายปลัดเขตปกครองก็ไม่ได้เด็ดขาดเช่นองค์รัชทายาทม่วงคราม ในช่วงเวลาตัดสินชี้ขาดครั้งสุดท้าย เขาที่จนหนทางและยอมรับทั้งหมดนี้ไม่ได้ จึงเลือกใช้การสยบ

เพียงแต่ในใจเขา มีรอยแตกร้าวขนาดใหญ่หลงเหลืออยู่

นั่นคือร่องรอยคำพูดกรีดแทงหัวใจที่สวี่ชิงเหลือทิ้งไว้

สิ่งที่เห็น ในความขมุกขมัวบนท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงครืนครันรอบทิศ พริบตาที่ปลัดเขตปกครองออกคำสั่ง หุ่นเชิดที่เขาอัญเชิญก็ออกมาจากในคลื่นวน พลังต่อสู้หวนสู่อนัตตาขั้นสี่ปะทุระเบิด เดินไปหาสวี่ชิงทีละก้าว

หวนสู่อนัตตาขั้นสี่ ไม่ธรรมดาเลย!

พลังบำเพ็ญระดับนี้ มองทั้งเมืองหลวงเขตปกครอง สามารถใช้คำว่าขนหงส์เขากิเลน[1]ได้ ไม่ว่าผู้ใดก็มีชื่อเลื่องลือทั้งสิ้น

คิดไม่ถึงว่าตัวตนเช่นนี้จะถูกหลอมให้กลายเป็นหุ่นเชิด ความน่ากลัวที่แสดงออกมา น่าพรั่นพรึงยิ่ง

โดยเฉพาะใบหน้าเลือดเนื้อคลุมเครือของหุ่นเชิด มองรูปลักษณ์ที่แท้จริงไม่ออก เช่นนั้นเขาเป็นใคร…นี่จึงกลายเป็นสิ่งที่ยังไม่คลี่คลาย

พริบตาที่หุ่นเชิดนี้เดินไป สายอัสนีก็ฟาดผ่า รอยแยกมหาศาลปรากฏขึ้นเหนือชิงฉิน ก่อร่างเป็นเงาซ้อนทับจำนวนนับไม่ถ้วน จำแลงโลกใบเล็กไร้ขอบเขต ราวกับเป็นยอดเขาที่ตัดสลับซับซ้อน

จุดศูนย์กลาง คือร่างเงาของหุ่นเชิดนั้น

เขาก้มหน้า ดวงตาไร้ประกายไร้คลื่นอารมณ์มองมาทางสวี่ชิง ยกมือขึ้นพลันกดลง พลานุภาพน่าหวาดหวั่นสั่นสะเทือนฟ้าดินโถมลงมาจากฟ้าโดยไม่สนใจชิงฉิน

ชิงฉินสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง โลกใบเล็กนับไม่ถ้วนจุติลงมารอบตัวมันราวกับแฝงพลังกฎเกณฑ์บางอย่างที่สะกดต่างเผ่าได้ ทำให้ชิงฉินชะงักไปในพริบตา

เมื่อหลี่อวิ๋นซานรองเจ้าวังรวมถึงซือหนานกับผู้ดูแลซุนที่อยู่รอบๆ เผชิญหน้ากับพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ แม้จะไม่ได้ถูกสะกด แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ ทั้งตกตะลึง กรุ่นโกรธและร้อนรน

ส่วนสวี่ชิง ตอนที่หุ่นเชิดเดินออกมาจาคลื่นวนที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่ เขาก็ส่งกระแสจิตเข้าไปในถุงเก็บของแล้ว ตอนนี้มือขาดขนาดยักษ์ข้างหนึ่งจึงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

นี่คือสิ่งที่สวี่ชิงและนายกองได้มาจากแดนต้องห้ามเซียน เป็นหนึ่งในทางหนีทีไล่ที่สวี่ชิงเตรียมไว้ตามสถานการณ์อีกอย่างที่คิดไว้ในระหว่างที่สับสนเมื่อยี่สิบกว่าวันก่อน

แรงกดดันกดทับลงมา

แขนขาดสั่นสะท้าน เนื้อหนังปริแตก นิ้วทั้งห้าแตกกระจาย หลังมือเกิดรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนท่ามกลางเสียงครืนครัน แต่สุดท้ายก็ไม่แตกสลาย

ชิงฉินใช้โอกาสนี้ ดิ้นหลุดจากพันธนาการ หัวด้านขวาสะบัดแขนขาดให้ไปอยู่ด้านหลัง หัวทั้งสามเชิดขึ้น แผดเสียงร้องก้องชั้นฟ้าออกมา

“แกว๊ก!”

เสียงนี้ระเบิดโลกมายาใบเล็กมากมาย ร่างของมันพุ่งทะยานตรงไปยังหุ่นเชิด ปะทะกับมัน!

มันรับปากพี่ใหญ่ไว้แล้วว่าจะคอยคุ้มครองสวี่ชิงในขอบเขตของเมืองหลวงเขตปกครอง มันไม่ยอมไปแนวหน้า แต่ถ้าอยู่ในเมืองหลวงเขตปกครอง อยู่ในพื้นที่ของมัน เจ้าเด็กน้อยที่เปล่งแสงได้เหมือนกับตน แล้วยังคอยพาไปกินอย่างอิ่มหมีพีมัน มันชอบมาก

โดยเฉพาะคนที่เดินโง่ๆ ออกไปท่ามกลางฟ้าดินที่เงียบสงัดเช่นนี้ มันไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นต่อให้พลังบำเพ็ญจะสู้หุ่นเชิดไม่ได้ มันก็จะปกป้องเหมือนเดิม!

