Skip to content

Outside Of Time 537

บทที่ 537 เหยียบขวากหนามให้เตียน เดินไปสู่บัลลังก์!

จิตเทพจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ดังก้องไปทั้งโลกวิญญาณบรรพกาลราวกับสายอัสนี ราวกับเป็นเสียงคำราม

ไม่ใช่แค่หูเท่านั้นที่ได้ยิน จิตใจสัมผัสได้ กระทั่งวิญญาณก็ยังสั่นสะท้านด้วยจิตเทพนี้ตามสัญชาตญาณ

นั่นคือความสั่นสะเทือนสยบระดับถึงแก่ชีวิต นั่นคือความทรมานของกายทิพย์

นิ้วเทพเจ้า แข็งค้างไปทันที

ความหวาดกลัวปะทุขึ้นมาราวกับกระแสน้ำขึ้น กลายเป็นความโศกเศร้าและขุ่นเคือง ทับถมจิตใจจนเต็มเปี่ยม

ร่างไม่สมประกอบของสวี่ชิงก็สั่นสะท้านขณะที่จิตเทพนี้เพ่งเล็ง

แม้ร่างกายเขาจะไม่ธรรมดา ก็ยังแตกสลายอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บลุกลามไม่หยุด พลังเทพที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่อาจบรรเทาได้นานนัก

แต่ตอนนี้สวี่ชิงไม่มีเวลาสนใจอาการบาดเจ็บ เขาพยายามทำให้ตนสงบลง

เขารู้ดีว่าตอนนี้ ตนเองจะยั่วโทสะของอีกฝ่ายไม่ได้

แต่ไม่รอให้สวี่ชิงเอ่ยปาก จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็หมดความอดทน ระหว่างที่จิตเทพส่งเสียงครืนครันท้องฟ้าก็ยิ่งมืดหม่น แม่น้ำยมโลกบนพื้นดินตีเกลียวอีกครั้ง เผยโครงกระดูกจำนวนมหาศาลออกมา น่าขนพองสยองเกล้า

พลังดึงดูดมหาศาลวูบหนึ่งปะทุขึ้นในพริบตา ราวกับมีคลื่นวนขนาดใหญ่แผ่มาทางสวี่ชิง ฉายแววละโมบและกระหายออกมา

ร่างสวี่ชิงสั่นเทิ้ม เนื้อหนังมังสาที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ถูกดูดไปในพริบตา กลิ่นอายแห่งชีวิตก็สลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างค่อยๆ เน่าเปื่อย

นิ้วเทพเจ้าในร่างก็ส่งเสียงกรีดร้อง จิตวิญญาณขององค์ท่านกระเจิดกระเจิงด้วยแรงดูดนี้ กลายเป็นปราณหมอกสีดำเส้นแล้วเส้นเล่า ถูกสูบออกไปจากทั่วร่างสวี่ชิง รวมกันบนท้องฟ้าเป็นภาพมายานิ้วมือ

ขั้นตอนนี้สำหรับนิ้วเทพเจ้า คือความเจ็บปวดแสนสาหัส ยิ่งมีความเศร้าโศกและขุ่นเคืองตลบอบอวล องค์ท่านคิดว่าอันที่จริงชีวิตนี้ของตนช่างอ้างว้างเสียเหลือเกิน

ทั้งๆ ที่ตนก็เป็นเทพเจ้า…

แต่กลับถูกชื่อหมู่กลืนกินร่างเดิม ร่างตนตอนนี้ก็ยากจะหลีกหนีการกลืนกินได้พ้น องค์ท่านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งๆ ที่อำนาจเทพของตนคือโชคร้าย แต่โชคร้ายกลับเอาแต่มาหาตนเองเสียอย่างนั้น

ดังนั้นองค์ท่านจึงคิดจะกระเสือกกระสนท่ามกลางความน่าสังเวช แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์ องค์ท่านตอนนี้ราวเหยื่อที่ถูกคาบไว้ ยิ่งดิ้นรน อีกฝ่ายก็ยิ่งคาบไว้แน่นขึ้น

หมอกวิญญาณเทพที่มากขึ้น พวยพุ่งออกมาจากร่างสวี่ชิงเรื่อยๆ

มองไกลๆ วิญญาณเทพเหล่านี้ลอยสูงขึ้น บิดเบี้ยวไปทั่วสารทิศ ทำให้ความว่างเปล่ารอบๆ ตัวสวี่ชิงเลือนราง

ยิ่งมีกลิ่นอายเทพเจ้าฟุ้งออกมาจากนิ้วเทพเจ้าที่เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นวัตถุจริงด้วย

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เป้าหมายที่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจะสูดรับไม่ใช่แค่นิ้วเทพเจ้าในร่างเขา แต่ยังรวมถึงพลังชีวิตและจิตวิญญาณของเขาด้วย

จากการที่อีกฝ่ายสูบออกไป ตนเองกำลังลดระดับจากกายทิพย์เทพเจ้าไปผู้บำเพ็ญอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับจิตมาดร้ายของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล สวี่ชิงไม่รู้สึกเกินคาดแต่อย่างไร

เดิมระหว่างเขากับจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ไม่ได้สนิทสนมกลมเกลียวอยู่แล้ว ท่าทีของอีกฝ่ายไม่มีทางเปลี่ยนไปด้วยอาหารชิ้นเดียวแน่นอน

นี่จึงเป็นสาเหตุที่หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ สวี่ชิงก็ไม่คิดจะใช้ยันต์ห้วงวิญญาณ

