Skip to content

Outside Of Time 960


บทที่ 960 ตัดขาดเคราะห์กรรม

ท้องฟ้านิ่งงัน

โลกมนุษย์เงียบสงบ

ลมที่พัดมาเมื่อครู่สงบลงทันใด

ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน มีเพียงกระแสวนที่เกิดจากกระจุกดาราสุกใสที่เข้ามาแทนที่ผืนนภา และยังคงหมุนวนอย่างเงียบงัน

พวกมันจะคงอยู่สักพักหนึ่ง เป็นร่องรอยของสงครามสะเทือนโลกานั้น

ขณะนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ได้จากไปแล้ว

เทพทั้ง 3 จากเผ่ากระดูกต้นกำเนิดแห่งยมโลก เผ่าราชันประกาศิตอุดร และเผ่าเอกภพแดนสีชาด ด้านนอกดาราจักรพรรดิโบราณ ต่างรู้ดีว่าการสำเร็จเทพของจักรพรรดินีนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป

ดังนั้น เหล่าองค์ท่านจึงเลือกที่จะถอยหลัง มองร่างจักรพรรดิบนท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัวและซับซ้อน

แต่ในใจยังคงมีความคิดอื่นอยู่ แม้ว่าความคิดเหล่านั้นจะกลายเป็นจริงได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับโอกาส

ส่วนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่ตกลงกัน ก็จ้องมองไปขึ้นไปบนฟากฟ้า จ้องมองไปที่จักรพรรดิแห่งเผ่ามนุษย์ ความทรงจำและความผันผวนผุดขึ้นในสายตาของเหล่าองค์ท่าน

ความทรงจำนั้น อาจไม่ใช่จักรพรรดิองค์ตรงหน้า และความผันผวน อาจไม่ใช่ดินแดนต้องประสงค์ในเวลานี้

บางทีอาจเป็นจักรพรรดิเหนือ หรือเซียนเหนือ

เหล่าองค์ท่านต่างนึกถึงคนผู้นั้น

รอบด้านเงียบสงัด

ทุกสายตา ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินี เทพเจ้า หรือขุนนาง และประชาชนในเมืองหลวงจักรพรรดิ หรือแม้กระทั่งจิตเทพที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า

เวลานี้ ต่างจ้องมองไปกลางอากาศเพื่อมองร่างของผู้ที่ลงกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย ทำให้ดินแดนต้องประสงค์ต้องสั่นสะเทือน

ในความเงียบสงบและภายใต้สายตาของทุกคน จักรพรรดิจึงหันหลังกลับอย่างเชื่องช้า

พร้อมกับทอดถอนใจแผ่วเบา

ร่างกายที่สร้างจากดวงชะตาค่อยๆ สลายไป จนเหลือเพียงโครงร่างเท่านั้น และเผยร่างของสวี่ชิงออกมา

กายเนื้อนั้นตกลงสู่พื้นดิน และทอดร่างลงบนกลองรบเผ่ามนุษย์

ขณะเดียวกัน วิญญาณอันเลือนลางก็หลุดลอยออกมาจากร่างของสวี่ชิง ลอยคว้างกลางอากาศ

นั่นคือวิญญาณของจักรพรรดิ

กำลังสลายตัวอย่างไม่อาจหวนคืน

พระองค์ปกป้องโลกมนุษย์มานานหลายหมื่นปี กรำศึกนับไม่ถ้วน สังหารเทพเจ้ามากมาย ทว่าวันนี้…พระองค์เหนื่อยล้ามากแล้ว

ความเหนื่อยล้าจากจิตวิญญาณแผ่ขยายไปทั่วในเวลานี้

พลังชีวิตของพระองค์ดับสูญไปนานแล้ว เหลือเพียงร่างอวตารที่ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งถึงจุดจบของชีวิต

ความเหนื่อยล้าของพระองค์ปรากฏออกมาเป็นเวลานับหมื่นปีแล้วและยังคงสะสมมาจนถึงปัจจุบัน

พระองค์มีอายุยืนยาวไม่มีที่สิ้นสุดได้ รับเกียรติยศสูงสุดได้ หลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้าได้

สิ่งที่พระองค์ต้องทำ คือเลือกตนเองแทนเผ่าพันธุ์ในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น

ทว่าพระองค์กลับเลือกเผ่าพันธุ์

บางครั้ง การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ก็จะนำไปสู่เส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ไม่มีทางกลับไปได้อีก