เสียงครืนครัน เลื่อนลั่นกลางฟากฟ้า

บ่าวรับใช้ปลัดเขตปกครองที่อยู่กลางอากาศร่างไหววูบ พุ่งไปที่แขนขาด

รองเจ้าวังเข้าสกัด ตวาดเสียงต่ำ

“ถอยไป! นี่เป็นเรื่องของวังครองกระบี่ข้า!”

ขณะที่บ่าวชราหรี่ตาลง ผู้ดูแลซือหนานกับผู้ดูแลซุน ก็ทะยานมาถึง

ขณะเดียวกัน บนพื้นดิน ร่างของผู้บำเพ็ญครองกระบี่ร้อยศึกหลายร่างก็มารวมตัวกันรอบๆ แขนขาดอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้ สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ พวกผู้บำเพ็ญที่ขึ้นตรงกับปลัดเขตปกครองก็พุ่งไปทันที เข้าประชิดแขนขาด คุมเชิงกับผู้ครองกระบี่

ท้องฟ้าครืนครัน บนฟ้าและบนดินล้วนชักกระบี่ง้างธนู ปลัดเขตปกครองมองทุกอย่างบนแท่นพิธีด้วยสีหน้าผิดหวัง เอ่ยเสียงเบา

“ในเมื่อวังครองกระบี่ขัดคำสั่ง ไม่ยอมปรับปรุงตัว เช่นนั้นข้าก็จะเป็นตัวแทนสหายเลี่ยงซิว ชี้แนะอาลักษณ์ของเขาเอง”

ขณะที่พูด ก็เดินออกมาแท่นพิธี เดินไปบนท้องฟ้า สะบัดแขนเสื้อ

ดวงชะตาครึ่งร่างรวมกันกับหวนสู่อนัตตาขั้นสี่อย่างไม่ต้องสงสัย พื้นดินครืนครัน ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนต้องล่าถอย พวกรองเจ้าวังก็เช่นกัน

บ่าวรับใช้ปลัดเขตปกครองก็ไม่ขัดขวางอีก ร่างไหววูบ พริบตาก็ปรากฏตัวด้านบนแขนขาด ดวงตาฉายประกายประหลาด ยกมือขวาขึ้นคว้า

ในใจทุกคนตีเกลียว ตอนที่ร้อนรนถึงขีดสุด นายกองก็เปล่งแสงสีฟ้าออกมาทั่วร่าง ยกมือขวาขึ้นกดที่หน้าผาก ตอนที่จะฉีกอะไรบางอย่าง จู่ๆ บ่าวรับใช้ก็หน้าเปลี่ยนสี ม่านตาหดเล็กลง เปลี่ยนทิศทาง ไม่เข้าใกล้ แต่ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ตาข่ายสีทองผืนหนึ่งปรากฏขึ้นบนฟากฟ้ากะทันหัน

เสียงครืนครันสะเทือนเลื่อนลั่น ตาข่ายยักษ์สีทองแผ่ขยายไปทั่วฟ้า ปกคลุมผืนดิน เปล่งแสงประกายพร่างพราวแผ่ลามออกไป

หลังจากทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรผ่านสงครามมาแล้ว ก็ไม่มีใครไม่รู้จักสิ่งนี้ นี่คือ…ของวิเศษต้องห้ามเมืองหลวงเขตปกครอง

สวี่ชิงมีสิทธิ์การใช้หนึ่งครั้ง นั่นคือสิ่งที่เจ้าวังมอบให้เขาก่อนตาย

ตอนนี้ของวิเศษต้องห้ามปรากฏขึ้น คนธรรมดาทั้งหมดในเมืองหลวงเขตปกครองตื่นตกใจ ระลอกคลื่นในใจผู้บำเพ็ญรอบๆ แท่นก็บูชาโหมกระหน่ำสาดซัด ขณะที่ตาข่ายสีทองผืนนั้นร่วงลงมาทางแขนขาดอย่างรวดเร็วก็หดเล็กลงเรื่อยๆ

บ่าวรับใช้หน้าเปลี่ยนสี ยิ่งถอยออกมาเร็วยิ่งขึ้น

แต่ตาข่ายทองผืนนั้นไม่ได้ปล่อยพลังสังหาร เพราะในใจสวี่ชิง การจะใช้พลังของวิเศษต้องห้ามหนึ่งครั้งกับบ่าวรับใช้ มันไม่คุ้มค่า

พริบตานั้น ภายใต้การจับตาของคนทั้งหมด ตาข่ายสีทองปกคลุมแขนขาด

ร่างของสวี่ชิงเดินออกมาจากแขนขาดด้วยสีหน้าซีดขาว กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ หน้าอกยุบลงไป ความเจ็บปวดแล่นปลาบไปทั้งร่าง แม้แขนขาดจะป้องกันอยู่ แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส

ทว่าเขายังยืนอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่บนแขนขาด ต้อนรับตาข่ายสีทองที่มาถึง

ตาข่ายสีทองปกคลุมร่างกายเขาในชั่วพริบตา ก่อเป็นเปลวเพลิงสีทองดวงหนึ่ง คอยคุ้มกันเขาด้านใน

มองไกลๆ เมื่อเทียบกับฟ้าดินราวกับเป็นแค่ประกายไฟของดวงดาราเท่านั้น ยากที่จะแผดเผาโลกทั้งใบ ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงแม้แต่น้อย