ผู้ที่ให้พยัคฆ์ไปกินหมาป่า ก็ประหนึ่งเดินอยู่ขอบเหว หากไม่ระวังเพียงก้าวเดียวก็จะต้องฝังร่างไว้ที่ก้นเหว

แต่ความจริงใจก่อนหน้า อย่างน้อยก็ยังได้โอกาสกล่าวอ้างถึงในตอนนี้

สวี่ชิงจึงเอ่ยเสียงราบเรียบ

“ฝ่าบาท ดอกเบี้ยก่อนหน้านี้ ยังไม่พึงพอใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลไม่สนใจ ราวกับตอนนี้ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ของว่างเหนือร่างสวี่ชิงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนเรื่องที่จะสูบพลังชีวิตของสวี่ชิงไปด้วย จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ไม่สนใจเช่นกัน นั่นเป็นแค่เมล็ดงาที่แต่งแต้มบนของว่าง ทำให้ของว่างหอมหวานขึ้น

เห็นเช่นนี้ นิ้วเทพเจ้าก็สิ้นหวังถึงที่สุด ขณะที่ร่างของมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพียงพริบตาก็จะถูกสูบออกมาจากร่างสวี่ชิงทั้งหมด เสียงไร้ระลอกคลื่นใดของสวี่ชิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ฝ่าบาท สิ่งที่พระองค์สูดรับตอนนี้ มิใช่ดอกเบี้ยงวดที่สอง แต่เป็นเครื่องมือที่ผู้เยาว์หยิบยืมมาจากพระองค์ชั่วคราว หากพระองค์นำกลับไป หลังจากนี้ก็อาจจะไม่มีดอกเบี้ยแล้ว”

คำกล่าวของสวี่ชิงเบื้องหน้าราววัวหินจมลงไปในมหาสมุทร[1] จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลไม่มีปฏิกิริยาใด แต่หลังจากกล่าวประโยคนนี้ออกมา ดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็มองไปทางสวี่ชิงอย่างประหลาดใจทันที

จิตมาดร้ายนับไม่ถ้วนที่มาจากทั่วทิศทางก็ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าในพริบตานี้ หมุนเวียนไม่หยุด แผ่ความกระหายออกมาเช่นกัน เจตนาการเลือกผู้ที่จะกลืนกินนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง

ทั้งหมดนี้กลายเป็นจิตมาดร้ายเข้มข้น แผ่ขยายไปในฟ้าดิน กลายเป็นแรงกดดันรุนแรง กดทับร่างสวี่ชิง

สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน จ้องดวงตายักษ์เขม็ง ไม่สนใจว่าร่างของตนเองจะแตกสลายอีกครั้ง ขณะที่เลือดสดหลั่งริน ร่างสามสิบกว่าจั้งแต่เดิมของเขาตอนนี้เหลือเท่ามนุษย์สามัญ บาดแผลนับไม่ถ้วน

“ฝ่าบาท ด้านนอกมีอาหารอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ยินดีถวายให้พระองค์ อาจจะมีแค่กระหม่อมผู้เดียวกระมัง

“หากพระองค์กลืนกินเครื่องมือที่กระหม่อมหยิบยืม ทั้งยังกลืนกระหม่อมไปด้วย เช่นนั้นดอกเบี้ยก็จะไม่มีอีกต่อไป”

แววตาสวี่ชิงใสกระจ่าง เขาไม่ได้พูดโกหก เขาแค่เปลี่ยนวิธีกล่าวเรื่องสิทธิ์ในการครอบครองนิ้วเทพเจ้าใหม่ เช่นนี้ก็จะทำให้การพูดคุยเจรจาของเขากับจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลราบรื่นยิ่งขึ้น

เขาเชื่อว่าตัวตนอย่างจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล สัมผัสถึงความจริงใจของตนได้

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ครั้งนี้หากไม่ใช่นิ้วเทพเจ้าลงมือในช่วงเวลาสำคัญ สวี่ชิงก็ไม่มีวิธีที่จะเข้าใกล้เสี้ยวหน้าของปลัดเขตปกครอง และส่งข้ามมาที่นี่ไม่ได้

ดังนั้น แรงดึงดูดที่มาจากแม่น้ำยมโลกก็หยุดลงพลัน

ในตอนนี้มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายที่ดังออกมาไม่หยุด เหมือนกำลังพยายามข่มใจ ส่วนความหิวโหยรวมถึงความละโมบที่แสดงออกมาก็ทำให้รู้สึกหนังศีรษะชาหนึบ

หลังจากที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ยินก็เกิดหวาดกลัวอย่างไม่รู้จบตามสัญชาตญาณ ความรู้สึกอย่างตนจะกลายเป็นอาหาร ใกล้จะถูกกลืนกิน

นิ้วเทพเจ้าที่เป็นวัตถุจริงแปดส่วนแล้วเหนือหัวสวี่ชิงก็เช่นกัน ขณะที่สิ้นหวังก็ได้ยินเสียงของสวี่ชิง องค์ท่านก็ตระหนักได้ว่าสวี่ชิงกำลังปกป้องตน ความรู้สึกกระวนกระวายที่แปรมาจากความตื่นเต้นและความตึงเครียดจึงไม่อาจพรรณนาได้

ความวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียที่เกิดจากความหวังและสิ้นหวังผสมปนเปกัน ก็โหมคลื่นลูกมหึมาขึ้นในจิตใต้สำนึกองค์ท่าน โถมทับความเกลียดชังที่มีต่อสวี่ชิง

