บทที่ 548 ผู้ใดแตะเกล็ดย้อนมังกรของผนึกสมุทร ต้องตาย!
ในบริเวณต้นสิบลำไส้ เวลานี้จันทร์กระจ่างสูงเด่นแทบจะแปลกแยกจากม่านฟ้ามืดมิดรอบๆ อย่างชัดเจน
เพียงแต่บางครั้งที่เมฆหมอกลอยผ่านดวงจันทร์ ก็ค่อยๆ ทำให้ความแตกต่างของทั้งสองดูเลือนรางเล็กน้อย
เฉกเช่นคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่ในงานเลี้ยงวังหลวงตอนนี้
คลื่นใต้น้ำนี้ ทำให้สายธารระหว่างเขตปกครองผนึกสมุทรกับแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์เริ่มขุ่นมัว
เพราะบางคำพูด หากสวี่ชิงกับข่งเสียงหลงกล่าวออกไปจะสมเหตุสมผล พวกเขาผ่านสนามรบ เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของเขตปกครองผนึกสมุทร พวกเขาคือประจักษ์พยาน
แต่สิ่งที่จางฝานคนนี้กล่าว ไม่สมควรแก่เวลาเลย
แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนเขตปกครองผนึกสมุทร แต่ไม่ได้เห็นเรื่องราวทุกอย่าง เหมือนเป็นคนนอกที่เอ่ยเรื่องความเจ็บปวดของคนอื่นอย่างปวดร้าว ทั้งเหมือนรู้สึกถึงได้อย่างลึกซึ้ง ทำเหมือนมีศัตรูคู่แค้นร่วมกันเสียอย่างนั้น
จงใจเกินไปแล้ว
และเห็นได้ชัดว่า การดำเนินไปของเรื่องราวแต่เดิม อาจจะไม่ได้ต้องจงใจเช่นนี้
แต่เพราะการยกระดับขอบเขตความรู้ของสวี่ชิง เขาจึงหยุดความโกรธแค้นของข่งเสียงหลง ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป ผู้ที่วางแผนก็เร่งออกอุบาย จึงต้องมีผู้ไม่เกี่ยวข้องปรากฏตัวขึ้นมาคนหนึ่งกล่าวคำพูดที่แต่เดิมควรจะเป็นของสวี่ชิงกับข่งเสียงหลงเช่นนี้
ดำเนินการไปตามทิศทางที่ผู้วางแผนคิดไว้ กวนให้ขุ่นต่อไป
ส่วนเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอะไรกับเขตปกครองผนึกสมุทรบ้าง เห็นได้ชัดว่าผู้ที่วางแผนผู้นั้นไม่ได้สนใจ
หัวหอกของทุกสิ่งอย่างนี้ ชัดเจนมากว่า…พุ่งเป้าไปที่องค์ชายเจ็ด
เช่นนั้น อันที่จริงก็เห็นคำตอบได้ง่ายมาก
ไม่เพียงแค่สวี่ชิงที่เข้าใจ อันที่จริงผู้ที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงนี้ ส่วนใหญ่ก็ทราบเรื่องนี้ดี
แม้ในคำพูดก่อนหน้านี้จะเป็นการสรรเสริญองค์ชายเจ็ด แต่สิ่งที่เรียกว่าภาษา ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากจะทำความเข้าใจที่สุดในโลกนี้
คนที่เชื่อ ก็เท่ากับมอบสิทธิ์ให้กับผู้พูดไปแล้ว
ข่งเสียงหลงก็เช่นกัน แม้เขาจะรูปร่างสูงใหญ่ ดูเป็นคนสะเพร่า ทว่าความจริงแล้วก็เป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ เพียงแต่ยังต้องฝึกฝน ดังนั้นเมื่อครู่จึงยังไม่ทันรู้สึกตัวในตอนแรก
ตอนนี้เมื่อทราบสถานการณ์ รู้ว่าเขตปกครองผนึกสมุทรถูกใช้เป็นดาบทดสอบองค์ชายเจ็ด ก็ไม่อยากเข้าร่วมด้วย
ถึงอย่างไร เขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนี้ต้องการความมั่นคง นี่เป็นข้อแรก ข้อที่สองคือการแข่งเดินหมากในราชวงศ์ อาจนองเลือดไม่จบสิ้น หรืออาจเปลี่ยนจากทำสงครามเป็นสันติภาพได้เช่นกัน และพวกที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ก็มักจะมีจุดจบไม่สวยนัก