สวี่ชิงมองไปรอบๆ ยากจะข่มระลอกคลื่นในใจ

เขารู้ว่า ตอนที่ตนเดินออกมาเมื่อครู่ ก็ได้เจาะทะลวงแผ่นฟ้าของเขตปกครองผนึกสมุทรไปแล้ว

ส่วนผู้ที่เจาะทะลวงแผ่นฟ้า ก็ต้องแบกรับน้ำหนักของมันไว้

ก่อนที่รองเจ้าวังรวมถึงผู้ดูแลจะปรากฏตัว ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ ชิงฉินก็เช่นกัน สวี่ชิงไม่ได้เรียกมันมา

แต่พวกเขา กลับก้าวออกมาทีละคน

ยังสหายร่วมรบอีกนับแสน ตอนนี้พวกเขาล้วนมองมาที่ตน สายตาฉายแววแน่วแน่ พวกเขา…เชื่อมั่นในตน

สวี่ชิงเช็ดเลือดสดที่มุมปาก จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนมีความกล้ามากขึ้น

แม้ว่าผู้บำเพ็ญนับแสนที่นี่จะมีผู้ครองกระบี่แค่สามส่วน ที่เหลืออีกเจ็ดส่วนมาจากสองวังรวมถึงผู้บำเพ็ญของจวนปลัดเขตปกครองก็ตาม สีหน้าล้วนฉายแววลังเลกันหมด

แต่สวี่ชิงไม่กลัว

คนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเคยลังเลและชั่งใจมาสักเท่าไร แต่หลังจากที่ตัดมันออกไปได้ ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว

สิ่งเดียวที่เขาเสียดาย ก็คือก่อนหน่านี้ผู้ที่เข้าใกล้ตนเองไม่ใช่ปลัดเขตปกครอง แต่เป็นบ่าวรับใช้คนนั้น นี่ทำให้เขาสำแดงไม้ตายออกมาได้ยาก และทำให้ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้เปลี่ยนไป

ส่วนหุ่นเชิดขั้นสี่ตัวนั้นก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายเช่นกัน

‘ข้ามีแค่โอกาสเดียว…’

สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาต้องหาโอกาสเข้าใกล้ปลัดเขตปกครองอีกครั้ง

คิดถึงตรงนั้น สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก มองปลัดเขตปกครอง

“ปลัดเขตปกครอง ท่านไม่ยอมรับสถานะของเทียนประทีป เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าปลัดเขตปกครองก็แล้วกัน อันที่จริงถ้าท่านจะจัดการข้า ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้อื่น แม้ว่าท่านจะพลังสูงส่ง เป็นถึงหวนสู่อนัตตาผู้ยิ่งใหญ่ แต่ข้าที่เป็นแค่ก่อกำเนิดลวงยังกล้ายืนขึ้นมา ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขราบเรียบต่อไปได้หรือไม่”

พูดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก แต่เขายังคงพูดต่อ

“ปลัดเขตปกครอง เทียนประทีปกระทำการสุดโต่งอย่างยิ่ง ชื่นชอบการแสดงสีเลือด เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ คือการแสดงสีเลือดของท่านหรือ

“ข้ารู้สึกว่า มันขาดสีสันมาก”

สวี่ชิงส่ายหน้า

“ที่ขาดสีสันไม่ใช่การแสดงนี้ แต่เป็นตัวท่าน แม้แต่ใจของตนก็กดข่มลงไป ทรยศหลักการสมเหตุสมผล ท่าน ไม่คู่ควรที่จะเรียกตนว่าเทียนประทีป”

ปลัดเขตปกครองมองสวี่ชิงอย่างเฉยเมย สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด เอ่ยเสียงเรียบ

“เห็นแก่เจ้าที่มีคุณูปการกับผนึกสมุทร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้ที่จักรพรรดิหยั่งใจหมื่นจั้ง ตลอดมาจึงไม่สังหารเจ้า แต่เจ้าก็ยังเอาแต่เดินผิดทางรนหาที่ตาย”

สวี่ชิงได้ยิน ก็หัวเราะ แววตาไม่สะทกสะท้าน

“ผู้ที่วางแผนเช่นท่านพูดคุยกับข้ามากมายเช่นนี้ คงจะมองออกว่าคำพูดห่วยๆ ของข้าเป็นการล่อให้ท่านเข้ามาใกล้ แม้ข้าจะไม่ใช่เทียนประทีป แต่ข้ารู้สึกว่าความเยือกเย็นของเทียนประทีปนั้นดียิ่งนัก ข้าก็เยือกเย็นเช่นกัน ข้ามีวิธีสังหารท่านจริงๆ ขอแค่ท่านเข้าใกล้ข้า

“เช่นนั้น ใต้เท้าปลัดเขตปกครอง ท่านกลัวข้าที่เป็นแค่ก่อกำเนิดลวงตัวเล็กๆ หรือขอรับ ท่านกล้าเข้าใกล้ข้าหรือไม่

“ข้ารู้ว่าท่านไม่กล้าหรอก เพราะแค่ตัวตนกับชื่อที่แท้จริงของท่าน ยังไม่กล้าพูดออกมาเลย” สวี่ชิงส่ายหน้า

“ส่วนการแสดงนี้ของท่าน แสดงให้ใครดูเล่า อง5รัชทายาทม่วงครามหรือ ข้าคิดว่าเขาก็น่าจะส่ายหน้า เพราะท่านกล้าทำแต่ไม่กล้ารับ ที่แท้คนขององค์รัชทายาทม่วงครามก็เป็นเช่นนี้ คิดแล้วคนจากม่วงครามก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ไม่แปลกที่ล่มสลายไปในตอนนั้น กลับมาเชิดหน้าชูตาไม่ได้”

“หรือบางที อันที่จริงเป็นท่าน ที่ไม่คู่ควรจะติดตามองค์รัชทายาทม่วงคราม?”

คำพูดของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ ปลัดเขตปกครองนิ่งเงียบมาตลอด มีเพียงสองประโยคสุดท้าย ในที่สุดดวงตาปลัดเขตปกครองก็มีประกายพาดผ่านแล้วอันตรธานหายไป

ร่องรอยกรีดแทงใจตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

ปลัดเขตปกครองจึงเงยหน้า มองไปบนท้องฟ้า ส่งเสียงแหบแห้งออกมา

“เรื่องตลกนี่ควรจะจบได้แล้ว องค์ชายเจ็ด ให้ท่านเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายเจ็ดไม่พูดจา อมยิ้มมองดูทุกอย่างนี้

เมื่อปลัดเขตปกครองพูดจบก็ยกมือขึ้นโบก ทันใดนั้นข้างกายเขาก็มีคลื่นวนปรากฏอีกวงหนึ่ง พลังหวนสู่อนัตตาขั้นสี่วูบหนึ่งระเบิดออกมาฉับพลัน มีหุ่นเชิดตัวที่สองเดินออกมาจากเสียงย่ำเท้าที่ดังขึ้นจากในนั้น

สวมชุดเกราะเช่นกัน รูปร่างเหมือนกัน น่ากลัวแบบเดียวกัน เลือดเนื้อคลุมเครือเหมือนกัน

การปรากฏตัวของเขา ทำให้ทุกคนที่นี่ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ตกตะลึงถึงขีดสุด

หุ่นเชิดตัวเดียวก็น่าตกตะลึงแล้ว ตอนนี้กลับมีหวนสู่อนัตตาขั้นสี่ตัวที่สอง ไม่รอให้ระลอกคลื่นในใจที่โหมซัดของทุกคนสงบลง เสียงของปลัดเขตปกครองก็ดังก้องในหูมวลมหาประชาชนในเมืองหลวงเขตปกครองทั้งหมด

“ผู้ครองกระบี่สวี่ชิง ดื้อรั้นดึงดันไม่รู้จัดผิดชอบ กุข่าวลือจนผนึกสมุทรระส่ำระส่าย ทำผิดอย่างร้ายแรง ไม่สมกับหยั่งใจหมื่นจั้ง ปลดสถานะผู้ครองกระบี่ โทษประหารชีวิต ปลอบขวัญปวงประชา!”

ขณะเสียงของปลัดเขตปกครองดังก้องไปทั่วสารทิศ หุ่นเชิดตัวที่สองก็ย่ำอากาศมา

พุ่งไปหาสวี่ชิง!

จนแล้วจนรอดปลัดปกครองก็ยังไม่ยอมไปหาสวี่ชิงด้วยตนเอง!

ตอนนี้เอง เสียงถอนใจแผ่วเบาเสียงหนึ่ง ก็ดังมาจากความว่างเปล่า

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น องค์ชายเจ็ดรวมถึงเหล่าแม่ทัพของเขาก็เงยหน้า ดวงตาปลัดเขตปกครองแข็งค้างเช่นกัน

ร่างเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชิงราวกับถูกจิตรกรรังสรรค์จากความว่างเปล่า ยกมือขวาขึ้น กดไปทางหุ่นเชิดที่เดินเข้ามา

ท้องฟ้าครืนครัน แผ่นดินสั่นสะเทือน

หุ่นเชิดที่เดินมาชะงักฝีเท้า เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสวี่ชิงอย่างชินชา

สวี่ชิงก็จิตใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง มองเงาที่คุ้นเคยตรงหน้าด้วยตาที่แดงก่ำ ก้มหน้าลงราวเด็กน้อยสำนึกผิด

“ท่านอาจารย์!”

ผู้ที่ปรากฏตัวคือนายท่านเจ็ด เขาอำพรางกายอยู่ในฝูงชนมาตลอด

เขาบอกกับศิษย์ตนว่าจะออกไปซ่อนตัว ทว่าความจริงแล้ว สถานที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุดย่อมเป็นเมืองหลวงเขตปกครองที่อันตรายที่สุด

อีกอย่าง หลังจากเกิดเรื่องใหญ่ที่แดนต้องห้ามเซียน เขาปล่อยศิษย์ทั้งสองคนของตนอย่างวางใจได้อย่างไร และทั้งหมดนี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าการซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงเขตปกครองคือตัวเลือกที่ดีที่สุด

เขาจึงบอกกับสวี่ชิงและเฉินเอ้อร์หนิว ให้พวกเขาออกไปจากที่นี่หนึ่งเดือนให้หลัง เพราะเขาตัดสินใจจะแอบอยู่กับพวกเขาเงียบๆ

และตอนนี้ เขาเลือกที่จะแสดงตัวออกมาแล้ว

เมื่อสังเกตเห็นขอบตาแดงรื้นของสวี่ชิง เห็นท่าทางของสวี่ชิงที่เหมือนทำเรื่องพลาดพลั้ง นายท่านเจ็ดก็ตวาดเสียงต่ำ

“เงยหน้าขึ้น!”

