Skip to content

Outside Of Time 961


บทที่ 961 ตะวันรอนสะท้อนจิตใจ ตะวันแย้มสาดส่องต้องประสงค์

“อวี้หลิวเฉิน!”

CC

เสียงลมเย็นเยียบทอดมาจากความว่างเปล่า ในนั้นแฝงความเคร่งขรึม แฝงจิตสังหาร นั่นคือเสียงของเทพสายลมจากเผ่าราชันประกาศิตอุดรที่อยู่ไกลออกไป

แต่ก็มีแค่นั้น

อวี้หลิวเฉินที่ไม่มีกระบี่เสียบหน้าอกย่อมฟื้นฟูพลังบำเพ็ญของตนได้โดยไม่มีอุปสรรคใด และหลายหมื่นปีก่อนหน้านี้องค์ท่านก็อยู่ในขั้นแท่นเทวะ

แม้แข็งกล้าเช่นเผ่าราชันประกาศิตอุดรไม่เกรงกลัวแท่นเทวะ แต่ไม่ถึงขั้นจำเป็นยังคงไม่อยากไปมีเรื่องมากนัก โดยเฉพาะแท่นเทวะที่ไม่ได้เลือกจากความศรัทธาของกลุ่มเผ่าบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ความเจ็บช้ำนี้จึงได้เพียงกล้ำกลืน

ยามนี้แต่ละฝ่ายก็เกิดความคิดมากมายเพราะการปรากฏของฉากนี้

มีเพียงมหาจักรพรรดิที่อยู่กลางอากาศ มือถือเงากระบี่ จ้องมองทั่วทิศ

สายตาเลื่อนไปที่ใดล้วนเกิดคลื่นในความว่างเปล่า เทพเจ้าในนั้นถอยแล้วถอยอีก ไม่กล้าเผชิญหน้า

จิตเทพจากเผ่าแข็งแกร่งต่างๆ ก็สั่นสะเทือน ทยอยถอนกลับ

เดิมนึกว่าจักรพรรดิครองกระบี่ใกล้มอดดับแล้ว แต่ฉากเมื่อครู่พลิกฟ้าพลิกดิน ยามนี้ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปลองเชิงครั้งสุดท้าย

ด้วยไม่แน่ใจว่ามาถึงตอนนี้จักรพรรดิครองกระบี่…ยังมีไม้ตายอีกหรือไม่ และกำลัง…ล่อเหยื่ออยู่หรือเปล่า

แต่ละฝ่ายจึงนิ่งเงียบ

เวลาผ่านไปทีละนิดเช่นนี้ หลาย 10 ลมปราณถัดมา เพลิงเทวะบนกายจักรพรรดินีลุกโชนเทียมฟ้า

บัดนี้ฟ้าดินกลายเป็นสีทอง เพลิงเทวะไร้สิ้นสุดก่อพลังทรงอานุภาพกวาดม้วนขอบฟ้า

ห่างจากความสำเร็จ…

เพียง 10 กว่าลมปราณ!

จักรพรรดิครองกระบี่ที่อยู่กลางอากาศก็จับตาที่จักรพรรดินีเช่นกัน บนหน้าเผยรอยยิ้ม

เพียงแต่ส่วนลึกของรอยยิ้มนี้ซ่อนความเหนื่อยล้าสาหัสเอาไว้

เขาในตอนนี้ใกล้มอดดับอย่างแท้จริง

แม้เขาอยากให้กระบี่ในมือเปล่งแสงแวววามต่อไปได้ แต่สุดท้ายความอ่อนแอที่ถูกซ่อนไว้ในกายยังคงแผ่ขยาย ทำให้กระบี่เล่มนั้นใกล้ประคองไม่อยู่

ราวกับเงาวิญญาณของเขาเริ่มสลายจากภายใน

แต่เขายังฝืนประคอง อย่างน้อยเบื้องหน้าก็ทำให้ความทรงพลังของตนยังคงอยู่

เขาหมายประคองให้ถึงชั่วเวลาที่จักรพรรดินีเป็นเทพสำเร็จ

จากนั้นพริบตาที่ชีวิตเลือนหาย เขาอยากไปดูโลกใบนี้ ดูเผ่ามนุษย์บนที่นี้และดูพิภพที่เศร้าโศกเป็นครั้งสุดท้าย

