Skip to content

Outside Of Time 939



HH

บทที่ 939 พิธีอันทรงเกียรติแห่งพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์

ทันทีที่เห็นตุ๊กตาผ้าตัวนี้ สวี่ชิงใบหน้าเรียบเฉย แต่ในใจเขากลับมีคลื่นซัดโหมขึ้นมา…

ตุ๊กตาผ้าตัวนี้เขารู้จัก

นั่นเป็นของกำนัลวันเกิดที่พี่ชายมอบให้เขาในตอนยังเด็กที่เมืองเป็นเอก

หลังจากนั้น ในเคราะห์ภัยพิบัติครั้งนั้น เขาที่มีอายุเพียงหกเจ็ดขวบอุ้มตุ๊กตาตัวนี้ ร้องไห้ท่ามกลางฝนเลือด ตะโกนร้องหาพ่อแม่ เรียกหาพี่ชาย…

จากนั้นเขาก็สลบไป

ตอนตื่นขึ้นมา ตุ๊กตาก็หายไปแล้ว

วันนี้ มันมาปรากฏที่นี่

ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น…

เขาส่งของชิ้นนี้ เป้าหมายก็คือให้ข้าขบคิด…

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

เรื่องบางอย่าง เขารู้ ตัวเองก็งุนงงสับสนเหมือนกัน อย่างเช่นในตอนที่อยู่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของตัวเองที่ปรากฏมาจากในผลึกแก้วสีม่วงตอนสู้กับชื่อหมู่ความทรงจำนั้น…

ในภาพนั้น ฝ่ามือที่สัมผัสเหนือศีรษะของตน ซัดลงมาอย่างไม่หยุดยั้งลังเลเลยแม้แต่น้อย

แต่ในความทรงจำของเขากลับไม่มีฝ่ามือปรากฏขึ้นมา แต่เป็นตัวเองที่สลบไปเอง

แล้วยกตัวอย่างเช่น ตุ๊กตาผ้าที่เคยหายไป ตอนนี้หลังจากที่มันปรากฏขึ้น ก็ถูกเย็บซ่อมแซม

มันทำไมถึงฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ

นานหลังจากนั้น สวี่ชิงหลับตาลง

ตุ๊กตาผ้าตัวนั้น เขาไม่ได้หยิบเอามา แต่ทิ้งมันเอาไว้ที่หน้าประตู นอนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ตรงนั้น…

เวลาหมุนไป ลมราตรีพัดมา หอบม้วนฝุ่นธุลีบนพื้น ซัดไปที่ตุ๊กตาผ้า

ความหนาวยะเยือกในสายลมโจมตีมาจากทั่วทุกสารทิศ มาพร้อมกับสายลม ทำให้ตุ๊กตาที่ถูกเย็บซ่อมแซมเหมือนว่าเนื้อตัวสั่นสะท้าน

เหมือนกับตอนนั้น เด็กน้อยที่เนื้อตัวสั่นสะท้าน ขดร่างท่ามกลางสายลมหนาวอยู่ในถ้ำยาจก

1 วันผ่านไป

ในยามที่เหลือเวลาอีก 12 ชั่วยามก็จะถึงเวลาเซ่นไหว้บรรพชน ขุนนางใหญ่ทั้งหลายต่างเลือกที่จะอาบน้ำในที่พำนักของตัวเอง

นี่คือพิธีเซ่นไหว้บรรพชน

ไม่ว่าจะมีสิทธิ์ติดตามจักรพรรดิมนุษย์ไปดาวจักรพรรดิโบราณหรือไม่ ล้วนต้องทำเช่นนี้

เพราะพิธีเซ่นไหว้บรรพชนแบ่งเป็นภายนอกและภายใน

ทำพิธีอย่างเป็นทางการในดาวจักรพรรดิโบราณ ดูพิธีนอกดาวจักรพรรดิโบราณ

อีกทั้งยังก่อนเวลาประกอบพิธี 3 ชั่วยาม ต้องรออยู่ที่ศาลบูรพกษัตริย์เพื่อรอเวลาในเสี้ยวพริบตาที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น