สวี่ชิงตัวสั่นงันงก เงยหน้าขึ้น

“สวี่ชิง เจ้าต้องจดจำไว้ เรื่องนี้ อาจารย์ไม่คิดว่าเจ้าผิด ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจกับศิษย์อย่างเจ้าเสียด้วยซ้ำ!

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเตรียมอะไรไว้บ้าง แต่ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า! มีเหตุผลใดเล่าที่อาจารย์จะยืนมองศิษย์เอาเป็นเอาตายอยู่ข้างๆ ส่วนตนกลับทำตัวดั่งทองไม่รู้ร้อน

“เจ้าเคยโขกศีรษะให้ข้า เคยยกน้ำชาให้ข้า นับตั้งแต่ตอนนั้น ข้าก็จะคอยปกป้องเจ้า”

“ยังมีข้าด้วย!” ในฝูงชนบนพื้นดิน แสงสีน้ำเงินพร่างพราว ร่างของนายกองพุ่งออกมา ก่อนหน้านี้เขาจะลงมือแล้ว แต่ศิษย์น้องเล็กก็มีวิธีรับมือเสมอ เขาจึงเตรียมปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญ

ตอนนี้เมื่อเห็นอาจารย์ออกมา เขาจึงไม่ลังเล พริบตาที่มาถึงก็มายืนอยู่ข้างสวี่ชิง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ทำการใหญ่ทั้งที จะไม่มีข้าได้อย่างไร!”

ตอนนี้ สายตานับไม่ถ้วน ก็มารวมกันที่ร่างของศิษย์อาจารย์ทั้งสามคนนี้จากทั่วสารทิศ ดวงชะตาเหนือศีรษะสวี่ชิงก็ปะทุเสียงดังสนั่น รวมตัวกันมากขึ้นในตอนนี้

กระทั่งดูดดึงผืนฟ้า ทำให้บนท้องฟ้าปรากฏคลื่นวนขนาดยักษ์ที่กระทั่งคนทั่วไปก็ยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สายฟ้าแต่ละทางกะพริบวูบวาบ ส่งเสียงกัมปนาทออกมาจากด้านใน

สั่นสะเทือนใจผู้คนนับล้าน

สวี่ชิงสูดลมหายลึก ขณะที่ระลอกคลื่นในทะเลความรู้สึกโหมซัดไม่หยุดยั้ง นายท่านเจ็ดก็เงยหน้าขึ้น มองปลัดเขตปกครอง

“ข้าเคยพบกับพวกม่วงคราม!”

ดวงตาปลัดเขตปกครองมีคลื่นอารมณ์

“ก่อนหน้านี้เจ้าสี่ของข้าพูดไว้ไม่ผิด ท่านน่ะ ไม่คู่ควรที่จะติดตามองค์รัชทายาทม่วงครามจริงๆ เพราะท่านอยู่ในเงามืดมานาน จึงไม่เหลือความองอาจห้าวหาญอีกต่อไป”

ปลัดเขตปกครองหลับตาลง ผ่านไปหลายอึดใจจึงลืมตาขึ้น คลื่นอารมณ์สลายหายไป ส่งเสียงเรียบออกมา

“พันธมิตรแปดสำนักมณฑลรับเสด็จราชัน หมิ่นเบื้องสูง สมรู้ร่วมคิดก่อจลาจล แจ้งแก่ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร ทำลายสำนักนี้ทิ้งเสีย!”

“กล้าขู่ข้ารึ ไปขู่แม่เจ้าไป!” นายท่านเจ็ดหัวเราะร่า ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง พุ่งไปยังปลัดเขตปกครอง หุ่นเชิดตัวนั้นก้าวเข้ามาขวางทันที ทั้งสองฝ่ายปะทะกันครืนครันกลางอากาศ

นายท่านเจ็ดไม่ใช่คู่มือ แต่เขาก็มีวิธีการอยู่มากมาย ยิ่งมีการระเบิดวิชาเทพอีก หากเผชิญหน้ากับขั้นสี่จริงๆ เขาอาจจะสู้ไม่ไหว แต่แค่หุ่นเชิดขั้นสี่ตัวหนึ่ง ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขาสู้ได้

ทั้งหมดนี้ ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมหาศาล ส่วนเรื่องในวันนี้ก็พลิกไปมาหลายครั้ง ระลอกคลื่นในใจของทุกคนไม่ได้หยุดโหมซัดเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้ ขณะที่ทั่วทั้งเมืองหลวงเขตปกครองกำลังสั่นสะเทือน ดวงตาปลัดเขตปกครองก็เปล่งประกาย เขารู้ดีว่าจะยืดเยื้อต่อไม่ได้ จึงก้าวออกมา คิดจะสยบทั้งหมด

แต่ตอนนี้เอง นายท่านเจ็ดที่ปะทะกับหุ่นเชิด ก็ตะโกนดังลั่น

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ศิษย์ของข้าก็ออกมาเพื่อเจ้า เจ้ายังไม่ออกมาอีกหรือ!! ต้องให้ศิษย์ของข้าทั้งสองคนต้องสู้สุดชีวิตเลยรึ!!!”