หากเทียบกับความอ่อนแอของมหาจักรพรรดิ เพลิงเทวะของจักรพรรดินียิ่งโชติช่วง

ฟ้าดินในใจมหาจักรพรรดิมืดหม่น แต่โลกภายนอกอันเป็นฟ้าดินของจักรพรรดินียิ่งทองอร่าม

กลิ่นอายเทพเจ้าจากตัวจักรพรรดินีกำลังยกระดับขั้นสุดท้าย เกิดเป็นเสียงฟ้าผ่าไร้สิ้นสุด ระเบิดกฎเกณฑ์ ทำลายฐานวิถี

ชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลง!

ภาพฉากนี้ทำให้คนทอดถอนใจ

ด้านหนึ่งหมดสิ้นอายุขัย ด้านหนึ่งพลังชีวิตเต็มเปี่ยม

‘เหมือนหมุนเวียนสับเปลี่ยน…’

มหาจักรพรรดิพึมพำในใจ ความเหนื่อยล้าไร้สิ้นสุด ความอ่อนแอไร้ขีดจำกัดท่วมเขาจมจากในสู่นอกราวกระแสน้ำจากบรรพกาล ทำให้ดวงตาที่เฉียบคมมาตลอดของเขาเกิดความขุ่นมัว

จิตใจที่พร้อมด้วยสติปัญญามาทั้งชีวิตเกิดฝุ่นธุลี

ขณะพร่าเลือน

ความขุ่นมัวนี้สะท้อนเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว

ฝุ่นธุลีนี้กลายเป็นแผ่นกระดาษโดยไร้สุ้มเสียง

สีแดงกับแผ่นกระดาษหลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็น…มนุษย์กระดาษสีแดง 5 ตัว

สีหน้าคล้ายร้องไห้คล้ายแย้มยิ้ม

4 ตัวในนั้นพลันปรากฏรอบร่างวิญญาณจักรพรรดิครองกระบี่ หนึ่งในนั้นกลับปรากฏภายในร่างวิญญาณของเขา

จากนั้น ด้วยเสียงเลื่อนลั่นจากสายฟ้า ด้วยเสียงครวญครางจากบรรพกาล มนุษย์กระดาษ 5 ตัวนี้ล้วนสีหน้าละโมบเด่นชัด พลันพุ่งเข้าไปจาก 4 ทิศ!

มนุษย์กระดาษที่ปรากฏในร่างวิญญาณมหาจักรพรรดิกลับละลายทันใด กลายเป็นสีโลหิตคืบขยายทั่ววิญญาณ ผสานกับมนุษย์กระดาษที่มาจากรอบทิศในฉับพลัน!

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป

และจังหวะก็แม่นยำถึงขีดสุด

ในชั่วขณะที่จักรพรรดินีใกล้สำเร็จ ในจุดที่จักรพรรดิครองกระบี่อ่อนแอที่สุด เข้าขั้นวิกฤติใกล้ประคองไม่ไหว มนุษย์กระดาษ 5 ตัวนั้นใช้ความอดทนเหนือเหล่าเทพ ใช้วิธีชำนาญการล่าเหยื่อราวอสรพิษที่หลบซ่อนในห้วงเวลา

แยกคมเขี้ยวออกมา

โจมตีหมายเอาชีวิต!

มนุษย์กระดาษลงมาครอบเงาวิญญาณมหาจักรพรรดิ

หลอมรวมในชั่วลมปราณ

ฟ้าดินสะเทือนเลื่อนลั่น กลิ่นอายมหาจักรพรรดิถูกลบเลือน กระบี่ในตัวสวี่ชิงส่งเสียงเศร้าโศกถึงขีดสุด

และกลางอากาศ มนุษย์กระดาษเพียงหนึ่งที่เกิดจากการครอบเงาวิญญาณมหาจักรพรรดิไว้ในนั้น ยามนี้ส่งเสียงหัวเราะพึงพอใจ

“ในที่สุดก็ได้แสงกึ่งเซียนดับสลายมาครอบครอง”

ยามนี้ ผู้แข็งแกร่งแต่ละฝ่ายล้วนจิตใจสั่นสะเทือน

พริบตานี้ เทพเจ้าทั้งหลายล้วนเกิดคลื่นในจิตวิญญาณ

ฉากนี้ สรรพชีวิตทั่วฟ้าดินล้วนส่งเสียงที่ไม่มีใครได้ยินทั่วดินแดนต้องประสงค์

นภาเลื่อนลั่น ปฐพีพลิกม้วน โชคชะตาเผ่ามนุษย์คร่ำครวญสะท้านสะเทือน เผ่ามนุษย์ยามนี้ไม่ว่ากลุ่มขุนนางหรือประชาชนล้วนขบเขี้ยวขึงตา จิตใจคำรามลั่นที่สุดในชีวิต

ฟ้า ถล่มลง!