เสียใจหรือ…

จักรพรรดิยิ้มออกมา นานมากแล้วที่พระองค์ไม่ได้ยิ้ม

“ไม่เสียใจ” จักรพรรดิกระซิบในใจ

เดินทางข้ามผืนแผ่นดินและทะเลมานับหมื่นปี ก้าวผ่านกาลเวลาอันยาวนาน สู้รบสังหารเทพเจ้า และปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์มาชั่วชีวิต

ชีวิตเช่นนี้ ดีกว่าการซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ห่างไกลและดำรงชีวิตอยู่ต่อไปอย่างยากลำบาก

เมื่อคิดเช่นนี้ จักรพรรดิจึงมองไปรอบๆ โลกมนุษย์ มองไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิ มองไปยังแดนใหญ่ทั้งหลาย มองขุนเขาธารา และสุดท้ายก็มองคน 2 คน

คนหนึ่งคือสวี่ชิง ผู้สืบทอดกระบี่ของพระองค์ ผู้ที่จะก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางนี้

พระองค์ไม่อาจจำกัดเส้นทางของอีกฝ่าย จะก้าวเดินไปอย่างไร จะไปที่ใด ล้วนให้อิสระแก่อีกฝ่าย ส่วนกระบี่นั้น…จะฟาดฟันอย่างไร ใช้ที่ใด ก็เป็นสิทธิ์ของเขา

“เด็กคนนี้ มีเคราะห์กรรมใหญ่หลวงนัก…อดีตและอนาคตของเขาอาจจะเหนื่อยยากกว่าข้าเสียอีก”

อีกคนคือจักรพรรดินี

หญิงสาวที่ร่ำไห้เมื่อถูกเสวียนจั้นกลืนกิน หญิงสาวผู้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเผ่ามนุษย์ ทำให้ใจของพระองค์เกิดความผันผวน

พระองค์นึกถึงลูกสาวของตนที่ถูกเทพเจ้ากลืนกิน

ดังนั้น พระองค์จึงช่วยจักรพรรดินีเอาไว้

“ไม่ใช่จักรพรรดิทุกคนที่จะเป็นจักรพรรดิที่ดี…แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาที่ข้าจากไป นางก็เป็นคนดี”

มองไปที่จักรพรรดินีที่ไฟเทวะลุกโชนทั่วร่าง จักรพรรดิมองด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง

เขาอยากจะเห็นว่าผู้บำเพ็ญที่ก้าวข้ามระดับเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดด้วยดวงชะตาทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ และหันมาฝึกบำเพ็ญวิถีเทพ จะก้าวหน้าถึงขั้นไหน

จะเป็นขั้นสูงสุดของสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หรือว่า…จะก้าวขึ้นสู่แท่นเทวะ!

ส่วนคำสอนของบรรพชนที่ว่าเผ่ามนุษย์ไม่สามารถเป็นเทพได้นั้น

พระองค์น้อมรับปฏิบัติตาม

ดังนั้นตลอดชีวิตของพระองค์ พระองค์จึงไม่เคยเลือกที่จะสำเร็จเทพ

แต่หลังจากที่พระองค์จากไป เผ่ามนุษย์จะทำอย่างไร

เมื่อไม่มีพระองค์คอยปกป้องเผ่ามนุษย์อีกต่อไป ใครจะเป็นผู้ปกป้อง…

ระหว่างคำสอนของบรรพชนและชีวิตของผู้คนมากมาย จักรพรรดิไม่อยากคิดถึงมันอีกแล้ว

พระองค์เพียงต้องการใช้เวลาที่เหลืออยู่ มองดูโลกมนุษย์ที่พระองค์ปกป้องมาโดยตลอด

และ…ตกปลาอีกครั้ง

ดังนั้น ในขณะที่วิญญาณของพระองค์เลือนลาง จักรพรรดินีมีสีหน้าเปลี่ยนไป และสวี่ชิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นนั้น

เบื้องหลังร่างจักรพรรดิ มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วจากความว่างเปล่า มุ่งตรงไปยังวิญญาณของจักรพรรดิ แล้วยกมือฟาดอย่างแรง

“ข้าจะส่งเจ้าไปสู่ภพหน้า!”

ผู้ที่ปรากฏตัวคืออวี้หลิวเฉิน!

องค์ท่านไม่ได้จากไปไหน แต่ซ่อนตัวอยู่เพื่อรอโอกาสนี้ และในที่สุดองค์ท่านก็พบโอกาสเปลี่ยนการเดินทางครั้งสุดท้ายเป็นการอำลา!