เพราะองค์ท่านรู้ดีว่าตอนนี้ผู้ที่จะช่วยตนได้มีเพียงสวี่ชิงเท่านั้น

ดังนั้นองค์ท่านที่ลอยอยู่กลางอากาศ จึงรีบแผ่จิตเทพยอมรับออกมา

ดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจ้องสวี่ชิงเขม็ง

ฟ้าดิน ค่อยๆ เงียบสงัดลง

มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายรวมถึงสายลมที่แปรมาจากลมหายใจหนักหน่วง สะท้อนก้องอยู่ในที่แห่งนี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง แรงดึงดูดที่ปกคลุมร่างสวี่ชิงก็หายไป คลื่นวนในแม่น้ำยมโลกก็สลายไปเช่นกัน ขณะที่ฟ้าดินครืนครัน แม่น้ำยมโลกก็กลับมาหลั่งไหลเป็นปกติ

นิ้วเทพเจ้าที่ลอยอยู่เหนือศีรษะสวี่ชิง ก็ไม่ถูกพันธนาการแล้ว ลอยกลับเข้าไปในร่างสวี่ชิงด้วยร่างที่สั่นเทา

หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย องค์ท่านรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่ใจยังคงสั่นสะท้าน เนื่องจากร่างสวี่ชิงแตกสลาย ปราณเทพลดลง ทำให้องค์ท่านไม่มีโอกาสได้ก่อเรื่องสร้างปัญหา ยิ่งฉายแววเหนื่อยล้าเข้มข้นออกมา

ยากจะประคองอารมณ์ความตื่นตัวไว้ จิตสำนึกเริ่มเลือนราง

ขณะที่ถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้องค์ท่านรู้สึกว่าโลกภายนอกอันตรายอย่างยิ่ง ความรู้สึกนี้รุนแรงมาก จนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ฝังรากลึกในก้นบึ้งจิตใจ

องค์ท่านจึงอยากจะกลับไปที่ติงหนึ่งสามสองที่คุ้นเคยตามสัญชาตญาณ

บรรยากาศที่นั่นทำให้องค์ท่านรู้สึกสบายใจ ถึงอย่างไรองค์ท่านก็อยู่ที่เขตติงหนึ่งสามสองแทบจะทั้งชีวิต…

ที่นั่น องค์ท่านรู้สึกปลอดภัย สงบใจมาก จึงค่อยๆ หลับใหลไป

ขณะเดียวกัน จิตเทพของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ก็ดังไปทั่วทิศ

“ดอกเบี้ยงวดหน้า ข้าต้องการเทพไม่สมประกอบตนหนึ่ง!

“หากไม่ใช่เทพไม่สมประกอบ โลกนี้จะไม่เปิดให้เจ้าอีกต่อไป”

นอกจากจิตเทพที่สะท้อนก้อง วิญญาณนับพันหมื่นสายที่แยกตัวออกมาจากวิญญาณชั่วร้ายบนท้องฟ้ารวมกันเบื้องหน้าสวี่ชิง สุดท้ายถักทอออกมาเป็นป้ายชิ้นหนึ่ง

ซึ่งก็คือป้ายห้วงวิญญาณที่สวี่ชิงบีบแตกไปก่อนหน้านั่นเอง

“ตอนนี้ ออกไปได้แล้ว!”

จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลเอ่ยเสียงราบเรียบ ประตูคลื่นวนวงหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังสวี่ชิง

มองเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าจุดที่เชื่อมไปถึงคือหุบเหวเผ่าต้นไม้วิญญาณที่เขาเคยเข้ามาในตอนนั้น

สวี่ชิงมองคลื่นวน จากนั้นก็มองป้าย สุดท้ายก็เงยหน้ามองดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลที่ค่อยๆ ปิดลงอย่างประหลาดใจ

เดิมทีเขาคิดว่าครั้งนี้ต่อให้ตนออกไปได้ จะต้องถูกประทับตราอย่างรอยแผลเป็นหรือผนึกต้องห้ามเป็นแน่

แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรเลย

‘องค์ท่านรังเกียจที่ทำกับข้าเช่นนั้น ทั้งไม่กังวลว่าข้าจะอัญเชิญเทพเจ้าองค์อื่นมา…ผนวกกับที่ปลัดเขตปกครองล้มเหลวในการนำทางกาฬกาลกิณีก่อนหน้านี้ จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลตนนี้น่าจะซ่อนโลกวิญญาณบรรพกาลเอาไว้ลึกมาก’

สวี่ชิงครุ่นคิด มองไปรอบๆ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าบางทีที่ที่ตนอยู่ตอนนี้ อาจจะไม่ใช่โลกวิญญาณบรรพกาลในตอนนั้นก็ได้

โลกวิญญาณบรรพกาลที่แท้จริง เกรงว่าจะไม่มีใครค้นพบอีกต่อไป

แต่ไม่ว่าอย่างไร สวี่ชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความเด็ดขาดของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลในฐานะผู้รวมต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งในอดีตได้ จึงก้มหน้าลงคารวะ สองมือรับป้าย หันหลังเดินเข้าไปในคลื่นวน

พริบตาที่เขาก้าวเข้าไปในคลื่นวน จิตเทพของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ดังก้องขึ้นอีกครั้งอย่างน่าเกรงขาม

“เห็นแก่อาหารชั้นดีที่เจ้าส่งมา เผ่ามนุษย์ตัวน้อย ข้าขอเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง

“ตะเกียงชีวิตในร่างกายเจ้า แม้จะทำให้เจ้าโดดเด่นในระดับล่าง แต่พวกมันก็ยุ่งเหยิงซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่สายเลือดตัวเจ้าจะหลอมได้ ยิ่งไปกว่านั้นทุกๆ ดวงยังแฝงกรรมเอาไว้ ในอนาคตยากที่จะทำให้บริบูรณ์”

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า หันหน้าไปมองดวงตาขนาดยักษ์จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล

“ฝ่าบาทมีวิธีหลอมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ตอนที่เจ้าเอาอาหารที่ข้าต้องการมาให้ ข้าจะบอกเจ้า”

ดวงตายักษ์วิญญาณบรรพกาลสื่อจิตเทพมาอีกครั้ง จากนั้นก็หลับตาลง

สวี่ชิงพยักหน้า คล้ายครุ่นคิด ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่เคยพูดเรื่องเกี่ยวกับตะเกียงชีวิตไว้แล้ว ตอนนี้จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็กล่าวถึงสิ่งที่คล้ายๆ กัน

สวี่ชิงลังเลใจ คารวะไปทางดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล เดินเข้าไปในคลื่นวน

คลื่นวนส่งเสียงครืนครันดังไปทั้งสี่ทิศ พริบตาต่อมาจากการที่ร่างสวี่ชิงเดินเข้าไปในด้านในระยะหนึ่ง คลื่นวนนี้ก็สลายหายไปจากฟ้าดิน

จู่ๆ ทั้งโลกวิญญาณบรรพกาลก็เลือนรางหลังจากสวี่ชิงหายไป

จะพื้นดินก็ดี จะท้องฟ้าก็ดี วิญญาณร้ายรวมถึงโครงกระดูกทั้งหมด ทั้งแม่น้ำยมโลกสลายหายไปราวกับฟองอากาศ

สุดท้ายโลกทั้งใบ ก็รวมตัวกันเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง ร่วงหล่นลงมาในความว่างเปล่าที่มืดมิด ดำดิ่งลงไปในหุบเหววิญญาณที่ไร้จุดสิ้นสุด

กระทั่งผ่านสักพัก ที่ก้นหุบเหววิญญาณที่มืดมิด มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยปานดำและแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายก็ยื่นมารับไข่มุกเม็ดนี้อย่างไร้ซุ่มเสียง ใส่เข้าไปในปาก มีเสียงเคี้ยวดังออกมา

ครู่ต่อมาก็มีเสียงถอนหายใจอย่างพึงพอใจดังก้อง

“อร่อย

“หวังว่าครั้งหน้า เจ้าเด็กคนนั้นจะส่งอาหารที่อร่อยยิ่งกว่ามาให้ ส่วนร่างของเขาก็น่าอร่อยเช่นกัน…รอให้เขาเติบโตอีกสักหน่อย ก็กลืนกินได้แล้ว

“แล้วก็เจ้าจื่อชิงนั่น…ก็น่าสนใจ”

ตอนนี้ ในแท่นบูชาเผ่าต้นไม้วิญญาณ ก้นเหวส่วนลึกใต้ทางเข้าหุบเหววิญญาณนั้น บนหน้าผาที่สูงชันไร้ที่สิ้นสุด มีเงาร่างหนึ่งกำลังปีนขึ้นมาช้าๆ…

อาการบาดบาดเจ็บสาหัส ส่งผลกระทบกับความเร็วขากลับของสวี่ชิง แต่ความหวังที่จะหลุดพ้นจากความตาย ราวกับทำให้เขาเค้นแรงที่เหลือออกมาได้มากขึ้น

เขาเข้าใกล้ทางออกทีละนิด กลับโลกมนุษย์ทีละก้าว

เลือดสดไหลลงมาตามร่างกาย ซึมเข้าไปในหน้าผาหุบเหววิญญาณ กลายเป็นรอยเลือดลากเป็นทาง

สวี่ชิงกัดฟัน ขณะที่ด้านล่างหุบเหวแผ่แรงดึงดูดออกมา ก็ปีนป่ายสุดกำลัง แต่ใช่ว่าหลายๆ เรื่องที่เราไม่อยากประสบจะไม่ปรากฏขึ้น ใช่ว่าจะสยบลงได้เพียงเพราะยินยอมพร้อมใจ

ดังนั้นจิตสำนึกของสวี่ชิง จึงค่อยๆ ดับไปอย่างควบคุมไม่ได้

ต่อให้เขาไม่อยาก แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจรวมถึงความอ่อนแอของร่างกาย ก็ราวกับกระแสน้ำค่อยๆ เพิ่มขึ้นในทะเลความรู้สึก ท่วมทับโลกทั้งใบ

เบื้องหน้าสวี่ชิงเลือนราง ความมืดเริ่มรุกล้ำทุกสิ่งของเขาเงียบๆ จนขณะที่ไม่ชัดเจน เขาเหมือนจะเห็นร่างเงาสีขาวร่างหนึ่ง พุ่งมาอย่างรวดเร็วจากทางออกด้านบน

ณ เขตปกครองผนึกสมุทร

พริบตาที่ไป๋เซียวจัวตาย ภูเขาแม่น้ำที่โผล่ขึ้นมาจากการกลับมาของห้วงบรรพกาลในมณฑลต่างๆ ก็สั่นไหวพร้อมกัน

หลังจากที่ม่านฟ้าลำดับสองสลายหายไป เดิมพวกมันก็กำลังทรุดตัว แต่เหมือนยังมีเจตจำนงหนึ่งค้ำจุนไว้ จึงไม่ได้ถล่มทลายลงจนสิ้น

