Skip to content

Outside Of Time 914


บทที่ 914 เจ้าหนี้ฟื้นตื่น

แดนใหญ่ธารฝัน เป็น 1 ใน 5 แดนฝั่งเขตแดนตะวันออกเฉียงใต้ของเผ่านภาคิมหันต์

แดนนี้ประหลาดนัก บางครั้งขุนเขาสวยธารน้ำใส บางครั้งเต็มไปด้วยสิ่งแปดเปื้อน ขุนเขาดำมืดธารน้ำปนเปื้อน

ส่วนสาเหตุ เกิดจากเมฆประหลาดที่ลอยอยู่เหนือแดนแห่งนี้

เมฆที่นี่ไม่ได้แบ่งเป็นก้อน หากเชื่อมติดกันไม่ขาด คล้ายท้องฟ้าใต้ผืนนภา ทั้งเหมือนแม่น้ำลำคลองไหลพลิกม้วนอยู่บนม่านฟ้า

ตอนสีของเมฆเป็นสีขาว ผืนดินเบื้องล่างล้วนเปี่ยมชีวิตชีวา แต่ชั่วขณะที่กลายเป็นสีดำ มารปีศาจปรากฏทั่วทิศ ไอพลังประหลาดบุกโจมตีสรรพสิ่ง

ฉากนี้คือการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติเฉพาะตัวของดินแดนนี้ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้สภาพอากาศ

เผ่าท้องถิ่นเรียกมันว่าเมฆฝัน

ยามนี้ ขณะเมฆหมอกสีขาวบนท้องฟ้าแดนใหญ่ธารฝันกำลังเคลื่อนไหล เรือเวทพิเศษลำหนึ่งหวีดคำรามเข้ามา

เรือนี้ภายนอกเหนือจินตนาการ มันไม่ได้มีรูปร่างอย่างเรือ หากเป็นรูปร่างของมนุษย์

นั่นเป็นหญิงชราในชุดดำ หนวดปลาหมึกนับไม่ถ้วนแผ่ออกมากวัดไกวเคลื่อนที่ เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของมันเลือนรางในเมฆหมอก

หากชาวบ้านเห็นเข้าเป็นต้องคิดว่าเทพเจ้าท่องนภา

แต่บนศีรษะหญิงชราที่ดูเหมือนเทพเจ้านั้น มีคนนั่งขัดสมาธิอยู่ 2 คน

“อาชิงน้อย ดินแดนนี้เป็นอย่างไร ข้าบอกเจ้าให้ ที่นี่มีตำนาน”

“ว่ากันว่าเมื่อกี่ปีที่ผ่านมาไม่ทราบได้ มีวัวเทพตัวหนึ่งผ่านมานอนหลับที่นี่แล้วฝันดี ตอนตื่นยังจามทีหนึ่ง จึงพ่นเอาฝันดีออกมา เกิดเป็นไอหมอกนับไม่ถ้วนและกลายเป็นชั้นเมฆ”

“นับแต่นั้นมา แดนใหญ่ผืนนี้ก็ปรากฏเมฆฝัน”

ผู้พูดเป็นคนหนุ่ม หน้าตาธรรมดา มีเพียงนัยน์ตาสว่างไสวกว่าทั่วไป ในนั้นลึกล้ำ ทั้งยังเหมือนเกลียวคลื่นที่กลืนกินได้ทุกสิ่ง

ผมเผ้าเขากระเซิง ภาพลักษณ์ก็ดูไม่ดี แต่ชุดตัวยาวสีแดงสดทำให้เขานั่งอยู่ตรงนั้นดูโดดเด่น ฉูดฉาดบาดตาอย่างยิ่ง

ราวกับไม่ว่าสายตาใดมองไปล้วนถูกเขาดึงดูดในแวบแรก

อย่างไรไม่แค่เสื้อที่เป็นสีแดง รองเท้าก็ใช่ กางเกงก็ใช่ สะท้อนเสียคนทั้งคนเป็นสีแดงจัด

มนุษย์สีแดงผู้นี้สีหน้าภูมิใจยิ่ง กำลังมองไปยังคนหนุ่มอีกคนข้างกายพลางกล่าวด้วยครึ้มใจ