แต่ในขณะที่ทุกคนตกตะลึงและมือของอวี้หลิวเฉินกำลังจะแตะร่างของจักรพรรดิ

จักรพรรดิที่ดูเหมือนจะไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ก็ยกมือขึ้นและหวดออกไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

พลังมหาศาลพลุ่งพล่านออกมาจากร่างของพระองค์ ทำให้กระแสวนบนฟากฟ้าหมุนเร็วขึ้นทันที จากความสงบกลายเป็นความโกลาหล

เสียงคำรามดังกึกก้อง

ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นการรอคอยการปรากฏตัวของเหยื่อ

พายุลูกใหม่อันน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นในขณะนั้น พัดกระหน่ำไปยังอวี้หลิวเฉินด้วยพลังที่ทำลายล้างทุกสิ่งได้

อวี้หลิวเฉินตัวสั่น เลือดสีทองพุ่งออกจากปากเป็นกองใหญ่

กระบี่ที่ฝังอยู่ในอกปล่อยปราณกระบี่ออกมา ทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายของเขา เสียงกรีดร้องโหยหวนของอวี้หลิวเฉินดังก้องไปทั่วผืนฟ้า “เจ้ายังมีลูกเล่นอีกหรือ! พวกเจ้า…เหตุใดยังไม่ลงมืออีก มัวรออะไรอยู่!”

อวี้หลิวเฉินสีหน้าบิดเบี้ยว เสียงของเขาทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เมื่อแผดเสียงออกไป เขาก็พุ่งเข้าใส่จักรพรรดิครองกระบี่อีกครั้ง

แทบจะในทันทีที่อวี้หลิวเฉินพูดจบ พายุลูกใหญ่ก็พัดกระหน่ำขึ้นมาบนท้องฟ้า ลมหนาวผ่านทุกหนทุกแห่ง จนโลกทั้งใบกลายเป็นสีขาวโพลนไปด้วยหิมะ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น

ไม่ว่าจะเป็นเมฆหมอก ภูเขา แม่น้ำ หรือแม้แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ ทุกสิ่งจะถูกแช่แข็งในสายลมนี้

เพราะนี่คือสายลมสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เป็นสายลมของเทพเจ้า

นี่คือลมแห่งอำนาจเทพเจ้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอีกองค์จากเผ่าราชันประกาศิตอุดร

เพทเจ้าองค์หนึ่งก้าวออกมาจากสายลม

รูปร่างของเทพเจ้าองค์นี้เลือนราง ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน องค์ท่านผสานร่างเข้ากับสายลม กลายเป็นฝ่ามือที่สร้างจากลม พุ่งออกไปหาจักรพรรดิ

เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นว่า 2 ฝั่งของจักรพรรดินั้น มีอวี้หลิวเฉินอยู่ฝั่งหนึ่ง และเทพเจ้าแห่งสายลมหนาวอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

เทพเจ้าผู้น่าสะพรึงกลัวทั้ง 2 องค์โจมตีพร้อมกัน

ในขณะเดียวกัน ก็มีเทพเจ้าอีกเจ็ดแปดองค์ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า เหล่าองค์ท่านซ่อนตัวอยู่รอบๆ ตลอดเวลา..เพื่อโอกาสนี้

สิ่งที่เหล่าองค์ท่านต้องการคือแสงแห่งดวงชีพที่เปล่งออกมาจากกึ่งเซียนองค์สุดท้ายแห่งดินแดนต้องประสงค์ ก่อนที่พระองค์จะสิ้นลมหายใจ

ฉากนี้ปรากฏต่อสายตาของเผ่ามนุษย์

จักรพรรดินีตัวสั่นไปทั้งร่าง นางพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ร่างกายของนางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ในช่วงเวลาที่เปลวไฟเทวะกำลังจะก่อตัวขึ้น คือช่วงเวลาที่นางอ่อนแอที่สุด

ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะขึ้นไปสู้รบได้

สวี่ชิงเลือดเข้าตาทันใด เมื่อตื่นขึ้นมา เขารู้สึกว่าร่างกายและจิตวิญญาณของเขามีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป

ความสมบูรณ์ที่ได้จากการตีกลองเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ราวกับว่าบาดแผลทั้งภายในและภายนอกของเขาถูกจักรพรรดิเยียวยาเป็นปลิดทิ้ง

จนถึงตอนนี้ เขาสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

ไม่เพียงเท่านั้น ร่องรอยสุดท้ายของจักรพรรดิบนกระบี่จักรพรรดิก็หายไปด้วย

จักรพรรดิได้มอบกระบี่เล่มนี้ให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบ!