มหาจักรพรรดิ สิ้นชีพ!

“มหาจักรพรรดิ!!”

เงาร่างเป็นสายพุ่งขึ้นตามสัญชาตญาณ เสียงคำรามเจือความโศกเศร้าโมโหไร้สิ้นสุดดังก้องฟ้าดินเผ่ามนุษย์

เห็นมหาจักรพรรดิเป็นเช่นนั้นกับตา เผ่ามนุษย์ไม่ว่าแข็งแกร่งอ่อนแอล้วนยากรับได้

ยามนี้ความเดือดดาลเทียมฟ้า ความบ้าคลั่งสะเทือนโลกาจุดขึ้นในสายเลือดเผ่ามนุษย์ แผดเผาจิตใจเผ่ามนุษย์ทุกคนราวกับเปลวเพลิง

นัยน์ตาสวี่ชิงแดงฉาน ไม่เอ่ยคำใด

นิสัยเขาก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งจิตสังหารรุนแรงยิ่งไม่ส่งเสียง ยามนี้ร่างพลันพุ่งออกไป กระบี่จักรพรรดิในกายเกิดเสียงหวืดหวือ ส่องสว่างทั่วทิศ

และบนท้องฟ้า มนุษย์กระดาษสีแดงที่ยังหัวเราะชอบใจเริ่มเลียริมฝีปาก มองไปยังจักรพรรดินีที่หมายเดินออกจากเพลิงเทวะด้วยร่างกายสั่นเทา

จากนั้นหัวเราะครืนใหญ่อีกครั้ง กำลังจะลงมือ

เป้าหมายขององค์ท่านไม่ได้มีแค่แสงแห่งการดับสลาย

แต่ในตอนนั้นเอง รอยยิ้มขององค์ท่านพลันนิ่งค้าง เสียงโอดครวญชวนสังเวชออกจากปากฉับพลัน ร่างกายยิ่งเริ่มลุกไหม้ในพริบตานั้น

เพลิงนี้อานุภาพไร้สิ้นสุด

นั่นคือการแผดเผาของเพลิงวิถี คือการแผดเผาจากจิตสุดท้ายของจักรพรรดิครองกระบี่ ยิ่งเป็นการเผาไหม้จากไฟโทสะในสายเลือดเผ่ามนุษย์ตอนนี้

“มาถึงตอนนี้ เจ้าครองกระบี่ยังถึงกับมีพลังเหลืออยู่ ใช้การตายของตน วิถีของตน จิตของตนจุดไฟแห่งเผ่ามนุษย์…ร้ายกาจนัก!”

ขณะมนุษย์กระดาษสีแดงโอดครวญ ร่างกายพลันเปลี่ยนเป็นรอยสีเทา ไม่อาจดำเนินแผนร้าย ได้เพียงม้วนแสงกึ่งเซียนดับสลายที่เหลืออยู่น้อยนิดในรอยสีเทาทะลวงความว่างเปล่าออกไป

องค์ท่านได้แสงมหาจักรพรรดิแตกดับไปครองสำเร็จ

จุดนี้ ในบรรดาเทพเจ้าที่มาเยือน มีเพียงองค์ท่านที่ทำได้

แต่จำนวนน้อยลงมากเพราะถูกจิตและเพลิงวิถีเผาไหม้

ราคาที่ต้องจ่าย…กลับใหญ่หลวงหาใดเปรียบ!

ด้วยการลุกไหม้นี้ ไม่เพียงแผดเผามนุษย์กระดาษขององค์ท่าน ยังถึงกับตามผลกรรมไปถึงร่างจริงที่ซ่อนอยู่!