ส่วนศาลบูรพกษัตริย์โดยปกติแล้วไม่มีอยู่

มีเพียงก่อนพิธีเซ่นไหว้บรรพชน มันถึงจะเหมือนปรากฏในห้วงแห่งกาลเวลาที่นอกวังหลวง ในพื้นที่ที่กำหนดไว้

หลังจากนั้น 8 ชั่วยาม ในราตรีมืดมิดนี้ สวี่ชิงไปจากจวน

หลังจากก้าวข้ามตุ๊กตาผ้าตัวนั้น เขาหยุดเล็กน้อย ก้มหน้าลงมอง

ครู่หนึ่ง สวี่ชิงดึงสายตากลับมา ก้าวข้ามไป

เขาคำนวณเวลา ทันทีที่ศาลบูรพกษัตริย์ปรากฏขึ้น ก็มาถึงข้างหน้าศาลบูรพกษัตริย์อย่างตรงเวลา

ท้องฟ้าแม้จะมืดมิด แต่ในเสี้ยวขณะนี้ก็ยังมีสีสันพร่างพรายปะปน

ศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่พราวพร่างแห่งหนึ่ง ปรากฏออกมาจากในห้วงกาลเวลา ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวง

สวี่ชิงไม่ใช่คนแรกที่มาถึง พูดให้ถูกต้องคือ ทุกคนล้วนมาถึงในเวลาเดียวกัน ยืนอยู่ที่นี่ด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง

ในฐานะที่เป็นอ๋องสวรรค์ สวี่ชิงย่อมยืนอยู่ข้างหน้าสุด

อ๋องเจิ้นเหยียนอยู่ข้างๆ เขา

หลังจากอ๋องสวรรค์ไปคือโหวนภา จากนั้นก็เป็นขุนนางทั้งหลาย มากมายถึงหลายพันคน แต่กลับเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง

สายตาทั้งหมดล้วนรวมอยู่ที่ข้างหน้าสุด

ตรงนั้นมีเงาร่าง 6 ร่าง ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า

เป็นจักรพรรดิมนุษย์และองค์ชายที่ได้รับสิทธิ์ติดตามนั่นเอง!

จักรพรรดิมนุษย์วันนี้อาภรณ์หรูหราและอลังการอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความทรงอำนาจน่าเกรงขามยิ่งเป็นเช่นนั้น

ข้างหลังเขาคือองค์ชายใหญ่ องค์ชายสี่ องค์ชายห้า และองค์ชายสิบสอง

หนิงเหยียนปิดด่านมาโดยตลอด แต่วันนี้ ต่อให้เป็นการบำเพ็ญที่สำคัญแค่ไหน ก็จะต้องปรากฏตัวในงานเช่นกัน

และไม่ว่าจะเป็นเขาหรือองค์ชายทั้งหลายองค์อื่นๆ เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนต่างไปจากปกติ ล้วนงดงามหรูหรา เป็นพิธีการอย่างมาก

เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้คนค่อนข้างประหลาดใจก็คือ ข้างหนิงเหยียนองค์ชายสิบสอง มีองค์ชายองค์ที่ห้ายืนอยู่ด้วย

นั่นคือองค์ชายสิบ!

เขายืนอยู่ตรงนี้ได้ ย่อมได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษจากจักรพรรดิมนุษย์แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีราชโองการใดๆ ทั้งสิ้น

แต่เรื่องเกี่ยวกับองค์ชาย คนอื่นๆ ก็พูดอะไรมากไม่ได้ ฐานะอาจารย์ของสวี่ชิงแม้จะถามไถ่ได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ เขาก็ไม่มีจิตใจไปถามเช่นกัน

จวบจนกระทั่งหลังจากนั้น 10 กว่าอึดใจ ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของคนทั้งหลาย สายตาของจักรพรรดิมนุษย์กวาดไปบนร่างของขุนนางทั้งหลาย