แต่ระหว่างที่ส่งเสียงครืนครัน ในที่สุดภูเขาแม่น้ำห้วงบรรพกาลเหล่านี้ก็พังถล่มลงมา แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

ขณะที่ทรุดลงมาทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่นธุลี ลอยคละคลุ้งราวกับกาลเวลานับหมื่นปีที่ประเดี๋ยวเดียวก็ไหลผ่านไป

ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นแจ่มใส พื้นดินค่อยๆ กลับคืนมา

เพียงแต่ทอดสายตามองไป ก็ยังเห็นความพังพินาศทั่วทุกหนแห่ง

ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่จากการต่อสู้ครั้งนี้ กระจัดกระจายไปทั่วเขตปกครองผนึกสมุทร น่าสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง

ต่างเผ่าที่ตายไปยิ่งเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะแคว้นเล็กและสำนักเล็กของเผ่ามนุษย์ กวาดล้างไปนับไม่ถ้วน

สงครามก่อนหน้านี้ เดิมก็ทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรสูญเสียครั้งใหญ่มโหฬาร ตอนนี้หายนะจากการเปลี่ยนไปของปลัดเขตปกครองเข้ามาอีก ทำให้ผนึกสมุทรที่อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูเผชิญกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

ชั่วขณะหนึ่ง ที่ผู้คนในมณฑลต่างๆ กำลังอึ้งตะลึง มีผู้เสียชีวิตมากมายที่ไม่รู้กระทั่งสาเหตุของหายนะนี้ด้วยซ้ำ

การไว้อาลัยและหยาดน้ำตา ปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน

ส่วนเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทรซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ก็เช่นเดียวกัน

ความโศกเศร้าอบอวลทั่วเมืองหลวง แม้สายอัสนีบนฟากฟ้าที่ฟาดลงมาบนพื้นกับฝนเลือดจะสร่างซา ทว่าความเศร้าโศกยิ่งมากขึ้น

ม่านราตรีและจันทร์กระจ่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า จับตาดูทุกสรรพสิ่งอย่างเงียบงัน

ภายใต้การจับจ้องนี้ หุ่นเชิดร่างทดสอบเทพเจ้าสองตัวที่อยู่กลางอากาศเหนือแท่นพิธี ในร่างกายส่งเสียงปริแตกออกมา ลงมือช้าลง กลิ่นอายค่อยๆ จางหายไป

การตายของปลัดเขตปกครอง ทำให้พวกมันสูญเสียพลังต้นกำเนิด จึงลืมตาทั้งสองขึ้น ขณะที่ค่อยๆ ปิดลง ก็เห็นว่าสูญเสียกลิ่นอายทั้งหมดไป

“ปลัดเขตปกครองก่อความไม่สงบ ทำลายผนึกสมุทรของข้า เรื่องนี้ฟ้าดินขุ่นเคือง อภัยให้ไม่ได้!

“ผู้บำเพ็ญทั้งหมดฟังคำสั่ง สยบความวุ่นวายทั้งหมดของจวนปลัดเขตปกครอง คืนฟ้าใสให้ฟ้าดินเขตปกครองผนึกสมุทร!”

ผู้บัญชาการรอบตัวเขาเหล่านั้นก็ลอยกลางอากาศตามเสียงกึกก้องขององค์ชายเจ็ด ส่วนตนเองก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ตรงไปยังหุ่นเชิดที่กลิ่นอายใกล้จะจางหายไปจนหมดทั้งสองตัวนั้น

รวดเร็วยิ่ง พริบตานั้น ผู้บัญชาการนับสิบก็เข้าประชิด เสียงที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินดังก้องไปทั้งชั้นเมฆ

องค์ชายเจ็ดกล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่ง ราวกับโทสะที่สะสมไว้เนิ่นนานระเบิดออกมา ส่งเสียงครืนครันไปหาหุ่นเชิดตัวหนึ่ง

เพราะโถมเข้าใส่สุดกำลัง จึงจำแลงร่างเงามายาใหญ่โตออกมาระหว่างฟ้าดิน ทำให้คนธรรมดาในเมืองหลวงเขตปกครองตอนนี้เห็นอย่างชัดเจน

การลงมือของผู้บัญชาการเขายิ่งราวกับสายฟ้าฟาด ดังนั้นไม่นานนักหุ่นเชิดสองตัววนั้นก็ไร้ซึ่งกำลังรบ ตกลงสู่พื้นดิน กลิ่นอายจางหายไปจนหมดสิ้น

ขณะเดียวกัน ร่างจำแลงองค์ชายเจ็ดก็อ้าแขนทั้งสองข้าง ทานรับฝนเลือดที่โปรยปรายลงมาในเมืองหลวงเขตปกครอง

เมื่อหยาดฝนเลือดหลั่งรินลงบนร่างเขา ก็กลายเป็นรอยกัดกร่อนเป็นทางๆ แต่ถึงอย่างไรองค์ชายเจ็ดก็ใช้ร่างกายต้านทาน จึงไม่โปรยปรายลงมาอีก และสุดท้ายท่ามกลางเสียงคำรามของมังกรทองบนฟากฟ้า ฝนเลือดก็หยุดลง

ขณะเดียวกัน ทหารนับสิบล้านคนนอกเมืองหลวงเขตปกครอง ก็ลอยขึ้นมา

แต่ละคนกางวิชาเวท กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ ขับไอพลังประหลาดในที่แห่งนี้ออกไป

องค์ชายเจ็ดก็ซื่อสัตย์จริงใจ ออกคำสั่งให้เหล่าทหารทั้งหมดกระจายกำลังไปทั่วเมืองหลวงเขตปกครอง ช่วยเหลือคนธรรมดา