คนหนุ่มข้างกายตรงข้ามกับภาพลักษณ์ของเขา เสื้อผ้าเป็นเพียงชุดสีครามธรรมดา ดูไม่หรูหรา ออกไปทางสวยแบบเรียบง่าย

แต่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาเลิศล้ำนั้น ราวกับสรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นเพียงสิ่งขับเน้นบนกายเขา ไม่กล้าและไม่อาจแย่งความเจิดจ้าสักน้อยนิด

ยามนี้ผู้เลิศล้ำในต่ำใต้ลืมตามองขุนเขาสายธารเขียวมรกตอันหาได้ยากเบื้องล่าง

“ตำนานนี้คงเป็นตัวศิษย์พี่ใหญ่แต่งเองและแพร่ออกไปเองตอนอยู่เผ่านภาคิมหันต์กระมัง” เสียงแจ่มใส รื่นหูยิ่งนัก

2 คนนี้ย่อมเป็นเอ้อร์หนิวกับสวี่ชิงที่ออกจากเขาเทวะมุ่งหน้าไปเผ่ามนุษย์

ได้ยินคำพูดของสวี่ชิง นายกองหัวเราะคิกคิก เงยหน้าทอดมองเส้นขอบฟ้าพลางบิดขี้เกียจ

“ถูกต้อง ที่ข้าอยากบอกเป็นหลักการยิ่งใหญ่ในฟ้าดิน นั่นก็คือ…ความจริงของประวัติศาสตร์ก็จำต้องเสริมเติมแต่งเช่นกัน!” นายกองสีหน้าภูมิอกภูมิใจอีกครั้ง

“อย่างเช่นอีกกี่ปีไม่ทราบได้ ประวัติศาสตร์จะบันทึกการเดินทางในนภาคิมหันต์ครั้งนี้ของพวกเราอย่างไร แล้วจะบันทึกสุดยอดคุณูปการที่พวกเราสร้างให้เผ่ามนุษย์อย่างไร!”

“ข้าคิดไว้หมดแล้ว ประวัติศาสตร์คงบันทึกเช่นนี้”

นัยน์ตานายกองเปล่งประกาย

“ศักราชเสวียนจั้นปี 2,939 เฉินเอ้อร์หนิว สวี่ชิงสุดยอดวีรบุรุษเผ่ามนุษย์กวาดล้างเหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานนภาคิมหันต์ ยึดนามมหาขุนพลนภา ชื่อเสียงระบือทั่วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์”

“ในพิธีการสูงสุดของเผ่านภาคิมหันต์ ยังทำให้ 3 อุปราชนภาคิมหันต์ออกคำสั่งให้เผ่าในอาณัติถอนกำลัง 1,000 ปีต่อจากนี้ห้ามบุกรุกเขตแดนเผ่ามนุษย์แม้เพียงนิด ยังเอ่ยคำตัดเผ่าฟ้าทมิฬออกจากอาณัติ!”

“เผ่ามนุษย์มียอดคนทั้ง 2 เป็นเกียรติของทั้งเผ่า เป็นการตอบแทนบุญคุณด้วยชะตากรรมของเผ่ามนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เป็นหลักฐานมีน้ำหนักว่าชะตากรรมของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ยังขึ้นอยู่กับเผ่ามนุษย์”

สวี่ชิงทำหน้าเหยเก ไม่เอ่ยคำใด แม้นายกองพูดเกินจริง แต่สถานการณ์จริงก็ไม่ต่างกันเท่าไร

พิธีใหญ่ของนภาคิมหันต์ แม้พวกเขา 2 คนออกมาก่อน แต่หลังเอาชนะเหยียนเสวียนจื่อ เขาในฐานะมหาขุนพลนภาได้บอกความต้องการของตนกับอุปราชทั้ง 3

นี่คือรางวัลของผู้ได้ตำแหน่งมหาขุนพลนภา บอกความต้องการกับอุปราชได้ 1 อย่าง

เป้าหมายที่สวี่ชิงมาเผ่านภาคิมหันต์ก็คือสิ่งนี้

ดังนั้น ด้วยคำสั่งของสามอุปราชนภาคิมหันต์ เผ่าในอาณัติที่สู้รบกับเผ่ามนุษย์ต้องถอนทัพ รวมถึงสงครามในเขตแดนเผ่าฟ้าทมิฬ ฝั่งนภาคิมหันต์ก็จะไม่เข้าร่วมอีกต่อไป