จักรพรรดิมนุษย์ในเสี้ยวขณะนี้ เหมือนว่าอารมณ์จะแตกต่างไปจากปกติ

โดยปกติในสายตาของเขาจะไม่เห็นอารมณ์เลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้…ในนั้นเหมือนว่าจะมีระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย

เหมือนว่า เขามองขุนนางทั้งหลายเป็นครั้งสุดท้าย มองขุนเขาและสายน้ำแถบนี้เป็นครั้งสุดท้าย มองเผ่ามนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย และมองรูปสลักมหาจักรพรรดิที่อยู่ที่ไกลเป็นครั้งสุดท้าย

จากนั้น จักรพรรดิมนุษย์ก็สูดลมหายใจลึก ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือดวงตาทั้ง 2 ล้วนกลับสู่สภาวะปกติ ก่อนจะหันหลังไป

ท่ามกลางการก้มศีรษะและถอยหลังไปขององค์ชายทั้งห้า เขาทอดสายตามองไปยังศาลบูรพกษัตริย์ ยกเท้าเดินไปทีละก้าวๆ มุ่งหน้าไปยังศาลบูรพกษัตริย์

จนกระทั่งเดินออกไปไกล 10 กว่าจั้ง องค์ชายทั้งห้าที่อยู่ข้างหลังถึงได้เดินตามออกไปอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

ใน 3 ชั่วยามสุดท้าย ตามพิธีของการเซ่นไหว้บรรพชน จักรพรรดิมนุษย์จะนั่งสมาธิในศาลบูรพกษัตริย์ รอเวลาหมุนผ่านไป องค์ชายที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ติดตามมาเซ่นไหว้บรรพชน มาอยู่ข้างหลัง คุกเข่าอยู่ในศาลบูรพกษัตริย์ รอดวงอาทิตย์ขึ้น

ทั้งข้างนอกและในศาลบูรพกษัตริย์ ใน 3 ชั่วยามนี้ เงียบสงัด

กระทั่งว่าแม้แต่ในเมืองหลวง ในเสี้ยวขณะนี้ก็เงียบเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

จากเวลาที่ไหลไปทีละนิดๆ ความมืดมิดบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ จืดจางลง ปลายขอบฟ้าราวมีเปลวเพลิงลุกไหม้ ก่อเป็นทะเลเพลิง เผ่าไหม้ราตรีมืด

จวบจนกระทั่งเสี้ยวขณะต่อมาแสงสีแดงเพลิงแแผ่ลาม เหมือนมียักษ์ที่ค้ำยันฟ้าดิน ยกมือเปิดผ้าคลุมโปร่งบางแห่งราตรีออก

ทันทีที่ประกายแสงรุ้งสาดแสงไปทั่วทุกสารทิศ ปกคลุมฟ้าดิน ส่องมายังโลก

“ถึงยามเซ่นไหว้แล้ว!”

ในเสี้ยวขณะนี้ มีเสียงแซ่ซ้องฮึกเหิมดังไปทั่วฟ้าดิน

นอกศาลบูรพกษัตริย์ ระดับบนตั้งแต่อ๋องสวรรค์ ไปจนถึงระดับล่างขุนนางตัวเล็กๆ ต่างคุกเข่าคารวะคำนับในเสี้ยวขณะนี้

“ดาวจักรพรรดิเปิด!”

สิ่งที่มาพร้อมเสียงนี้ยังมีเพลงบรรเลงจากระฆังเปียนจงก้องกังวานเป็นระลอกๆ เกิดเป็นเสียงอันเคร่งขรึม ดังสะท้อนก้องมา

ในแสงพร่างพรายบนท้องฟ้า มังกรที่แปลงมาจากพลังชะตาเผ่ามนุษย์ เคลื่อนไปในแสง บินวนล้อมอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง พ่นนิมิตมงคลออกมาเป็นระลอกๆ

ขณะเดียวกัน เงาของปราชญ์เมธีเผ่ามนุษย์ก็ปรากฏขึ้นบนม่านฟ้า ต่างโค้งคารวะไปทางวังหลวงพร้อมกัน