ตอนแรกเป็นการถ่วงดุล ครู่ต่อมาอาจกลายเป็นหมากที่ถูกทิ้ง
และการกระทำที่ไม่สนใจ เตรียมออกจากที่นี่ของทั้งสอง ทำให้ในใจผู้คนในงานเลี้ยงต่างแปลกใจ
แววตาเมิ่งอวิ๋นไป๋ฉายแววล้ำลึก คลี่ยิ้มออกมา
องค์หญิงอันไห่สีหน้าไร้อารมณ์
องค์ชายเจ็ดหยิบจอกสุราขึ้นดื่มไป สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ส่วนดวงตาของจางฉีฝานมีประกายที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้แม้แต่น้อยพาดผ่าน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยโทสะ สะบัดแขนเสื้อ จะเดินออกไปด้วยเช่นกัน
แต่พริบตาต่อมา หลัวจิ้งซงที่นิสัยตรงไปตรงมาท่านนั้น ดวงตาจ้องเขม็ง ทำท่าทางอย่างคนไร้การศึกษา คอแดงจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา
เขาลุกขึ้นยืนพลัน คลื่นพลังปราณก่อกำเนิดปะทุออกมา กลายเป็นพายุคลั่ง ด้านหลังจำแลงภาพมายาขนาดยักษ์ออกมาร่างหนึ่ง สวมชุดเกราะสงคราม พริบตาที่ปรากฏ ปราณพิฆาตพวยพุ่ง
บนชุดเกราะนั้น ตราประทับสิบสองตราที่คล้ายเทวรูป ทุกตราประทับล้วนเป็นใบหน้าของหลัวจิ้งซง
ทั้งคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากใบหน้าทุกดวงแฝงอายุขัยสวรรค์เอาไว้ ผ่านทัณฑ์สวรรค์มาแล้วหนึ่งครั้ง
ตอนนี้เจตนาร้ายแผ่ซ่าน เขาก้าวออกมาก้าวหนึ่ง พุ่งไปทางจางฉีฝานด้วยความเร็วดุจสายอัสนี
“บังอาจ!”
ขณะที่คำรามกราดเกรี้ยว หลัวจิ้งซงลงมือ จางฉีฝานหันหน้าแผ่จิตสังหารออกมาเช่นกัน ยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ชักกระบี่ยาวสีเลือดเล่มหนึ่งออกมา ส่วนมือซ้ายทำปางมือกดไปที่หน้าผาก
ชั่วพริบตา ปราณปีศาจวูบหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากร่างเขา แผ่นหลังมีปีกงอกออกมา ร่างกายแห้งเหี่ยวลงราวกับโครงกระดูก เขาจับกระบี่เลือดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม เข้าปะทะกับหลัวจิ้งซง
ยิ่งพริบตานี้ จู่ๆ ก็มีคนสามคนพุ่งออกมากลุ่มคนในงานเลี้ยง รวดเร็วจนกลายเป็นภาพคงค้าง พุ่งเข้าหาจางฉีฝาน
ด้วยสถานการณ์สี่ต่อหนึ่ง เดิมไม่มีอะไรต้องกังวล เพียงพริบตาจางฉีฝานก็กระอักเลือด กระบี่เลือดในมือแตกละเอียด ร่างโซซัดโซเซถอยไปอยู่ข้างๆ สวี่ชิงและข่งเสียงหลง
ข่งเสียงหลงขมวดคิ้ว สวี่ชิงสีหน้าเรียบเฉย ไม่สนใจ เดินออกไปด้านนอก เขารู้สึกว่านี่เป็นละครฉากหนึ่ง เป็นเล่ห์กลของผู้วางแผนซึ่งหยาบมาก
ตอนนี้เอง หลัวจิ้งซงที่ปราณพิฆาตทั่วร่าง ก็แค่นหัวเราะเย็นชา
“ถึงข่งเลี่ยงซิวจะเหมือนมีคุณูปการไม่น้อย แต่ที่ผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาหุนหันพลันแล่น ละโมบอยากได้คุณูปการ หากใจเย็นสักหน่อย อดทนอีกสักหนึ่งก้านธูป กองกำลังสนับสนุนขององค์ชายเจ็ดก็มาถึงแล้วมิใช่หรือ
“ความตายของเขา โทษผู้อื่นไม่ได้!”
เมื่อหลัวจิ้งซงกล่าวออกมา สวี่ชิงที่เดิมจะจากไปก็ชะงักฝีเท้า สายตาพลันเย็นเยียบ ข่งเสียงหลงที่อยู่ข้างๆ โมโหโกรธาจนผมตั้งค้ำหมวก หันหน้ามาทันที จ้องไปที่หลัวจิ้งซงเขม็ง
“มารดามันเถอะ วาจาเหลวไหล!”