สวี่ชิงก็แปลกใจอยู่บ้างที่เรื่องนี้ราบรื่น อย่างไรสงครามไม่ใช่การละเล่นเด็กน้อย

แต่เขายังเตรียมกลยุทธ์อื่นไว้เพื่อการนี้ด้วย

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามักรู้สึกการถอนกำลังของเผ่านภาคิมหันต์เป็นเรื่องที่พวกเขาจะทำอยู่แล้ว การปรากฏตัวของเราเพียงทำให้เรื่องนี้ชอบด้วยเหตุผลและสิ้นสุดเร็วขึ้นเท่านั้น”

สวี่ชิงมองไปทางอีกฝ่าย

นายกองได้ยินแล้วพลันโบกมือ

“จะไปคิดมากขนาดนั้นทำไม ไม่ว่าเป็นเหตุผลหรือไม่ เกียรติยศเป็นของเราก็พอแล้ว”

สวี่ชิงหัวเราะ เขารู้สึกนายกองพูดมีเหตุผล ในเมื่อหาสาเหตุไม่ได้ก็วางมันไว้แทนที่จะเอามาคิดมาก ตราบใดที่จบดี เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี

คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก้มมองเงาดำเบื้องหน้าตนที่ถูกแสงสะท้อน

แสงอาทิตย์ส่องเป็นหย่อมผ่านเมฆหมอกอยู่ด้านหลังเขา สะท้อนเป็นเงาออกมาเบื้องหน้า แม้ออกจะเลือนราง แต่คลื่นอารมณ์ของความระมัดระวังที่ส่งมาจากในนั้นยังคงถูกสวี่ชิงรับรู้ชัดเจน

มันกำลังอธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ศัพท์ ที่แกล้งตายมาตลอดเพราะไม่อยากให้เจ้านายตนกังวลเกินไป

เจ้าเงาฟื้นเมื่อ 5 วันก่อน จากนั้นแกล้งตายอยู่ 1 ก้านธูปก็ถูกสวี่ชิงจับได้

ตอนแรกสวี่ชิงนึกว่าอีกฝ่ายตายจริงเสียแล้ว

อย่างไรตอนอยู่แผ่นดินใหญ่ผืนคีรีเจ้าเงารับพลังทำลายล้างเพื่อเอาจิ่วหลีออกมา สุดท้ายยังถึงกับจิตใจสลาย คล้ายหลับลึก แต่ก็เหมือนตาย

‘หนังเหนียวไม่เบา’

สวี่ชิงพึมพำในใจ รู้สึกดีใจไม่น้อยที่เจ้าเงาฟื้น บนหน้าจึงเผยรอยยิ้ม

แต่บรรพจารย์สำนักวัชระคงไม่พอใจ ส่วนตัวเจ้าเงาอาจดีใจกึ่งทุกข์ใจ

ดีใจที่ตัวเองกลับมามีชีวิต ทุกข์ใจว่าเรื่องอันตรายเช่นนั้นคงมีอีกมากในอนาคตเป็นแน่…

แต่มันไม่กล้าแสดงออก ได้เพียงทำทีดีใจด้วยระมัดระวัง จากนั้นส่งคลื่นอารมณ์อย่างรอบคอบกว่าเดิม

“เลือดเนื้อ…ชื่อหมู่…ที่นายท่าน…รับปาก?”