แทบจะจังตอนที่เสียงนายท่านเจ็ดดังออกมา ร่างเงาสีเลือดร่างหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากด้านล่างแท่นพิธี ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเหนือความคาดหมายของผู้คนบนพื้นดินรอบๆ

ชั่วพริบตา ร่างสีเลือดนี้ก็ขึ้นมาอยู่กลางอากาศข้างๆ หุ่นเชิดตัวแรกที่กำลังต่อสู้กับชิงฉิน

ชุดเกราะสีแดงทั้งตัว หน้ากากสีเลือด แสงสีเลือดเปล่งออกมาทั่วร่าง ผู้ที่จู่ๆ ก็พุ่งตัวออกมานี้ ก็คือแม่ทัพเสี่ยเหยี่ยนเหยี่ยนลูกน้ององค์ชายเจ็ดที่รับผิดชอบแดนต้องห้ามเซียนนั่นเอง!

การปรากฏตัวของเขา ทำให้แม่ทัพคนอื่นข้างกายองค์ชายเจ็ดหน้าเปลี่ยนสี มีเพียงองค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่ยังปกติ ไม่รู้สึกเกินคาดอะไร

สวี่ชิงก็หันมองเงาสีเลือดนั้นทันที

ขณะที่รอบด้านครืนครัน แม่ทัพเสี่ยเหยี่ยนสองมือทำปางกดไปทางหุ่นเชิดที่ปะทะกับชิงฉินอย่างรวดเร็ว ปากก็ส่งเสียงคำรามต่ำลอดออกมา

“เจ้าวังอาญา สหายเหิงซิ่น ตื่นขึ้นมาเถิด!!”

เมื่อเสียงแม่ทัพเสี่ยเหยี่ยนเปล่งออกมา ผู้บำเพ็ญนับแสนด้านล่างแท่นพิธีทั้งหมดก็สั่นสะท้าน สายอัสนีฟาดผ่าในใจ

ในใจสวี่ชิง โหมระลอกคลื่นสูงหมื่นจั้ง

โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญวังอาญา แต่ละคนหัวใจรวดร้าวแทบแตกสลาย ตื่นตกใจและโกรธแค้นถึงขีดสุด

เหล่าคนธรรมดาในเมืองหลวงเขตปกครองก็เช่นกัน

อัสนีสวรรค์แล่นแปลบปลาบ

เพราะ ก่อนหน้านี้จางเหิงซิ่นเจ้าวังอาญาประกาศก้องไปทั่วทั้งสารทิศว่าสู้จนตัวตายที่แนวหน้า!

ตอนนี้ จากเสียงคำรามต่ำของแม่ทัพเสี่ยเหยี่ยน หุ่นเชิดร่างนั้นสั่นเทิ้มฉับพลัน ดวงตาไร้ประกายปรากฏระลอกคลื่น ร่างฉายแววดิ้นรนต่อต้าน ยกสองมือขึ้นอย่างไร้สติ และทำปางประทับเช่นเดียวกับแม่ทัพเสี่ยเหยี่ยน ร่วมมือด้วยสัญชาตญาณ

พริบตาที่ทั้งสองฝ่ามือทั้งสองฝ่ายประสานกัน หุ่นเชิดตัวนั้นก็แผดเสียงกรีดร้องแสบหูออกมา เกราะบนตัวแตกสลายครืนครัน เผยให้เห็นบาดแผลนับไม่ถ้วน ราวกับเป็นร่างที่ถูกปะเย็บติดต่อกัน

เงาวิญญาณไม่สมประกอบสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากร่างของมัน ปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ระหว่างฟ้าดิน

กายเนื้อถูกทำลายได้ แต่ดวงวิญญาณจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์

ใบหน้าของดวงวิญญาณนี้…คือหนึ่งในสามเจ้าวังเขตปกครองผนึกสมุทร เจ้าวังอาญานั่นเอง!

คนที่เห็นภาพนี้ทั้งหมดในเมืองหลวงเขตปกครองสีหน้าเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา

ดวงวิญญาณไม่สมประกอบนั้นก็ไม่อาจคงอยู่ได้นาน เวลานี้กำลังสูญสลาย เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาไม่ได้ มีเพียงสีหน้าอาลัยอาวรณ์จ้องมองผนึกสมุทร เช่นเดียวกับเจ้าเขตปกครองรวมถึงข่งเลี่ยงซิวในตอนนั้น

ความกรุ่นโกรธจากร่างของผู้บำเพ็ญวังอาญาบนพื้นในตอนนี้โหมขึ้นมาอย่างน่าครั่นคร้าม สายตาโกรธแค้นจ้องปลัดเขตปกครองเขม็ง

แม่ทัพเสี่ยเหยี่ยนหันหลัง มองปลัดเขตปกครอง ยกมือขวาขึ้นปลดหน้ากากของตน เผยให้เห็นใบหน้าที่ผู้คนรู้สึกคุ้นเคย

“ปลัดเขตปกครอง ไม่เจอกันเสียนาน!”

“เหยาเทียนเยี่ยน ทำไมจึงไม่หดหัวหลบต่อไปเล่า!” ปลัดเขตปกครองจ้องใบหน้านั้น ถอนหายใจอีกครั้ง วันนี้ เขาถอนใจมาหลายครั้งแล้ว

คนนับแสนด้านล่างแท่นพิธีพากันหวั่นไหว แม่ทัพเสี่ยเหยี่ยนคนนี้ ก็คือโหวเหยาที่หายสาบสูญไปในสนามรบ และถูกตั้งโทษกบฏไว้แล้วนั่นเอง!