ที่ทำความเคารพย่อมไม่ใช่จักรพรรดิมนุษย์คนปัจจุบน แต่เป็น…ดาวจักรพรรดิโบราณ

เสี้ยวขณะต่อมา ดาวจักรพรรดิโบราณทอประกายแสงพร่างพราย ในเสี้ยวครืนครั่นสนั่นหวั่นไหว มันพลันลอยขึ้นฟ้า ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาคนทั้งหลาย ความตื่นตะลึงก็เกิดตามมา

บนดาวดวงนี้ หมอกหนาแน่นที่เดิมอยู่บนนี้ ตอนนี้กำลังเดือดพล่านอย่างรุนแรง แล้วแปรเปลี่ยนเป็นสี 7 สี กลายเป็นสายรุ้ง ทอดตัวมายังศาลบูรพกษัตริย์

สุดท้ายก็เชื่อมต่อกับศาลบูรพกษัตริย์!

หมอก 7 สีกลายเป็นทางเส้นหนึ่ง ซึ่งก็เป็นสะพานเส้นหนึ่งด้วยเช่นกัน

จักรพรรดิมนุษย์ในศาลบูรพกษัตริย์ตอนนี้เดินออกมา ลอยขึ้นฟ้า เหยียบย่างไปบนสะพานหมอก 7 สีก่อน เดินอยู่ข้างหน้าสุด

องค์ชายทั้ง 5 ที่อยู่ข้างหลัง ห่างออกไป 10 จั้ง ก้มศีรษะติดตาม

จากนั้น ในดวงตาของอ๋องเจิ้นเหยียนแฝงด้วยความล้ำลึก ก้าวไปข้างหน้า อ๋องสวรรค์ทั้งหลายเหยียบไปบนสะพานหมอก 7 สีเช่นกัน

สวี่ชิงอยู่ในนั้น สีหน้าเคร่งขรึมมาโดยตลอด

และข้างหลังพวกเขาคือโหวนภา คือขุนนางทั้งหลายเรียงตามลำดับขั้น แบ่งเป็นหลายกลุ่ม ข้างหน้าหลังห่างกัน 10 จั้ง เดินบนสะพานสายรุ้ง

มองไปไกลๆ ท่ามกลางความเงียบนิ่งของทุกคน คนหลายพันคนเดินไปข้างหน้าโดยมีจักรพรรดิมนุษย์เป็นผู้นำ ค่อยๆ ใกล้เข้าไปยังดาวจักรพรรดิโบราณช้าๆ

ในเสี้ยวขณะนี้ ประชาชนในเมืองหลวงและผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่ไม่มีสิทธิ์มายังศาลบูรพกษัตริย์ต่างเงยหน้า ทอดสายตามองภาพที่สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง

ขณะเเดียวกัน มีเสียงแซ่ซ้อง ทำลายความเงียบในฟ้าดิน เอ่ยเรียกชื่อแล้วชื่อเล่าออกมา

“อ๋องเจิ้นเหยียน อ๋องเจิ้นชาง…”

ชื่อเหล่านี้ จากการเคลื่อนหน้าไปของคนทั้งหลายบนสะพานหมอก 7 สี ก็ดังออกมาไม่ขาดสาย

ไม่ใช่อ๋องสวรรค์ทุกคนจะมีชื่ออยู่ในนั้น และไม่ใช่โหวนภาทั้งหมดจะถูกเรียกชื่อ สำหรับขุนนางที่อยู่ข้างหลังก็ย่อมเป็นเช่นนี้เช่นกัน

จวบจนกระทั่งเรียกถึงชื่อที่ 99 เสียงนั้นก็หยุดลง

“ท่านทั้งหลายที่ถูกเอ่ยนาม ได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปในดาวจักรพรรดิ เป็นประจักษ์พยานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนครั้งนี้”