รอยยิ้มสวี่ชิงพลันค้าง

เจ้าเงาเริ่มตัวสั่นเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน ตอนสวี่ชิงกับนายกองหวีดคำรามมุ่งหน้าไปเขตแดนเผ่ามนุษย์ เรื่องเกี่ยวกับสวี่ชิงกลายเป็นมหาขุนพลนภาเล่าลือจากเผ่านภาคิมหันต์จนทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ด้วยความเร็วยิ่งกว่า

แท้จริงเป็นเพราะสถานการณ์ปัจจุบันในเผ่านภาคิมหันต์ ด้วยเทพเจ้าทั้ง 3 สำเร็จขั้นพิสุทธิ์ จึงถูกแต่ละฝ่ายจับตามองยิ่งกว่าอะไร อย่างไรนี่ก็เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในภายหน้า

ดังนั้น ทุกความเคลื่อนไหวในเผ่านภาคิมหันต์ย่อมได้รับความสนใจเป็นธรรมดา

และในเวลาแบบนี้ มหาขุนพลนภาจากการคัดเลือกย่อมถูกให้ความสำคัญ

โดยเฉพาะมหาขุนพลนภาผู้นี้ยังถึงกับเป็นเผ่ามนุษย์ เรื่องนี้ไม่ว่าบังเอิญหรือไม่ ล้วนดึงให้คนใคร่ครวญ

สำคัญที่สุดคือในสายตาผู้แข็งแกร่งแต่ละฝ่าย ชั่วลมปราณก็มองออกว่าเผ่ามนุษย์นั่นถึงกับเป็นผู้โลภอยากได้เลือดเนื้อเสี้ยวหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสั่นสะเทือนที่นำมาจึงใหญ่หลวงหาใดเปรียบ

ชั่วขณะหนึ่ง เผ่าแข็งแกร่งแต่ละฝ่ายบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ต่างเริ่มรวบรวมข้อมูลสวี่ชิงกับเฉินเอ้อร์หนิว และชื่อของพวกเขาก็ฝังลึกอยู่ในใจผู้แข็งแกร่งมากมายนับไม่ถ้วน

เผ่ามนุษย์ก็เช่นกัน

สวี่ชิงกับเอ้อร์หนิวยังไม่ทันกลับมา ในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ เรื่องเกี่ยวกับพวกเขา 2 คนก็แพร่สะพัดมาราวกับพายุ บรรดาอ๋องสวรรค์ บรรดาโหวนภา บรรดาขุนนางใหญ่พากันสั่นสะท้านถึงขีดสุด

เหล่าองค์ชายยิ่งไม่ต่างกัน

“มหาขุนพลนภา…เผ่านภาคิมหันต์!”

“มหาขุนพลนภาเผ่ามนุษย์คนแรกในประวัติศาสตร์นภาคิมหันต์!”

“นี่…นี่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”

“ศึกระหว่างสวี่ชิงกับยอดอัจฉริยะฟ้าประทานอันดับ 1 ของนภาคิมหันต์ หากอุปราชไม่ออกมือ ยอดอัจฉริยะฟ้าประทานอันดับ 1 นั่นต้องพ่ายตายเป็นแน่!”

“ใต้เท้าสวี่ยกคำขอให้นภาคิมหันต์ถอยทัพ เผ่าฟ้าทมิฬอยู่ในอาณัติเผ่ามนุษย์!”

“คุณูปการสูงส่งเทียมสวรรค์!!”

พวกเขาส่วนใหญ่รู้จักสวี่ชิง ไม่รู้จักเอ้อร์หนิว แต่จากข้อมูลที่ทอดมาชัดว่าคนชื่อเอ้อร์หนิวไม่ใช่ตัวหลัก ความสนใจกว่าครึ่งจึงไปอยู่ทางด้านสวี่ชิง

ตกใจ เหลือเชื่อ ความรู้สึกต่างๆ ปรากฏขึ้นในเขตแดนเผ่ามนุษย์อย่างรวดเร็ว

ในวังศึกษาก็เช่นกัน

สายเซียนต่างวิถีรุ่งเรืองอยู่แล้ว บัดนี้ด้วยชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสวี่ชิงก็พลอยได้ชื่อไปด้วย ขึ้นสู่จุดสูงสุดของจุดสูงสุดอีกที ผู้ศึกษาสายเซียนต่างวิถีทุกคนตื่นเต้นกันยกใหญ่

แต่คนที่ตื่นเต้นกว่าพวกเขา กลับเป็นเหล่าผู้ครองกระบี่ที่ติดตามสวี่ชิงจากเขตปกครองผนึกสมุทรมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิ

รัศมีอันเกิดจากเกียรติยศของสวี่ชิงสาดส่องทั่วทิศ ตัวพวกเขาก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วย ทำให้ความกดดันจากการที่สวี่ชิงหายตัวไปในช่วงนี้สลายหมดสิ้น

ความรู้สึกเป็นเกียรติไปด้วยเช่นนั้น เด่นชัดบนตัวผู้บำเพ็ญทุกคนในเขตปกครองผนึกสมุทรเมืองหลวงจักรพรรดิอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะหนิงเหยียน ยิ่งตื่นเต้นหาใดเปรียบ เขารู้ดีว่าผลงานเช่นนี้ของสวี่ชิงมีผลดีกับตนอย่างไร

และธูป 12 ดอกนอกเมืองหลวงจักรพรรดิในตอนนี้ แม้อันของเขาไม่ได้เผาไหม้เร็วที่สุด แต่ก็อยู่ในสภาพนับถอยหลัง ดีที่ด้วยสาเหตุจากสงคราม การตัดสินใจเรื่องรัชทายาทจึงยืดออกไปหลังสงคราม

เขาในตอนนี้จึงตั้งตารอการกลับมาของสวี่ชิงมากกว่าใคร

ส่วนข่งเสียงหลงในเขตปกครองผนึกสมุทร เมื่อรู้ข่าวของสวี่ชิงก็หัวเราะหลายครืนใหญ่ ดีใจแทนสวี่ชิง ทั้งดีใจแทนเขตปกครองผนึกสมุทร

เขารู้ว่าตัวเองไม่อาจตามสวี่ชิงได้ทัน แต่ตัวเขาก็มีเส้นทางของตัวเอง

ช่วงที่สวี่ชิงจากไป หลี่อวิ๋นซานเจ้าวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรที่มาเมืองหลวงจักรพรรดิด้วยการอบรมบ่มเพาะเขาสุดกำลัง ชัดว่าตำแหน่งเจ้าวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรนั้น ผู้เฒ่าทั้งหลายในเขตปกครองล้วนหวังให้ผู้สืบทอดของอดีตเจ้าวังมารับช่วงต่อ

แม้ด้านอู๋เจี้ยนอูก็ตื่นเต้นไม่ต่างกัน แต่มากน้อยยังคงหมองใจ แต่เพื่อให้ตัวเองแสดงออกเหมือนคนอื่น จึงเขียนกลอนบทหนึ่งเป็นการเฉพาะ

‘หน่อเขียวแตกใบเบิกฟ้าเปิดดิน เผ่าก่อนกาลใดเล่าได้บารมี เดิมขุนพลนภาควรมีข้า จนปัญญาผู้แข็งกล้าชิงนำไป’

กลอนบทนี้ก็ค่อยๆ แพร่ออกไปในเวลาเช่นนี้

และในผู้คนของเขตปกครองผนึกสมุทร มีสตรีที่พิเศษอย่างยิ่งสำหรับสวี่ชิงนั่งอยู่ในหอคอย นิ้วงามเรียวเล็กถือแผ่นหยก เริ่มยิ้มบาง

สตรีผู้นี้ท่าทางสูงส่ง ดวงหน้าดุจเครื่องเคลือบงามประณีต ผิวขาวผ่องไร้ด่างพร้อย คิ้วดั่งขุนเขาห่างไกล ดวงตาคล้ายสายธารสารท สันจมูกสูงโด่ง ปากแดงสวยฟันขาวงาม

รูปร่างอรชร ท่วงทีอ่อนช้อย ประหนึ่งหยางหลิว[1]รับลม ทุกอากัปกิริยาล้วนเปี่ยมความสุภาพอ่อนหวานอย่างสตรี

“เจ้าหนุ่มน้อย โตขึ้นแล้วนะ”

นางกะพริบนัยน์ตางาม ยกมือหยิบขนมเมฆครามชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ตรงหน้ากินลงไป

และยามนี้ สวี่ชิงกับนายกองออกจากเขตแดนเผ่านภาคิมหันต์ เข้าสู่เขตปกครองพิสดารบันลือ

กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นพร้อมไอพลังประหลาดกำลังกระจายในฟ้าดินเขตปกครองผืนนี้

………………………………………

[1] หยางหลิว ต้นหยางกับต้นหลิว

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version