ข่งเสียงหลงไม่อาจทานทน เรื่องทำให้เสียเกียรติเช่นนี้มาถึงขั้นที่ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป ดังนั้นขณะที่ตวาดเสียงต่ำ ข่งเสียงหลงก็หยิบกระบี่อาญาสิทธิ์ออกมาส่งสื่อเสียง จากนั้นก็เดินออกไป
ทว่ามือของสวี่ชิง ก็จับไปที่บ่าของข่งเสียงหลง
ตอนนี้ข่งเสียงหลงอยู่ในช่วงบ่มเพาะก่อกำเนิดลวง อีกหลายเดือนถึงจะทะลวงขั้น จึงไม่ควรปะทะกับปราณก่อกำเนิดหนึ่งทัณฑ์สวรรค์อย่างหลัวจิ้งซง
พริบตาที่จับข่งเสียงหลงไว้ สวี่ชิงก็ก้าวออกไปปรากฏตัวเบื้องหน้าหลัวจิ้งซงที่กลิ่นอายแข็งแกร่งทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
ดวงตาเขาฉายประกายเย็นเยียบ ชื่อและเกียรติยศของเจ้าวังจะด่างพร้อยไม่ได้ นี่คือขีดจำกัดของเขา และเป็นเกล็ดย้อนมังกรของเขตปกครองผนึกสมุทร
ผู้ใดก็ตามที่ล้ำเส้น จะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน
ไม่ว่าฐานะอีกฝ่ายจะเป็นลูกหลานโหวนภาหรือไม่ แต่เวลานี้สวี่ชิงอยากจะฆ่ามันผู้นั้นขึ้นมาแล้ว
เขาไม่อยากลอบสังหารหลังจากนี้ เพราะแม้บางเรื่องต้องแอบลงมือในที่ลับ แต่บางเหตุผลก็ต้องแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอย่างตรงไปตรงมา
ทว่าสวี่ชิงรู้ หากจะสังหารคนที่นี่มีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบสู้รีบจบ
จึงยกมือขวาขึ้น ซัดหมัดไปที่หน้าอกหลัวจิ้งซง
หลัวจิ้งซงดวงตาแข็งค้าง ความเร็วของสวี่ชิงทำให้เขาหวาดผวา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้เขายิ่งระแวดระวัง แต่เขาไม่ขลาดกลัวแม้แต่น้อย ระหว่างที่ยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ระเบิดเลือดลมทั่วร่างก่อปราณหมอกสีเลือดพุ่งเข้าไปในภาพมายาด้านหลัง
ปราณพิฆาตทั่วร่างเขาพลันก็เข้มข้นขึ้น กล้ามเนื้อปูดโปนไปทั้งร่าง เส้นเลือดดำนับไม่ถ้วนปูดโปนขึ้นมาอย่างดุดัน
พรสวรรค์สายเลือดของเขา สนับสนุนกายเนื้อให้เขา
ตอนนี้ร่างกายเขาขยายใหญ่ขึ้นเกือบสองจั้งจากการที่ระเบิดเลือดลม ท่อนแขนหนาเท่ากับเอวของสวี่ชิง คว้าไปที่แขนของสวี่ชิงที่ยื่นมา
ขณะเดียวกันก็ยกมือขวาขึ้นคว้าด้วยเช่นกัน คล้ายจะใช้สองมือจับให้มั่นกลายเป็นพลังฉีกทึ้ง
แต่พริบตาต่อมา สวี่ชิงยังคงสีหน้าราบเรียบ ร่างพลันเลือนรางเป็นกึ่งโปร่งแสง ปล่อยให้สองมือของหลัวจิ้งซงเข้ามาใหล้
คว้าอากาศไป!
ร่างของสวี่ชิงอยู่ในสภาวะพรางมารยา ทะลวงทะลุวัตถุได้ และไม่ลดความเร็วลงเลย ไหววูบพุ่งเข้าหาหลัวจิ้งซง
หลัวจิ้งซงหน้าเปลี่ยนสี รู้แก่ใจว่าแย่แล้ว คิดจะถอยแต่ก็ไม่ทันการ
แต่เขาก็ตอบสนองรวดเร็วยิ่ง สองตาถลึงอย่างโกรธเกรี้ยว คำรามใส่ร่างมายาของสวี่ชิงที่เข้าประชิด
พริบตาร่างเงาเด็ดเดี่ยวด้านหลังเขาก็เปล่งแสงสีแดงออกมาทั่วร่าง แยกออกมาจากร่างของหลัวจิ้งซง ก้าวไปหาสวี่ชิง
แสงสีแดงก่อร่างเป็นทะเลเลือดมายา เข้าสยบสวี่ชิง
แต่ชั่วพริบตา จากการที่แสงสีทองสายหนึ่งเปล่งแสงเจิดจ้า บรรพจารย์สำนักวัชระก็ควบคุมก้างปลาให้ปรากฏตัวขึ้นพลัน พุ่งไปทางทะเลเลือดเบื้องหน้าอย่างแรงรวมถึงร่างเงาเด็ดเดี่ยวนั้นด้วย
ด้วยความคมและคุณสมบัติของก้างปลาก็ทะลวงเข้าไปเหมือนผ่าลำไผ่ จะทะเลเลือดก็ดี หรือร่างเงาเด็ดเดี่ยวล้วนถูกทะลวงจนเป็นรูในพริบตา
ร่างพรางมารยาของสวี่ชิงก็ปะทุความเร็ว พุ่งทะลวงผ่านร่างของหลัวจิ้วซงโดยใช้รูนี้ในชั่วพริบตา
เมื่อมาถึงด้านหลังของหลัวจิ้งซง ปราณก่อกำเนิดดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือเขา!