ในขณะที่ประโยคนี้ดังสะท้อน ในทันทีที่เงาร่างของจักรพรรดิมนุษย์เดินไปถึงสุดปลายทางสะพานหมอก เขาก็ไม่ได้หยุดลง เพียงก้าวเกียวก็เหยียบย่างเข้าไปในดาวจักรพรรดิโบราณ

จากนั้น องค์ชายทั้ง 5 ก็ทยอยเดินไป จากนั้นก็เป็นขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ถูกเรียกชื่อ

และในยามที่ผู้มีสิทธิ์ทุกคนซึ่งรวมสวี่ชิงอยู่ในนั้นเดินออกไปจากสะพานหมอก ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในดาวจักรพรรดิโบราณ ดาวจักรพรรดิโบราณดวงนั้นพลันสั่นขึ้นมา หมอกเดือดพล่านในนั้น มองเห็นเลาๆ ว่า คล้ายว่าบนดาวดวงนี้มีแท่นบูชาขนาดมหึมาแท่นหนึ่งลอยขึ้นมา

ขณะเดียวกัน ค่ายกลใหญ่ที่เมืองหลวงเผ่ามนุษย์ ก็พลันเปิดออกอย่างเต็มที่ในเสี้ยวขณะนี้ โดยเน้นการป้องกันมาที่นี่

ส่วนผู้ที่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในดาวจักรพรรดิโบราณเหล่านั้นก็จะอยู่บนสะพานหมอก หมอบคารวะอย่างเคร่งขรึมทุกคน

พวกเขาจะเป็นประจักษ์พยานต่อพิธีเซ่นไหว้บรรพชนที่นี่

ส่วนแท่นบูชาที่ลอยขึ้นมาในดาวจักรพรรดิโบราณแท่นนั้น ตอนนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ลอยอยู่กลางท้องฟ้าดาวจักรพรรดิโบราณ

กลายเป็นหอบูชาฟ้า!

ใต้หอบูชาฟ้า ผู้มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ทุกคน ตอนนี้มาปรากฏตัวที่นี่ สวี่ชิงมองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ พึมพำในใจ “ที่นี่…ก็คือดาวจักรพรรดิโบราณ”

สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือพลังชะตาที่เข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนระลอกคลื่นสายเลือดราชวงศ์ที่อยู่รอบๆ

ฟ้าดินเปลี่ยนสีในเสี้ยวขณะนี้ ลมเมฆหอบทะลัก

และที่นี่นอกจากมีพลังชะตาและระลอกคลื่นพลังสายเลือดราชวงศ์แล้ว ยังมีพลังวิญญาณที่น่าตื่นตะลึงอีกด้วย

ความเข้มข้นใกล้เคียงกับระดับขีดจำกัดสูงสุดแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นกระแสวิญญาณเป็นทางๆ ไหลไปในความว่างเปล่าของดาวจักรพรรดิโบราณดวงนี้ ประดุจมังกรวิญญาณมากมาย เจิดจ้าพร่างพรายเป็นอย่างยิ่ง

แต่สวี่ชิงยังไม่ทันจะสำรวจได้มากกว่านี้ พิธีเซ่นไหว้บรรพชนก็เริ่มขึ้น

เสียงแซ่ซ้องดังก้อง

“จักรพรรดิมนุษย์สวมเกราะ”

เซ่นไหว้บรรพชนเป็นพิธีที่ต้องดำเนินโดยจักรพรรดิมนุษย์ ดังนั้น ท่ามกลางสายตาคนทั้งหลาย จักรพรรดิมนุษย์เดินไปข้างหน้า มีประกายแสงพร่างพรายรวมมาจากข้างหน้า แล้วแปรเปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวเนื้อหยาบบนร่างของเขา

“ตั้งแต่โบราณจักรพรรดิ์ได้รับบัญชาแห่งสวรรค์ เป็นผู้ปกครองทั้งฟ้าดิน ถอดมงกุฎและทิ้งรองพระบาท อันหมายถึงการกลับคืนสู่ฟ้าดิน”