ด้วยคำสั่งของเขา คนธรรมดานับไม่ถ้วนถูกช่วยชีวิตกลับมาในตอนที่เกือบจะกลายพันธุ์ ส่วนไอพลังประหลาดในเมืองหลวงเขตปกครองก็เริ่มสลายหายไปเป็นวงกว้าง

บางครั้ง ยังมีเสียงโห่ร้องสรรเสริญอย่างตื่นเต้น มาพร้อมกับความซาบซึ้งในพระมหากรุณาขององค์ชายเจ็ดมาจากทั้งแปดทิศบ้างประปราย…

ทว่า ไม่ใช่ทุกคนที่กลายเป็นคนตาบอด กลายเป็นคนหูหนวก กลายเป็นคนโง่ที่จะถูกชักจูงไปตามใจชอบ ดังนั้นเสียงโห่ร้องจึงไม่ได้ดังมากนัก แต่คนส่วนใหญ่ล้วนกำลังนิ่งงัน

โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญสามวังนับแสนคนรอบๆ แท่นพิธี พวกเขาทุกคนมองการกระทำขององค์ชายเจ็ดอย่างเย็นชา ในสายตาพวกเขาแฝงความผิดหวัง แฝงความโกรธเคือง และแฝงความเย้ยหยัน

และความขื่นขม

บางคน คิดถึงเจ้าวัง

บางคน คิดถึงหลังจากที่เจ้าวังตาย คำไว้อาลัยเพียงประโยคเดียวคือจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่

ส่วนคุณูปการทั้งหมด เกียรติยศทั้งหมดกลายเป็นรัศมีให้องค์ชายเจ็ดอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

ตอนนี้ ราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้าวังครองกระบี่ในครั้งนั้น กำลังฉายซ้ำไปซ้ำมา

เพราะ คนที่รู้ความจริงมีเพียงพวกเขา และคำกล่าวของเพียงแสนคน หากทอดมองไปทั้งเขตปกครอง ทอดมองไปทั้งเผ่ามนุษย์ ก็เป็นเพียงแค่คลื่นลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งเท่านั้น

ส่วนคนธรรมดา อุปสรรคในด้านความรู้ความเข้าใจจะทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบได้ง่าย นอกจากนี้เดิมนิสัยมนุษย์ ก็ขี้หลงขี้ลืมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ไม่นานนัก พวกเขาก็จะลืมเลือนเรื่องนี้ไปตามสัญชาตญาณเอง ถูกสิ่งใหม่ๆ ดึงดูดความสนใจ

แค่องค์ชายเจ็ดใช้ลูกกลอนแก่นแท้มาเป็นจุดสำคัญดึงดูดใจ เช่นนั้นเขาก็จะแก้ไขจุดบกพร่องทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรเมื่อเทียบกับความชั่วร้ายของปลัดเขตปกครอง พิษของลูกกลอนแก่นแท้ต่างหาก ที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน

ส่วนด้านนอกเมืองหลวงเขตปกครอง เหล่าคนที่ยังไม่รู้ความจริงเหล่านั้น ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบได้ง่าย สิ่งที่พวกเขาจะได้ยินไปตลอดกาล คือคำตอบอีกคำตอบหนึ่ง

โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดที่เพิ่งจะบุกเบิกขยายอาณาเขต เป็นผู้นำที่ทำให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ล่าถอย และเคยกอบกู้วิกฤตของเขตปกครองผนึกสมุทร มีคุณูปการชนิดไม่มีใครเทียบเคียงได้

รัศมีของเขาประหนึ่งร่างที่ห่อหุ้มด้วยทองคำ ดังนั้นคำพูดของเขา จึงมีผู้คนเชื่อถือมากกว่า

นานวันเข้า ใจคนก็จะถูกคลื่นลูกใหญ่ชะล้างช้าๆ จวบจนฝังกลบไว้ที่มุมหนึ่งของประวัติศาสตร์ ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

เว้นเสียแต่ สวี่ชิงยังมีชีวิตอยู่ และกลับมาทันที!

ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณค่าก็จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่ใจคนไม่สั่นไหวก็จะมีจุดที่มาบรรจบกัน ดวงชะตามีที่ให้กลับมารวมเป็นหนึ่ง ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม

แต่ความเป็นไปได้นี้ ในความรู้ความเข้าใจของผู้คนนั้นน้อยมาก

บนท้องฟ้า โหวเหยามองทุกอย่าง หลับตาลง ลอบถอนหายใจ

เขารู้ดีว่า การมีอยู่ของตนอยู่ที่องค์ชายเจ็ดทางนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วงชิงผลของความพยายามทั้งหมดมา

เพราะอย่างไรองค์ชายเจ็ดก็ช่วยเหลือเขาไว้ และเดินออกมาจากในกลุ่มผู้บัญชาการขององค์ชายเจ็ด

รองเจ้าวังทั้งสาม ทำได้เพียงเงียบนิ่ง

ชิงฉินร้องขึ้นอย่างเศร้าโศก ไร้ซึ่งกำลัง

ร่างของนายท่านเจ็ดร่อนลงมา ยืนอยู่ข้างกายศิษย์คนโตของตน

นายกองจะเอ่ยปาก นายท่านเจ็ดส่ายหัว เอ่ยเสียงราบเรียบ

“รอก่อน!”