นั่นเป็นหนึ่งในปราณก่อกำเนิดของหลัวจิ้งซง
สวี่ชิงบีบทิ้งอย่างแรง ปราณก่อกำเนิดนั้นส่งเสียงกรีดร้องทันที แหลกสลายทันใด อายุขัยสวรรค์ไหลลงมาตามมือสวี่ชิง ผสานเข้าไปบ่มเพาะในร่างเขาอย่างรวดเร็ว
ส่วนปราณก่อกำเนิดที่เหลือ ขณะที่สวี่ชิงโบกมือก็ดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ท้ายสุดก็หลายเป็นเงามายาสีดำสายหนึ่ง แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบดุร้าย ลอยอยู่ด้านหลังสวี่ชิง
นี่คือร่างมารฟ้าร่างที่หนึ่งของเขา
หลัวจิ้งซงตัวสั่มเทิ้ม ดวงตาฉายแววพรั่นพรึง กระอักเลือดออกมาคำโต ขณะที่โซเซไปด้านหน้า กายเนื้อทั้งร่างก็ดำคล้ำอย่างชัดเจน เริ่มเน่าเปื่อยไปหลายจุด
“นี่…”
กำลังจะเอ่ยปาก ร่างของสวี่ชิงก็กลืนไปกับความว่างเปล่าอย่างเงียบเชียบ ไปปรากฏเบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ของหลัวจิ้งซงราวกับภูตผี
ไม่รู้ว่าในมือถือกริชไว้ตั้งแต่เมื่อใด ปาดไปที่คอของหลัวจิ้งซงอย่างรุนแรง
เด็ดขาดรวดเร็ว ศีรษะลอยคว้าง!
เสียงตุบดังขึ้น ศีรษะร่วงลงบนพื้น หลังจากกลิ้งไปหลายตลบ ก็หยุดลงเบื้องหน้าองค์ชายเจ็ดและองค์หญิงอันไห่
สองตาของศีรษะนี้ยังเบิกโพลง แววตาหวาดกลัวตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ ราวกับจนกระทั่งตาย เขาก็ไม่คิดไม่ฝัน ทั้งๆ ที่พลังบำเพ็ญต่างกันไม่มาก ตนที่มีการหนุนนำกายเนื้อ ไยแค่ชั่วพริบตาศีรษะก็หลุดออกจากบ่าเสียอย่างนั้น
พิษในร่างเขากำลังลุกลาม ศีรษะกลายเป็นน้ำสีดำอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของเขาก็กำลังแหลกเหลว
แต่สวี่ชิงก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย หลังจากปาดไปแล้วหนึ่งครั้งเขาก็ยังใช้กริชในมือกรีดร่างไร้ศีรษะที่ติดพิษของหลัวจิ้งซงต่อไป
แต่เสี้ยวขณะที่สัมผัส ที่หน้าอกร่างไร้ศีรษะของหลัวจิ้งซงกลับมีรอยแยกทางหนึ่งปรากฏขึ้น เปลวไฟสีแดงชาดลุกโชนออกมาจากด้านใน
เปลวไฟนี้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายน่าครั่นคร้าม ไม่ใช่ไฟธรรมดาทั่วไป ยามที่พุ่งออกมา รอบด้านก็โหมคลื่นความร้อนพุ่งไปหาสวี่ชิง ลุกท่วมร่างเขาในพริบตา
รูปร่างของคนผู้นี้ เหมือนกับร่างของหลัวจิ้งซงไม่ผิดเพี้ยน
พริบตาที่ปรากฏตัว เขาก็ล้วงยาแก้พิษออกมากลืนลงไปทันที ดวงตาฉายแววเยือกเย็นมืดมน มองไปทางสวี่ชิงที่ถูกเปลวเพลิงครอบคลุม กำลังจะอ้าปาก เพียงพริบตาเขาก็หน้าถอดสี
ทะเลเพลิงที่ครอบคลุมสวี่ชิง ตอนนี้กลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด และแค่สองอึดใจ เปลวเพลิงทั้งหมดก็ถูกสวี่ชิงสูดเข้าไปในปากแล้วกลืนลงไป
ร่างของสวี่ชิงปรากฏขึ้นจากการสลายไปของเปลวเพลิง สีหน้าของเขาค่อนข้างประหลาดใจ สายตาไปหยุดที่กาเฉียนคุนที่หลั่วจิ้นซงถืออยู่ ประกายประหลาดพาดผ่านอย่างไม่ทันจับสังเกตได้
‘แม้ตระกูลหลัวจะตกต่ำ แต่เคล็ดวิชาของบรรพจารย์โหวนภาของตระกูลในตอนนั้นยังคงสืบทอดต่อกันมา มีชื่อว่าเคล็ดวิชากฎเกณฑ์ฟ้าทมิฬ ทุกครั้งที่ผลัดร่างกฎเกณฑ์ ก็จะได้รับการหนุนนำกายเนื้อเพิ่มขึ้น’
เมิ่งอวิ๋นไป๋ส่งสื่อเสียงมาที่ข้างหูสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่สนใจ และตอนนี้ผู้คนรอบๆ จำนวนไม่น้อยลุกขึ้น ส่งเสียงห้ามปราม
“หยุดลงมือ!”