เมืองหลวงเขตปกครองครืนครันขึ้นอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนสมองขาวโพลนไปหมด

สวี่ชิงหายใจหอบถี่ หันหน้ามองหุ่นเชิดอีกตัวหนึ่ง คิดจะลองหาร่องรอยที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่มี ไม่ใช่เจ้าวังครองกระบี่…

ตอนนี้ บนท้องฟ้า โหวเหยาก็เอ่ยเสียงแผ่ว

“เดิมก็ไม่อยากปรากฏตัวหรอก เจ้าเขตปกครองคนก่อนมีบุญคุณกับตระกูลข้า เรื่องที่ข้ารับปากเขาไว้ในตอนนั้นยังไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เรื่องทางโลกยากจะคาดเดา

“ข้าแก่ปูนนี้แล้ว คงไม่อาจปล่อยให้เด็กดีเผ่ามนุษย์ของข้าคนหนึ่งแตกดับที่นี่ และประสบการณ์มากมายของข้าทั้งชีวิตนี้ เดินผ่านภูเขาสูงชัน ถูกคนไล่ล่า เคยถูกก่นด่า เคยรุ่งโรจน์ และเคยชื่อเสียงเน่าเหม็น ตายก็ตายสิ ยิ่งไปกว่านั้น…คนในตระกูลข้าที่เหลืออีกไม่เท่าไรก็ยังได้รับการปกป้องเพราะการเด็กคนนี้เอ่ยปาก น้ำใจคนผู้นี้ยิ่งใหญ่เกินไป”

พูดจบ เขาก้มหน้ามองสวี่ชิงด้วยสายตาอบอุ่น จากนั้นก็มองไปทางปลัดเขตปกครอง

“ส่วนเจ้า ปลัดเขตปกครอง แผนของเจ้าน่าครั่นคร้ามจริงๆ ปิดบังพวกข้าทุกคนจนทำให้พวกเราไม่เชื่อใจกันเอง สงสัยกันเอง แต่เจ้าก็ยังพลาดไปก้าวหนึ่ง ข้า สหายเหิงซิ่นและสหายหรงอวี๋ ต่างลงค่ายกลสะกดวิญญาณกันไว้ตอนที่อยู่แนวหน้า เพื่อแสดงความไว้ใจกันอย่างแท้จริง

“และความเห็นแก่ได้ของเจ้าคือต้องการร่างของพวกเขาทั้งสอง เอาพวกเขาที่สู้จนตัวตายมาทำหุ่นเชิด ดังนั้นการสะกดวิญญาณของพวกเราทั้งสามตอนนั้นจึงกลายเป็นวิธีที่ทำให้การปลุกวิญญาณพวกเขาไม่สมประกอบ แม้จะปรากฏตัวได้เพียงครู่หนึ่งก็จะสลายหายไป แต่…ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้ว”

เมื่อโหวเหยาเอ่ยออกมา ผู้คนนับแสนด้านล่างแท่นพิธีล้วนได้ยิน คนนับล้านในเมืองหลวงเขตปกครองล้วนได้ยิน บนท้องนภาได้ยิน พื้นพสุธาก็ได้ยินเช่นกัน!

คอนนี้ ความโกรธแค้นไร้ที่สิ้นสุด เปลวไฟมหึมา ปะทุขึ้นทั่วทั้งเมืองหลวงเขตปกครอง

สายตานับไม่ถ้วนมารวมกันจากทั้งแปดทิศ ปราณสังหารน่าครั่นคร้าม โหมขึ้นมาจากร่างทุกคน

ทั้งเมืองหลวงเขตปกครอง รวมใจเป็นหนึ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เจตนาสังหารพุ่งไปหาปลัดเขตปกครองทั้งหมด

สวี่ชิงเงยหน้า สัมผัสทุกอย่างนี้ได้ เขารู้ว่าตนเองเป็นแค่เปลวไฟดวงหนึ่ง แต่ในที่สุดตอนนี้ก็แผดเผาโลกทั้งใบได้แล้ว

ทุกอย่างกระจ่างแจ้งอย่างยิ่ง หลักฐานทั้งหมด เป็นความจริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“ใช้ประโยคหนึ่งของสวี่ชิง ปลัดเขตปกครอง เจ้าวางกลยุทธ์ได้สมเหตุสมผล พวกเราเปิดโปงอย่างสมเหตุสมผล เจ้ากล้ายอมรับหรือไม่”

“โปรด ชี้แนะด้วย”

โหวเหยาเอ่ยราบเรียบ

ปลัดเขตปกครองเงียบนิ่ง ผ่านไปสักพัก เขาก็พ่นความขุ่นเคืองออกมาเหมือนของสวี่ชิงก่อนหน้า ร่างทั้งร่างก็ผ่อนคลายลง หันหน้ามององค์ชายเจ็ดบนแท่นพิธี

องค์ชายเจ็ดสีหน้าไร้อารมณ์

โหวเหยา ปรากฏตัวอยู่ในแม่ทัพของเขา ย่อมเป็นการลงมือของเขาแน่นอน อันที่จริงเขาแอบช่วยชีวิตโหวเหยาไว้ในสนามรบ

เป้าหมายแรกเขา คือเหลือหนทางไว้คอยถ่วงปลัดเขตปกครอง

เป้าหมายที่สอง คือเมื่อเสด็จพ่อระแคะระคายตนขึ้นมา สิ่งนี้ก็จะชะล้างข้อสงสัยต่อตนเอง เพราะนี่สามารถพิสูจน์แล้วว่าตนไม่ได้ร่วมมืออย่างเต็มกำลัง ทั้งหมดล้วนเพื่อเผ่ามนุษย์ ส่วนจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ก็มองเพียงผลลัพธ์