“ก่อนที่สวี่ชิงจะออกไปวันนี้ เคยกล่าวกับข้าว่าเขารู้วิธีสลายพิษให้ผู้ที่กินลูกกลอนแก่นแท้ ทำให้เผ่ามนุษย์ทั้งเขตปกครองรอดพ้นจากอันตรายของลูกกลอนแก่นแท้ได้!

“ข้าเคยกินลูกกลอนแก่นแท้ และมีผู้อื่นบอกวิธีสลายพิษ แต่ข้าไม่เชื่อ ข้าเชื่อแค่วิธีของสวี่ชิงที่ก้าวออกมาในวันนี้และเปิดโปงเรื่องทั้งหมด!”

คำพูดของนายท่านเจ็ดหลักแหลมอย่างยิ่ง ดังก้องไปทั้งเขตปกครอง เพียงพริบตาก็ชักนำจิตใจของเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วน ม่านตาขององค์ชายเจ็ดก็หดเล็กลง

ดวงตานายกองฉายประกายประหลาด แอบคิดว่าสมแล้วที่เป็นอาจารย์ ขิงยิ่งแก่ยิ่งแรง จึงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก

และเสียงของนายท่านเจ็ด ก็ทำให้คนนับแสนคนในที่แห่งนี้พากันมองไปทางเขา

ดวงตาโหวเหยาเปล่งประกาย สีหน้าชิงฉินก็มีความหวัง รองเจ้าวังทั้งสามเงยหน้ามองไปทางนายท่านเจ็ด

ที่นี่คนที่เข้าใจสวี่ชิงมากที่สุด ย่อมเป็นอาจารย์ของเขา

ดังนั้นคำพูดของนายท่านเจ็ดตอนนี้ จึงมีน้ำหนักมากกว่าในใจผู้บำเพ็ญนับแสนคน

โดยเฉพาะความหมายแฝงในนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีคนยังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง

บนท้องฟ้า องค์ชายเจ็ดสงบอารมณ์ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“พวกเจ้าไม่ชอบใจข้า!

“เรื่องในวันนี้ ที่พวกเจ้าเห็นคือข้าไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง แล้วข้าไม่ได้ลงมือหรือไร ข้าลงมือแล้ว!

“เหยาเทียนเยี่ยนคือผู้ที่ข้าช่วยชีวิตไว้ การปรากฏตัวของเขา ข้าไม่ได้ห้ามปราม ยอมรับการกระทำของเขาโดยปริยาย

“หากเหยาเทียนเยี่ยนไม่ได้อ้งหลักฐานในช่วงที่สำคัญที่สุด สวี่ชิงที่อาศัยความเลือดร้อนมีประโยชน์อันใด

“ฐานะของปลัดเขตปกครอง ข้าย่อมสืบค้นเบาะแสมาแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมข้าถึงช่วยโหวเทียนเหยาในตอนนั้น เดิมทีข้าจะรอให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ล่าถอยไปก่อน หลังจากสถานการณ์เผ่ามนุษย์มั่นคง ค่อยจัดการกับเรื่องนี้

“เพราะหลังจากที่ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์พลีชีพไปนับไม่ถ้วน ขณะที่สละวิญญาณวีรชนไปมากมาย ขณะที่จักรพรรรดิมนุษย์ใช้ดวงตะวันแห่งแสงอรุณอย่างสิ้นเปลืองถึงสร้างอำนาจขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก ข้าจึงปล่อยให้สูญหายไปตามกาลเวลาไม่ได้!

“ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ เวลานี้ คือเวลาที่พวกเราจะนำแผ่นดินกลับคืนมา แนวหลังพวกเราจะวุ่นวายมิได้เด็ดขาด!

“ดังนั้น ข้าจึงฝืนทน

“ส่วนพวกเจ้าที่ไม่รู้ว่าไป๋เซียวจัวแค่คนเดียว ไยจึงวางแผนการใหญ่ได้เพียงนี้ เบื้องหลังของเขาต้องมีผู้นำที่ล้ำลึกยิ่งกว่าเป็นแน่ หรือก็คือนายท่านที่เขาเอ่ยถึง!

“ดังนั้น หลังจากที่ข้ากระจ่างแจ้งทั้งหมดจึงเลือกที่จะรอ รอให้นายท่านของเขาปรากฏตัว และความเป็นไปได้อีกประการ ถ้าข้าไม่ลงมือ นายท่านของเขาก็จะไม่ลงมือ ข้า…คืออำนาจสยบอย่างหนึ่ง เป็นผู้รับรองพวกเจ้า!

“พวกเจ้าไม่เข้าใจและสงสัยได้ แต่จะปฏิเสธคุณค่าของข้า ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้”

ด้านล่างแท่นพิธี ผู้บำเพ็ญนับแสนคนล้วนเงียบนิ่ง ไม่มีผู้ใดสนใจ

องค์ชายเจ็ดถอนหายใจเบาๆ จากนั้นแววตาก็เด็ดขาด

“พวกเจ้ารอได้ แต่การบูรณะเขตปกครองผนึกสมุทรขึ้นใหม่และการฟื้นฟูเผ่ามนุษย์ของเมืองหลวงเขตปกครองนั้นรอไม่ได้ และการช่วยเหลือเผ่ามนุษย์อีกนับล้านคนยิ่งรอไม่ได้!

“ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ที่ต่างเผ่าจะสร้างความวุ่นวาย ครอบครัวของพวกเจ้า สำนักพวกเจ้าสังกัด บ้านเกิดของพวกเจ้า กำลังตกอยู่ในอันตราย

“พวกเจ้าติดตามกองทัพใหญ่เมืองหลวง ไปยังมณฑลต่างๆ ของผนึกสมุทรทันที สยบความวุ่นวายทั้งหมด ช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ทั้งหมดที่ประสบภัย นี่คือหน้าที่ของพวกเจ้า!”