“ลงไม้ลงมือกันในที่เช่นนี้มันไม่เหมาะสม!”
“ทั้งสองท่าน เรื่องต่างๆ ใช่ว่ามีแค่การฆ่าฟันที่เป็นวิธีแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว”
ยิ่งมีหลายคนก้าวออกมา
กระทั่งการต่อสู้ในที่แห่งนี้ดึงดูดความสนใจจากภายนอกด้วย มีองครักษ์พุ่งเข้ามาในตำหนักใหญ่มากมาย
เมื่อหลัวจิ้งซงเห็นเป็นเช่นนี้ ก็ถอนหายใจ ดวงตาฉายแววเย็นชา มองไปทางสวี่ชิง กำลังจะถอยหนี
สวี่ชิงไม่ได้ขัดขวาง เขาเบนสายตาออกมาจากกาเฉียนคุน มองไปทางหลัวจิ้งซง เอ่ยเสียงราบเรียบ
“พิษของข้า เจ้าไม่อาจถอนได้”
หลัวจิ้งซงหน้าเปลี่ยนสี กำลังจะกินยาแก้พิษเพิ่ม แต่ร่างกายกลับสั่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ จากนั้นทั่วทั้งตัวก็ดำคล้ำดำคล้ำอีกครั้ง
เขารู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง หอบหายใจถี่ พลังบำเพ็ญไหลเวียนทั่วร่างคิดจะสะกด ยิ่งหันหลังไปมององค์ชายเจ็ดและองค์หญิงอันไห่ ราวกับขอความช่วยเหลือ
แต่เขายังไม่ทันได้กล่าวออกมา เลือดสดสีดำก็หลั่งทะลักออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ลิ้นและใบหู หลุดลงมาบนพื้นก่อน และกลายเป็นน้ำสีดำ เสียงโอดครวญโหยไห้ดังออกมาจากคอหอย ขณะที่น่าลุกขนพอง ร่างของเขาก็เน่าเปื่อยในพริบตา
เลือดเนื้อหลุดต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัดเพียงสี่ห้าอึดใจ ร่างของหลัวจิ้งซงก็แหลกเหลวกลายเป็นน้ำสีดำ
ก่อนที่จะมลายหายไป ตอนสุดท้ายเขามององค์หญิงอันไห่ผาดหนึ่ง ดวงตาที่เหลืออยู่ฉายแวววิงวอน แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
สุดท้ายภาพนี้ทำให้สีหน้าผู้คนรอบๆ เปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
วีธีการช่วงชิงปราณก่อกำเนิดของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ พวกเขายังไม่รู้สึกอะไร วิชาคล้ายกันนี้ใช่ว่าไม่มี แม้แต่พิษก็เช่นกัน
ทว่าตอนที่กลายเป็นเงาภูตผี ก็ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกตื่นตะลึง
แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา ต่อให้สวี่ชิงตัดศีรษะของหลัวจิ้งซงไปก็เป็นเช่นนั้น
พวกเขารู้ ว่าหลัวจิ้งซงไม่มีทางตาย
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ทั้งๆ ที่หลัวจิ้วซงแหลกเหลวไปแล้ว แต่พิษยังคงลุกลามรุนแรง ซ้ำยังปะทุอย่างโหดเหี้ยม ดังนั้นสายตาหลายคู่จึงจับจ้องไปที่สวี่ชิง
โดยเฉพาะเมิ่งอวิ๋นไป๋ สายตาที่มองไปทางสวี่ชิง แฝงความอึ้งตะลึง แฝงความหวาดกลัว
ใบหน้าเซียนหลิวหลิงจากจวนรังสรรค์ข้างๆ ฉายแววเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มองแอ่งน้ำสีดำนั้น จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“พิษคำสาปเทพ!”