จากที่เขารู้จักบิดา ขอแค่พิสูจน์จุดนี้ได้ ตนก็จะไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรง และเมื่อเทียบกับความเสียหาย สิ่งที่ได้รับหลังความสำเร็จก็คือร่างทองของตน วีรบุรุษเผ่ามนุษย์ บุกเบิกดินแดน นำคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลับมา เหล่านี้ล้วนเป็นคุณูปการยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น

เช่นนี้ เขาจะไร้พ่ายไปตลอดกาล

หากปลัดเขตปกครองจะเปิดโปงตน เขาก็เฝ้ารอ

เพราะว่าตอนนี้ อีกฝ่ายจะพูดอะไร ก็ไม่มีใครเชื่อถือ การสืบสาวราวเรื่องมาถึงตนจึงสลายหายไปตลอดกาล

แต่เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทำเช่นนั้น เพราะการเจรจาเรื่องการกลับมาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เสร็จสิ้น ชามที่อีกฝ่ายต้องการก็ยังไม่ได้

อีกทั้งตนก็ไม่ได้คิดจะฉีกสัญญาที่มีมาตั้งแต่แรก เป็นอีกฝ่ายจับเอาไว้ไม่อยู่ต่างหาก

ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับตน

ดังนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบเขาจึงไม่ช่วยเหลือปลัดเขตปกครอง และไม่ช่วยสวี่ชิง เขาเพียงชมมหรสพ แต่ที่มองมากกว่าคือทางสวี่ชิง จดจำเขาจนขึ้นใจ

หลังจากจ้ององค์ชายเจ็ดเขม็ง ปลัดเขตปกครองก็หันหน้ากลับไป ท่ามกลางสายตาที่คิดจะสังหารตนนับไม่ถ้วน เขากวาดตามองคนทั้งหมดรอบๆ สุดท้ายก็มองไปที่สวี่ชิง มองอย่างตั้งใจ

คนที่เขาไม่ได้สนใจเลยตรงหน้านี้ สุดท้ายก็จุดประเด็นทั้งหมดขึ้น ทิ่มแทงใจของตน

เขารู้จักสวี่ชิง แค่ผาดแรกที่เห็นเขาในวังครองกระบี่ก็มองออก

เขาเคยได้ยินว่านายท่านมีน้องชายในโลกนี้อยู่คนหนึ่ง แต่เขาไม่สนใจ คนที่เคยเห็นมังกรมาแล้ว จะสนใจงูหลามด้วยเหตุอันใด

เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่มีเนื้อหนังคล้ายคลึงกับนายท่านเท่านั้น แท้จริงนั้นห่างชั้นกันราวพยับเมฆและโคลนตม

แต่ตอนนี้ เขาไม่คิดเช่นนั้นแล้ว

เขามองเห็นลักษณะท่าทางของนายท่านจากร่างสวี่ชิง

ดังนั้น เขาจึงเอ่ยเสียงแผ่ว

“สวี่ชิง ก่อนหน้านี้เจ้าถามชื่อกับตัวตนของข้า ข้าตอนนี้จะบอกกับเจ้า”

ปลัดเขตปกครองดวงตาฉายแววระลึกถึงความทรงจำ

“ข้าคือเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทรแห่งรัฐม่วงคราม ไป๋เซียวจัว”

“ข้า เมื่อหมื่นปีก่อนเป็นเจ้าเขตปกครองที่นี่ ที่เดิมทีเป็นของข้า”

เมื่อเอื้อนเอ่ยออกมา จิตใจของผู้คนเขตปกครองผนึกสมุทรสั่นสะท้าน ต่างมีรอยแตกร้าว สายตาสวี่ชิงจ้องเขม็ง

ชื่อแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ถูกแก้ไขหลังจากที่ต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์กบฏเผ่ามนุษย์ ก่อนหน้านั้นชื่อของมันคือแดนใหญ่ม่วงคราม และในช่วงของจักรพรรดิมนุษย์จิ้งอวิ๋นที่เก่าแก่ยิ่งกว่า ที่นี่มีชื่อว่ารัฐม่วงคราม

รัฐนี้จักรพรรดิอ่อนแอ องค์รัชทายาทปกครองแคว้น

เขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนั้น ก็มีชื่อว่าเขตปกครองผนึกสมุทรเช่นกัน

ศักราชม่วงครามปีที่เก้าพันสามร้อยสิบห้า ฤดูใบไม้ร่วง องค์รัชทายาทดับสูญที่ทวีปทักษิณ

ปีเดียวกัน รัฐม่วงครามล่มสลาย

ไป๋เซียวจัว ลูกศิษย์องค์รัชทายาท เจ้าเขตปกครองคนสุดท้ายของเขตปกครองผนึกสมุทร ยิ้มฝืดเฝื่อน เห็นผู้บำเพ็ญทั้งเขตปกครองแตกดับต่อหน้าต่อตา เขาร้องไห้เป็นสายเลือด เหลือใบหน้าเพียงครึ่งเดียว เฉกเช่นเสี้ยวหน้าเทพเจ้า

ก่อนที่จะตายได้กล่าวไว้ว่า

“ข้าจะติดตามองค์รัชทายาทไป และจะตื่นขึ้นก่อนองค์รัชทายาทพันปี เพื่อคุ้มครองเขา”

……………

[1] ขนหงส์เขากิเลน หมายถึง ล้ำค่าและหายาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version