เสียงโอดครวญขององค์ท่านจึงดังก้องขอบฟ้าอยู่นานไม่หาย

แต่ไฟโทสะของเผ่ามนุษย์ยังคงปะทุ

ความโศกเศร้าของเผ่ามนุษย์ยิ่งคืบขยายทั่วฟ้าดินดุจกระแสน้ำ

เพลิงเทวะบนตัวจักรพรรดินีหลอมรวมกับเปลวเพลิงของเผ่ามนุษย์ในยามนี้ ไฟโทสะที่เกิดจากเป้าหมายร่วมของเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนในเปลวเพลิงนั้น ทำให้ตอนนี้เจตจำนงเทพเจ้าของจักรพรรดินีเกิดคลื่นความเป็นมนุษย์รุนแรงถึงขีดสุด

ท่วมท้มจิตใจองค์ท่านยิ่งกว่าความเป็นเทพขององค์ท่าน

จากนั้น เปลวเพลิงกวาดซัดเทียมฟ้า นภากลายเป็นทะเลเพลิงโดยสมบูรณ์ แผดเผาอยู่บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ทั่วทิศล้วนมองเห็นได้

บนดาวจักรพรรดิโบราณ อดีตจักรพรรดิมนุษย์พากันลุกขึ้น

กลิ่นอายเทพเจ้าเข้มข้นปะทุขึ้นบนกายเหล่าองค์ท่านและระเบิดออกมา

องค์ท่านทั้งหลายกลายเป็นเทพในที่สุด

หลังจากนี้ แม้ไม่มีวิญญาณและสติปัญญา แต่กลับเป็นเทพอสุภ…ที่โชคชะตาเผ่ามนุษย์ชี้นำ!

เจตจำนงเผ่ามนุษย์ ก็คือเจตจำนงของเหล่าองค์ท่าน

ทิศทางของเผ่าทั้งหลาย ก็คือทิศทางของเหล่าองค์ท่าน!

และกลางอากาศ กลิ่นอายของจักรพรรดินีเหนือกว่าพลังบรรพกาล เกิดเป็นจิตเทพเจ้าทั้งหลายส่องสว่างฟากฟ้าในพริบตานั้น!

นภาถอดสี ประหนึ่งสวามิภักดิ์

ปฐพีเลื่อนลั่น ประหนึ่งหมอบกราบ

ขุนเขาสายธารนับหมื่นในเขตแดนเผ่ามนุษย์ร่วมสั่นสะเทือน ชาวบ้านที่ระเหเร่ร่อนอยู่ตามที่ต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ล้วนรู้สึกโลหิตพลุ่งพล่านโดยไม่มีสาเหตุ

เพราะการหลอมรวมจากไฟโทสะของเผ่ามนุษย์ ในคลื่นความเป็นมนุษย์ขั้นสูงสุด องค์ท่านตื่นจากฝันได้สำเร็จ

กลายเป็นเทพมนุษย์!

และกลิ่นอายขององค์ท่าน ด้วยพิธีกรรมยิ่งใหญ่เกรียงไกรก่อนหน้านี้ ด้วยการเสริมทัพจากอักขระเทพแผ่นดินเทวะ ด้วยการอำนวยพรจากจักรพรรดิครองกระบี่ ด้วยการผสานของไฟโทสะเผ่ามนุษย์ครั้งสุดท้าย องค์ท่าน…แตะถึงสภาวะไร้มลทิน

เป็นแท่นเทวะในก้าวเดียว!

อันว่าแท่นเทวะ ส่องสว่างกว่าดาวทุกดวง พลังดุจอัสนีเหนือ 9 ชั้นฟ้า ยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพ ทุกชีวิตมองไปล้วนเคารพยำเกรง

ดวงตาลึกล้ำดั่งห้วงเอกภพ สามารถกลืนกินสรรพสิ่งได้กว้างไกลสุดตา

ผมยาวปลิวไหวตามลม เส้นผมทุกเส้นล้วนมีกลิ่นอายเทพเจ้าเข้มข้นสะเทือนฟ้าไหลเวียน

ไม่ว่าเส้นใด ขณะปลิวไสวคล้ายสามารถแหวกฟ้าเปิดดิน สะท้านสะเทือนจิตใจ

กระทั่งความว่างเปล่ารอบด้านยังบีบอัดผิดธรรมดา พลังไร้รูปกดทับทรวงอกทุกชีวิต ยามนี้ไม่ว่าผู้บำเพ็ญหรือเทพเจ้าในที่นี้ล้วนรู้สึกหายใจไม่ออก