นอกจากนี้ ในจิตวิญญาณของเขายังมรดกที่สืบทอดมาจากจักรพรรดิ

วิถีแห่งกระบี่

ชื่อของมรดกคือ 3 คำนี้

เป็นวิชาที่ล้ำค่าที่สุดของจักรพรรดิ เป็นมรดกตกทอดของพระองค์!

และเป็นวิชาที่ใช้สังหารดาบสวรรค์เมื่อครู่

บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางตอบแทนได้ ได้แต่มองจักรพรรดิถูกล้อมโจมตี แต่ไม่อาจช่วยเหลือได้เลย

สวี่ชิงหยัดกายขึ้นมาพรวดพราด แม้เขาจะไม่มีคุณสมบัติ แต่เขาก็ต้องการจะต่อสู้

ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงที่สงบเยือกเย็นก็ดังขึ้นมาจากท้องฟ้า

“อย่าเพิ่งใจร้อน”

สุรเสียงอันราบเรียบ สะท้อนก้องในเผ่ามนุษย์ ปลอบประโลมให้ทุกคนอุ่นใจ เฉกเช่นการปกป้องที่มอบให้นับหมื่นปี

เสียงนี้กังวานไกลไปทั่วโลก ปลอบโยนจิตใจของจักรพรรดินีและสวี่ชิงลง ในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิครองกระบี่บนนภา ดวงหน้าไม่ได้แสดงอาการหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ราวกับการที่เทพเจ้ารวมตัวกันโจมตีพระองค์ไม่ใช่เรื่องพิเศษแต่อย่างใด

พระองค์เพียงแต่ยกมือขวาขึ้น แล้วเอื้อมไปยังร่างของอวี้หลิวเฉินที่กำลังพุ่งเข้ามา

เมื่อถูกคว้าตัว อวี้หลิวเฉินก็สั่นสะเทือนไปทั้งร่าง กระบี่มายาที่ฝังอยู่ในอกของเขาส่งเสียงกระบี่สะเทือนนภา และพุ่งออกมา

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีที่กระบี่เล่มนี้ถูกดึงออกมาจากอกอวี้หลิวเฉิน

ทันทีที่ปรากฏตัว กระบี่นั้นพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ส่งปราณกระบี่พลังมหาศาล ตกลงไปในมือของจักรพรรดิ

เมื่อจักรพรรดิรับกระบี่ ก็ฟันฝ่ามือลมหนาวที่กำลังพุ่งเข้ามาโจมตี!

แสงกระบี่สว่างวาบไปทั่วท้องฟ้า

ฝ่ามือลมหนาวขาดออกเป็นท่อนๆ โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น โลหิตเทวะสาดกระจายไปทั่ว ลมหนาวที่สามารถแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างพลันสลายไป

และแล้วเทพเจ้าเผ่าราชันประกาศิตอุดรก็อันตรธานหายไปโดยไม่ลังเล

พลังที่เหลือแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้เหล่าเทพเจ้าที่พุ่งตัวออกมาจากความว่างเปล่าต่างกระอักเลือด ถอยหนีไปคนละทิศละทาง ไม่กล้าเข้าใกล้อีกแม้แต่น้อย

จักรพรรดิยังมีกระบี่อีกเล่ม!

กระบี่เล่มนี้ถูกซ่อนอยู่ในอกของอวี้หลิวเฉินมาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน และวันนี้…มันก็ถูกดึงออกมา

ความตกตะลึงเกิดขึ้นรอบด้าน

ในขณะที่เหล่าเทพเจ้าถอยทัพ อวี้หลิวเฉินก็ล่าถอยเช่นกัน ทว่าดวงตาของพระองค์ฉายแววกระจ่างชัดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปฏิกิริยาตอบสนองทั้งหมดก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น

กลายเป็นความสงบไร้สิ่งใดเทียบเทียง

“บุญคุณที่เคยไว้ชีวิตเมื่อครั้งนั้น ข้าได้ตอบแทนแล้ว!”

องค์ท่านมาที่นี่เพื่อดูการจากไปครั้งสุดท้าย และเพื่อส่งกระบี่เล่มสุดท้ายให้

เมื่อพูดจบ ร่างกายขององค์ท่านที่บาดเจ็บก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว องค์ท่านหันหลังกลับ แล้วเดินกลับเข้าไปในความว่างเปล่าพร้อมกับเสื้อคลุมสีแดงเพลิง

“ตัดขาดเคราะห์กรรมแล้ว จื่อเจี้ยน…ขอลาก่อน”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version