เมื่อนางกล่าวออกมา ทุกคนก็พากันใจสั่นสะท้าน
ดวงตาองค์ชายเจ็ดเปล่งประกายประหลาด องค์หญิงอันไห่ก็จับจ้องสวี่ชิงเป็นครั้งแรก
สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง เดินไปยังจุดที่หลัวจิ้งซงแหลกเหลวกลายเป็นน้ำสีดำอย่างไม่รังเกียจ หยิบกาเฉียนคุนจากในน้ำเลือด หลังจากเก็บไป ก็คารวะองค์ชายเจ็ดและองค์หญิงอันไห่
“กระหม่อมสังหารคนผู้นี้ เพราะเขาลบหลู่วิญญาณวีรบุรุษเผ่ามนุษย์ เจ้าวังคนก่อนเพื่อเผ่ามนุษย์ เพื่อเขตปกครองผนึกสมุทร การเสียสละของเขา คือสิ่งที่แม้แต่จักรพรรดิมนุษย์ก็โทมนัสอย่างยิ่ง ซ้ำยังทรงเห็นชอบให้บรรจุเข้าสู่สุสานวีรชน และต้องได้รับการเคารพจากเผ่ามนุษย์นับแต่บัดนี้
“คนผู้นี้ ในฐานะที่เป็นชนรุ่นหลังของโหวนภา แต่กลับหมิ่นเกียรติวีรบุรุษ ยิ่งมีใจคิดยุยงให้เขตปกครองผนึกสมุทรระส่ำระส่าย จิตคิดเป็นอื่น คาดว่าเป็นพวกเทียนประทีปที่ชั่วช้า สมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
สวี่ชิงไม่ได้ใส่อารมณืในน้ำเสียงมากนัก สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแม้แต่น้อย กล่าวจบเขาก็เงยหน้าขึ้น ถอยหลังไปหลายก้าว หันหลังเดินไปหาข่งเสียงหลง
ส่วนจางฉีฝานข้างกายข่งเสียงหลง สวี่ชิงไม่สนใจแม้แต่น้อย เย็นชาถึงขีดสุด
เขาไม่ได้กล่าวถึงเส้นสนกลในของเรื่องในวันนี้ แต่เขาใช้การกระทำบอกกับคนอื่นว่าเขากับข่งเสียงหลง ไม่ใช่ดาบในมือของอีกฝ่าย ไม่ว่าระหว่างพวกเจ้าจะขัดแย้งกันเช่นไร นั่นเป็นเรื่องพวกเจ้า
ไม่เกี่ยวกับพวกข้า
ขณะเดียวกันก็บอกกับทุกคนว่า หากแตะเกล็ดย้อนมังกรของเขตปกครองผนึกสมุทร เช่นนั้นก็มีสิ่งที่ต้องแลก
องค์ชายเจ็ดยิ้มมุมปาก องค์หญิงอันไห่หลุบตาลงเล็กน้อย
ผู้คนรอบๆ เคร่งขรึมจริงจัง และได้รู้จักสวี่ชิงชัดเจนขึ้นอีกเล็กหน่อย
‘คนผู้นี้ ไม่ควรไปยั่วยุ’
นี่คือสิ่งที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกัน ส่วนการตายของหลัวจิ้งซง พวกเขาไม่สนใจ เรื่องยุ่งยากของผู้อื่นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา
และตอนที่สายตาของทุกคนมองตามสวี่ชิงมาจนหน้าประตู จู่ๆ สวี่ชิงก็หยุดฝีเท้า หันหลังมององค์ชายเจ็ด หลังจากใคร่ครวญ ก็เอ่ยออกมา
“องค์ชายเจ็ด สามมณฑลของเขตปกครองผนึกสมุทรได้กลับคืนมาแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสวี่ชิงกล่าวประโยคนี้ออกมา องค์ชายเจ็ดก็เงียบนิ่ง ใบหน้าองค์หญิงอันไห่ก็คลี่รอยยิ้มที่เข้าใจยาก หยิบจอกสุราขึ้นมาจิบ
ครู่ต่อมา องค์ชายเจ็ดก็ยิ้ม เอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ภายในสามมณฑลนั้นยังมีพวกคิดกบฏอยู่ รอจัดการเรียบร้อย เขตปกครองผนึกสมุทรก็รับช่วงต่อได้”
นี่ไม่ใช่ความคิดเดิมของเขา
แต่เรื่องในวันนี้ ทั้งในตอนนี้ คำถามของสวี่ชิงทำให้ไม่อาจปฏิเสธตรงๆ ได้ ถึงอย่างไรการกระทำที่สวี่ชิงชี้ว่าหลัวจิ้งซงยุยงปลุกปั่น เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาหวังไว้อยู่
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องการขึ้นตรงของมณฑลทั้งสาม เขาเลือกที่จะถอยมาก้าวหนึ่ง แม้จะไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่ชัด แต่ก็เป็นการแสดงท่าทีแล้ว
สวี่ชิงประสานหมัด หันหลังเดินออกไปพร้อมข่งเสียงหลง นับตั้งแต่ลงมือจนถึงตอนนี้ เขากับข่งเสียงหลงไม่หันไปมองจางฉีฝานเลยแม้แต่น้อย
ส่วนจางฉีฝานทำหน้าไม่สะทกสะท้าน มองความคิดไม่ออก ตอนนี้กลับไปยังที่นั่งเพื่อดื่มสุราต่อแล้ว
ไม่นานนักเสียงพูดคุยหัวเราะทั้งงานเลี้ยงดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มีเพียงกองเลือดสีดำบนพื้นที่คนกวาดมองเป็นระยะ โหมระลอกคลื่นในใจ
จนดึกดื่น งานเลี้ยงก็สิ้นสุดลงหลังจากที่องค์หญิงอันไห่ลุกขึ้น
ในตำหนักใหญ่กว้างโล่ง เหลือเพียงองค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว เขานั่งดื่มเพียงลำพังด้วยสีหน้าเรียบเฉย หัวเราะกับตัวเอง
“เสด็จพี่ ข้าสร้างเวทีให้ท่านแล้ว ที่แท้ท่านก็คิดที่จะแสดงละครปาหี่นี่ให้ข้าดู
“แต่ว่า คนฉลาดเช่นท่าน ครั้งนี้ไยจึงโง่เขลาเพียงนี้เล่า”
องค์ชายเจ็ดหรี่ตาลง มือที่หยิบจอกสุราชะงัก จมอยู่ในความคิด ไม่นานนัก สีหน้าเขาก็มืดครึ้ม ในดวงตาเปล่งแสงเย็นเยียบ
“ถ่วงดุล!”
เวลาเคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้า เจ็ดวันผ่านไป
พิธีเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ก็จัดขึ้นที่นี่
ในช่วงนี้ สวี่ชิงกับข่งเสียงหลงอยู่ในค่ายใหญ่เขตปกครองผนึกสมุทร ไม่ได้ออกไปไหน
เขากำลังศึกษากาเฉียนคุนที่ได้มาจากหลัวจิ้งซง
หลักๆ คือศึกษาเปลวไฟที่อยู่ด้านใน
เปลวไฟนั่นพิเศษอย่างมาก หลังจากสวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของมันก่อนหน้านี้ เดิมคิดจะหลีกเลี่ยง ทว่าก็ได้สัมผัสเล็กน้อย ขณะที่แผดเผาในร่างกาย ก็ชักนำให้ผลึกวารีสีม่วงเกิดการเปลี่ยนแปลง
ผลึกวารีสีม่วงเริ่มแผ่แรงดึงดูดออกมาเอง สูดรับเปลวเพลิงหลอมรวมเข้าไปในตัวมัน จากนั้นก็เหมือนมีแสงสายหนึ่งแผ่ออกมารางๆ
แสงนี้ ส่องสว่างทะเลความรู้สึกของสวี่ชิงในพริบตา แม้จะแค่ครู่เดียว แต่ปลามแหลมของตะเกียงชีวิตร่มดำใหญ่ดวงแรกของเขากลับหายไปหนึ่งด้าน ราวกับหลอมละลาย!
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายประหลาดออกมาก่อนหน้านี้ ตอนนั้นในใจเขาโหมคลื่นขนาดมหึมา แต่สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่เหมาะจะสังเกต ดังนั้นหลังจากกลับมาที่ฐานที่มั่น สวี่ชิงจึงปิดด่านศึกษาทันที
เมิ่งอวิ๋นไป่มาเยี่ยมเยือน เซียนหลิวหลิงก็มาเช่นกัน
แต่ล้วนถูกสวี่ชิงปฏิเสธอ้อมๆ หนึ่งคือเขาไม่มีเวลา อีกอย่างคือเขาไม่อยากเข้าร่วมเรื่องใดๆ ของเมืองหลวงจักรพรรดิ
เรื่องงานเลี้ยงส่วนตัวนั่น หลังจากที่เขากับข่งเสียงหลงกลับมาก็รายงานหลี่อวิ๋นซานแล้ว ความคิดของอีกฝ่ายตรงกับพวกเขา ซ้ำยังมองขาดกว่าเล็กน้อย
“ท่าทางที่เชิญพวกเรามาครั้งนี้ นอกจากจะเข้าร่วมพิธีเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หวนคืนแล้ว ยังเป็นตั้งใจขององค์ชายเจ็ดด้วย พระองค์น่าจะอยากเห็นเจตนาแท้จริงที่องค์หญิงอันไห่คนนั้นมาเยือน
“ส่วนเรื่องที่สวี่ชิงสังหารหลัวจิ้งซง เรื่องนี้ทำได้ดี ทำให้เจ้าวังคนก่อนเสียเกียรติก็สมควรตาย! เรื่องนี้ข้าจะรายงานกับโหวเหยา ด้วยวิธีการของเขา ด้วยความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน”
นี่เป็นคำพูดหลังจากที่หลี่อวิ๋นซานรู้ถึงเรื่องงานเลี้ยง
จนกระทั่งวันที่เจ็ด พิธีเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็เริ่มขึ้น
พิธีนี้ยิ่งใหญ่อลังการ มีผู้มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิประกาศราชโองการ และมีสี่จักรพรรดิเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มาด้วยตัวเอง รวมถึงฉายเงามายาของจักรพรรดิบรรพชน
ตอนที่ปรากฏตัวขึ้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี สายลมพัดโหม ทั่วทั้งอาณาบริเวณต้นสิบลำไส้เปลี่ยนเป็นแรงกดดันมหาศาล
นั่นคือแรงกดดันจากเตรียมสู่เทวะ