ศีรษะทั้งหลายทยอยก้มลง

มีเพียงเงาร่างสวมกวานจักรพรรดิในชุดจักรพรรดิกลางอากาศเป็นหนึ่งเดียวในฟ้าดิน

องค์ท่านยืนอยู่ตรงนั้น รัศมีเรืองรองหมื่นจั้ง แต่เปลวเพลิงไม่ได้หายไป กลับยิ่งโชติช่วง ม้วนเพลิงแท่นเทวะบนกายมารวมกับไฟโทสะในใจเผ่ามนุษย์ทั้งหลาย ร่วมกันโหมโชนท้องฟ้า แผดเผาห้วงเวลา ลุกไหม้ทั่วสารทิศ

เกิดเป็นประโยคสะเทือนฟ้าดิน

“เต๋อหลัวจื่อ จากนี้ทุกที่ที่ห้วงอากาศไปถึง ทุกที่ที่เวลาไหลผ่าน ผู้บดวิญญาณทำลายร่างสังหารเจ้าต้องเป็นเผ่ามนุษย์! นี่คือคำสาบานของเราแท่นเทวะ”

ประโยคนี้กลายเป็นรอยตรานาบลงบนกฎเกณฑ์กลางแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

เผ่ามนุษย์ทุกชีวิตล้วนจดจำคำนี้ สลักไว้ในจิตวิญญาณ ผสานเข้าสายโลหิต สืบทอดชั่วกาลนาน

สวี่ชิงจิตสังหารในตาเด่นชัด เศร้าโศกอยู่ในใจ หันมองไปยังรูปปั้นจักรพรรดิครองกระบี่เงียบๆ อยู่นาน

รูปปั้นมหาจักรพรรดิยังคงโดดเด่นในแสงเปลวเพลิง

คล้ายกำลังบอกชาวโลกว่าเขาบรรลุเจตนา ความปรารถนาลุล่วงในชั่วลมปราณสุดท้ายของชีวิต คุ้มครองจักรพรรดินีได้สำเร็จ ทั้งยังเชื่อมเพลิงของเผ่ามนุษย์ในชั่วเวลาสำคัญที่สุด

เขาทุ่มเทสุดกำลัง

ไม่มีอะไรให้เสียใจ

สวี่ชิงก้มหน้า คารวะไปยังรูปปั้นมหาจักรพรรดิเต็มค้อม

เผ่ามนุษย์ทุกชีวิต ยามนี้ก็พากันคารวะด้วยความเศร้าโศกท่วมท้น

ชั่วขณะหนึ่ง ความโศกเศร้าขยายทั่วฟ้าดิน

จักรพรรดิครองกระบี่ ครึ่งชีวิตก่อนท่องใต้หล้า ติดตามเสวียนโยวไปรบสารทิศ สร้างผลงานเลื่องชื่อให้เผ่ามนุษย์ ยังสร้างวังครองกระบี่และกำหนดข้อบัญญัติของวังครองกระบี่

ตัดเคราะห์ร้ายของปวงประชา นำแสงสว่างมาสู่ฟ้าดิน!

สร้างสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองหมื่นพิภพ ใช้กระบี่เป็นประกาศิตคุ้มครองปวงชน!

ชีวิตครึ่งหลังของเขาก็ขยายทั้ง 2 ประโยค

กระทั่งลมหายใจสุดท้ายดับสิ้นในวันนี้

เพียงแต่ความปรารถนาที่เขาอยากดูโลกและเผ่ามนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายกลับไม่มีวันทำได้อีกแล้ว…

ขอบฟ้ายามราตรีที่ไกลออกไป อาทิตย์รุ่งสางกำลังยกขึ้น

ค่ำคืนอันยาวนานมาเยือนยามอาทิตย์อัสดงของเมื่อวาน และเคลื่อนคล้อยไปด้วยอาทิตย์รุ่งสางนี้

ตะวันรอนสะท้อนจิตใจ ตะวันแย้มสาดส่องต้องประสงค์

ดวงหนึ่งตก ดวงหนึ่งขึ้น

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version