ด้านล่างแท่นพิธี ผู้บำเพ็ญแต่ละคนนับแสนสีหน้าซับซ้อน สิ่งที่องค์ชายเจ็ดตรัสไม่ผิด พวกเขาไม่มีข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย นี่เป็นหน้าที่ของพวกเขาจริงๆ

แต่หากแยกย้าย ก็แยกย้ายจริงๆ

ใช่ว่ารวมตัวกันใหม่ไม่ได้ แต่ต้องหลังจากนั้นอีกนาน และเมื่อถึงตอนนั้น ทุกอย่างอาจจะถูกเปลี่ยนแปลง ดำอาจกลายเป็นขาวได้

การกระจายตัว ก็คือดาบเล่มหนึ่ง

รองเจ้าวังทั้งสามสีหน้ามืดครึ้ม โหวเหยาถอนหายใจ กำลังจะเอ่ยปาก แต่พริบตาต่อมาก็หันหน้ามองออกไปไกลๆ ทันที

นายท่านเจ็ดร่างสั่นเทิ้ม พลันหันหน้าไปมองที่ไกลๆ

นายกองก็เช่นกัน ลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย แววตาเปล่งประกายสีน้ำเงิน สีหน้าฉายแววยินดี

ยิ่งชิงฉิน ก็แผดเสียงอย่างตื่นเต้นบนท้องฟ้า

“แกว๊ก!”

บนพื้นดิน ผู้บำเพ็ญนับแสนคนล้วนสังเกตเห็น

องค์ชายเจ็ดขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่อาจสังเกตได้ มองฟ้าดินที่ไกลออกไป

สายรุ้งยาวสายหนึ่ง เวลานี้หวีดหวิวมาทางเมืองหลวงเขตปกครองอย่างรวดเร็ว

ความเร็วนี้ ไม่ใช่ระดับก่อกำเนิดลวง แต่เป็นความเร็วของหวนสู่อนัตตา

มองออกว่า ผู้ที่มีความเร็วน่าตกตะลึงเช่นนี้คือคนในเผ่าต้นไม้วิญญาณขนาดยักษ์ร่างหนึ่ง

และบนบ่าของเขา มีร่างในชุดคลุมเปื้อนเลือดร่างหนึ่งยืนอย่าสง่าผ่าเผยอยู่

ลมพัดชุดนักพรตโบกสะบัดไปตามสายลม สายตาเด็ดเดี่ยว แฝงแม่น้ำดาราเอาไว้ หน้าตาหล่อเหลา ฟ้าดินไร้สีสัน

สวี่ชิงนั่นเอง

มีงูขาวตัวเล็กตัวหนึ่งพันเกี่ยวอยู่ที่มือขวา กำลังมองมาทางเมืองหลวงเขตปกครองอย่างอยากรู้อยากเห็น

การปรากฏตัวของเขา ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งเมืองหลวงเขตปกครองตื่นเต้นขึ้นมาทันที ส่งเสียงโห่ร้อง คลื่นเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ครืนครันไปทั้งแปดทิศ ฟ้าดินแซ่ซ้องพร้อมกัน

บนม่านฟ้า มังกรทองสี่กรงเล็บตัวนั้นก็ร้องคำรามเช่นกัน ร่างแผ่แสงสีทองสนับสนุนสวี่ชิง ยิ่งพ่นเมฆหมอก ทำให้ฟ้าดินพร่างพราย ทำให้เผ่ามนุษย์ทั้งหมดในเมืองหลวงเขตปกครองเห็นได้อย่างชัดเจน

นี่เป็นครั้งแรกที่มันแผ่นิมิตมงคลให้กับเผ่ามนุษย์คนอื่นนอกจากบุตรจักรพรรดิ

ดังนั้น ในเมืองหลวงเขตปกครองจึงยิ่งโห่ร้องดังขึ้น กึกก้องไปทั้งชั้นฟ้า ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งกว่าครั้งที่องค์ชายเจ็ดได้รับชัยชนะจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลับมาหลังเจ้าวังสู้จนตัวตายเสียอีก คลื่นเสียงทำให้ฟ้าดินโหมคลื่นลูกมหึมาขึ้น

รูปปั้นจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวกำลังสั่นสะเทือน

ตอนนั้นสวี่ชิงที่อยู่ท่ามกลางทหารนับหมื่นคน เงยหน้ามององค์ชายเจ็ดที่ผู้คนแซ่ซ้องสรรเสริญในเมืองหลวงเขตปกครอง ทำได้เพียงเงียบนิ่ง

วันนี้ องค์ชายเจ็ดมองสวี่ชิงที่ได้รับเสียงโห่ร้องยินดีต้อนรับขับสู้ที่กลับมาจากทั้งเมืองหลวงเขตปกครองบนแท่นพิธีเหนือเหล่าผู้บำเพ็ญ ทำได้เพียงเงียบนิ่งเช่นกัน

ยิ่งมีดวงชะตาไม่จบไม่สิ้น ลอยขึ้นมาจากทั้งแปดทิศ พุ่งไปรวมกันที่สวี่ชิง

ระหว่างที่เขาลอยมา ก็รวมกันที่เหนือศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว จำแลงเป็นสิ่งที่คนนับล้านมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…

กวานนั่นเอง!

……………

[1] วัวหินจมลงไปในมหาสมุทร (石牛入海) เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าเมื่อจากไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version