เสียงดังขึ้นอีกครั้ง

จักรพรรดิมนุษย์หลับพระเนตร มงกุฎบนศีรษะบินลอยออกไปเอง ทั้งยังมีรองพระบาทก็เลือนลับหายไปเช่นกัน

มีเงามายาหลอมรวมขึ้นจากในพลังชะตา 2 มือรับเอาไป

เช่นนี้แล้ว จักรพรรดิมนุษย์เบื้องบนไร้สิ่งขวางกั้น ใต้พระบาทไร้สิ่งขัดขวาง ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

“จุดธูปแห่งพลังชะตาเผ่ามนุษย์ บรรพชนโปรดลงมาสังเวย”

ข้างหน้าจักรพรรดิมนุษย์ พลังชะตารวมมาอีกครั้ง แปรเปลี่ยนเป็นกระถางธูป 3 ขาขนาดมหึมา ยิ่งมีธูป 3 เล่มปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า ปรากฏขึ้นมาในมือจักรพรรดิมนุษย์ เขาปักมันไปในกระถางด้วยท่าทีเคร่งขรึม

เสี้ยวขณะต่อมา ธูปลุกไหม้ ควันอ้อยอิ่งลอยขึ้นฟ้า

เพียงพริบตา ท้องฟ้าส่งเสียงครืนครั่น เมฆหมอกเดือดพล่าน ในนั้นยิ่งมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ มองเห็นรางๆ ว่าเหมือนประตูมายาปรากฏขึ้นมา

ประตูบานนี้ลอยอยู่ในฟ้าดิน เหมือนทะลุผ่านโลกต่างมิติแต่ละใบๆ มา

ตอนนี้ในประตูแผ่ไอพลังสีดำออกมา เหมือนว่ามีตัวตนแปลกประหลาดบางอย่าง สัมผัสได้ถึงธูปแห่งพลังชะตา คิดจะแปลงเป็นภูตผีปีศาจมารร้าย คิดจะพังประตูออกมา

แต่ในตอนที่ประตูบานนี้ส่งเสียงดังสนั่นสั่นสะเทือน กลิ่นอายที่น่ากลัวยิ่งกว่าเป็นทางๆ ก็พลันแผ่ออกมาจากส่วนลึกของดาวจักรพรรดิโบราณ

การปรากฏตัวขึ้นของพวกมันทรงพลังอำนาจเป็นอย่างยิ่ง วนล้อมทั่วทุกสารทิศ ก่อเป็นพลังกดดันมหาศาลราวมหาสมุทร ยิ่งมีเสียงพึมพำฟังไม่ชัดเป็นระลอกดังสะท้อนมาจากรอบๆ

เสียงพึมพำนี้มีพลังน่าตื่นตะลึง ทันทีที่ดังออกมา ฟ้าดินก็สั่นไหว

นอกจากบริเวณที่หอบูชาฟ้าตั้งอยู่ ทุกอย่างที่อยู่รอบๆ รวมถึงประตูมายาเหล่านั้น ก็ต่างแหลกสลายพังทลายไปในเสียงพึมพำที่น่าหวาดกลัวนี้ กลายเป็นฝนวิญญาณ โปรยปรายในดวงดาว แปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยง

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงที่ได้ดูพิธีนี้เป็นครั้งแรกในใจเกิดระลอกคลื่น

ส่วนจักรพรรดิมนุษย์ทางนั้น หลังจากที่จุดธูปแล้ว ฝีเท้าไม่หยุดลงเลยแม้แต่น้อย เดินไปตามบันไดข้างหน้า เดินไปยังส่วนที่สูงที่สุดของหอบูชาฟ้า เดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ข้างหลังของเขาเป็นองค์ชายทั้ง 5 ที่รวมหนิงเหยียนอยู่ในนั้นด้วย แต่ละคนล้วนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบหนาที่แปรเปลี่ยนจากพลังชะตา ถอดมงกุฎถอดรองเท้า เดินตามไปด้วยเท้าเปล่า

เดินขึ้นไปยังแท่นบูชาฟ้า

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version