กระทั่งมิติเวลาในอาณาบริเวณนี้เริ่มแปรปรวนในระยะเวลาสั้นๆ และนี่เป็นเพียงการฉายเงาของเตรียมสู่เทวะเท่านั้น
สิ่งที่สวี่ชิงรู้สึกคือคล้ายกับการเผชิญหน้ากับเทพเจ้า แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือน ยากจะบรรยายออกมาให้ชัดเจน
‘เตรียมสู่เทวะ..เป็นสิ่งไม่อาจอธิบายได้ หวนกลับสู่ความว่างเปล่า เป็นสภาวะที่ไร้ซึ่งสภาวะ ไร้ซึ่งรูปลักษณ์เฉพาะ เป็นความไม่ชัดเจน เมื่อเผชิญหน้ามิอาจเห็นเบื้องหน้าได้ฉันท์ใด ครั้นติดตามก็ไม่อาจเห็นเบื้องหลังได้ฉันท์นั้น”
ณ สถานที่ประกอบพิธี หลี่อวิ๋นซานเอ่ยเสียงแผ่วเบา สีหน้าทอดถอนใจ
สวี่ชิงเงยหน้า มองไปบนท้องฟ้า
บนเส้นขอบฟ้า เขาเห็นจักรพรรดิทั้งสี่ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ และเบื้องหลังของสี่จักรพรรดิก็มีภาพเงาเลือนรางที่ยิ่งใหญ่แต่กลับค้ำจุนฟ้าดินนี้ไว้ มองไม่เห็นศีรษะ ไม่เห็นเท้า ราวกับเขาสูงใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด และมีตัวตนอยู่ทุกแห่งหน
ในราชโองการให้การยอมรับและยกย่องจักรพรรดิบรรพชนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์อย่างสูง ยิ่งอวยยศที่บรรพบุรุษเคยได้ดำรงตำแหน่ง แต่งตั้งเป็นต้ากงแห่งคลื่นศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
และไม่มีการเปลี่ยนชื่อของแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่พื้นที่ที่เหลือเพียงครึ่งเดียวจากเดิม ส่วนที่เหลือถูกตั้งชื่อใหม่ว่าแผ่นดินใหญ่สีคราม
และแผ่นดินนี้ไม่รวมถึงเขตปกครองผนึกสมุทร มีกองทัพใหญ่องค์ชายเจ็ดเข้าลงหลักปักฐาน คอยควบคุมอำนาจทางทหาร และให้องค์หญิงอันไห่ ช่วยเหลือบริหารงานปกครอง
เท่านี้ก็จบพิธี พวกสวี่ชิงเลือกที่จะกลับไปยังเขตปกครองผนึกสมุทร
ทว่าก่อนจะไป ก็เกิดเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง องค์ชายเจ็ดคืนสามมณฑลที่ขึ้นตรงกับเขตปกครองผนึกสมุทรให้ก่อนล่วงหน้า ขณะเดียวกันยังมอบสี่มณฑลให้อยู่ในเขตปกครองผนึกสมุทร ทำให้ตอนนี้เขตปกครองผนึกสมุทรมีถึงสิบเจ็ดมณฑล
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่องค์ชายเจ็ดทรงเสนอเอง องค์หญิงอันไห่ก็เห็นชอบ
ขณะเดียวกัน เขตปกครองชมจันทร์ที่เขตปกครองผนึกสมุทรยึดครองไว้ลับๆ ก็ส่งต่อให้แผ่นดินใหญ่สีครามอย่างราบรื่น
ในระหว่างนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น สวี่ชิงไม่ได้รู้ละเอียดมากนัก แม้ว่าหลังจากที่โหวเหยาบอกเรื่องเขตปกครองชมจันทร์ในตอนนั้น สวี่ชิงคาดเดาไว้แล้วว่าจะต้องมีการแลกเปลี่ยน แต่เรื่องรายละเอียดการดำเนินการ สวี่ชิงไม่ทราบ
นี่เป็นสิ่งที่ระดับอย่างโหวเหยาและนายท่านเจ็ดเท่านั้นถึงเลือกได้
แต่เขาก็มองทิศทางในอนาคตจากเนื้อหาราชโองการออก
เนื่องจากการปรากฏตัวขององค์หญิงอันไห่ รูปแบบแผ่นดินใหญ่สีครามจึงมีการเปลี่ยนแปลง