Chapter 2
อดีตของซึบาสะกับยามาโตะ 1
ชัวร์! คนๆ นี้กับซึบาสะมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา ชัวร์ป๊าบ! อากิโอะพูดอยู่ในใจ เขาจับมือของยามาโตะออก “เอ่อ…ปล่อยผมก่อน ผมเจ็บแผล”
ยามาโตะยอมปล่อยมือ อากิโอะรีบขยับตัวลงนอน พลางบอกว่า “ผมปวดหัว นอนล่ะ”
เขารีบดึงผ้าห่มมาห่มจนถึงคอ ยามาโตะจับๆ ผ้าห่มคลุมให้ดีๆ “นอนเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ”
อากิโอะนอนตัวเกร็งแข็งทื่อ ตามองยามาโตะอย่างหวาดๆ หวั่นๆ สักพักอากิโอะก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยาที่หมอฉีดเข้าสายน้ำเกลือก่อนหน้านี้ ยามาโตะลูบๆ ใบหน้าของซึบาสะอย่างทนุถนอม ในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักท่วมท้น หลังจากแน่ใจว่าซึบาสะไม่เป็นอะไรแล้ว ยามาโตะจึงกลับไป
อากิโอะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาทานอาหารที่นางพยาบาลยกมาให้ หลังจากทานอิ่มแล้วเขาก็กินยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบ จากนั้นเขาก็นอนคิดๆ อะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ เขาก็เห็น ‘ซีบาสะ’ อยู่ตรงหน้า ทำเขาตกใจร้องออกมา “ว๊าก!”
“ผมยอมให้คุณสิงร่าง เพราะงั้นคุณต้องช่วยผมด้วย” ซึบาสะบอก อากิโอะตกใจมากเขาลุกขึ้นพรวด ถอยร่นไปจนติดหัวเตียงเลยทีเดียว “นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!?”
“ก็คุณตายแล้ว แล้วคุณมาสิงอยู่ในร่างของผมไง” ซึบาสะบอก อากิโอะมองอย่างตกใจปนงงๆ “อะไรนะ!? ผมตายแล้ว!?”
“ใช่ คุณตายไปตั้ง 3 เดือนกว่าแล้ว” ซึบาสะบอก อากิโอะเบิกตาโต มองซึบาสะที่เหมือนลอยอยู่ตรงหน้าอย่างงงๆ ปนกลัวๆ “คุณตายแล้วงั้นเหรอ?”
ใช่ ซึบาสะกำลังลอยอยู่จริงๆ!
“ผมยังไม่ตาย แค่วิญญาณออกจากร่าง ผมยอมให้คุณสิงร่างชั่วคราว” ซึบาสะบอก “คุณแม่ของผมสืบเชื้อสายมาจากมิโกะ ดังนั้นวิญญาณของผมจึงมีความสามารถในการออกจากร่างได้ แต่วิญญาณของผมไปไหนได้ไม่ไกลจากร่างนักหรอก ไม่งั้นผมจะกลับเข้าร่างไม่ได้อีกเลย ส่วนที่ผมให้คุณยืมร่างก็เพราะผมอยากให้คุณช่วยให้ผมหลุดพ้นจากยามาโตะคนนั้น ผมยอมรับว่าคุณหัวดีกว่าผม เพราะงั้นคุณต้องช่วยผมให้หลุดพ้นจากเขา ผมไม่อยากเป็นคู่เกย์ เข้าใจไหม?”
เขาโบกๆ มือตรงหน้าอากิโอะที่ใช้ร่างเขาอยู่ แต่ดูเหมือนว่าอากิโอะจะสติหลุดไปแล้ว เขาจึงขยับเข้าไปตะโกนกรอกหู “คุณอากิโอะ!”
“ว๊าก!” อากิโอะสะดุ้งร้องลั่น เพราะเสียงของซึบาสะที่ตะโกนนั้นมันดังมากจนเขารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางลำโพงนับร้อยๆ ตัวที่เปิดพร้อมๆ กันอย่างงั้นแหละ
“คะ! ท่านเป็นอะไรคะ?” นางพยาบาลรีบออกจากห้องน้ำไปดูท่านนายกฯ ทันที เธอเห็นท่านนายกฯ ทำหน้าตื่นๆ นั่งอยู่บนเตียง ท่าทางเหมือนตกใจอะไรซักอย่าง เธอรีบเดินไปถึงข้างเตียงพลางถาม “ท่านเป็นอะไรคะ?”
“คุณ เห็นคนๆ นี้ไหม?” อากิโอะถามพลางชี้ไปที่ซึบาสะซึ่งลอยอยู่ตรงหน้า นางพยาบาลส่ายหน้า “ไม่เห็นใครเลยค่ะ ดิฉันเห็นแต่ท่านคนเดียวนี่แหละค่ะ หรือว่าท่านเห็นภาพหลอนอะไรคะ? งั้นดิฉันตามหมอให้นะคะ”
นางพยาบาลบอกแล้วรีบยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามหมอทันที อากิโอะมองนางพยาบาลที่ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นซึบาสะเลย ซึบาสะจึงบอก “ไม่มีใครเห็นผมหรอก ยกเว้นพวกที่มีซิกเซ้นส์นะ”
อากิโอะฟังแล้วกะพริบตาปริบๆ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!?”
“เชื่อเถอะ นี่มันเรื่องจริง คุณกำลังใช้ร่างผมอยู่ ส่วนผมก็เป็นวิญญาณที่อยู่นอกร่างตัวเอง” ซึบาสะบอก
พยาบาลวางหูโทรศัพท์แล้วบอกว่า “เดี๋ยวคุณหมอก็มาค่ะ รอสักครู่นะคะ”
อากิโอะพยายามตั้งสติ เขาคิดๆ ฝัน? ต้องฝันไปแน่ๆ
เขาจึงหยิกแขนตัวเองหมับ!
“โอ้ย! เจ็บง่ะ!” เขาร้องออกมา ลูบๆ แขนตรงที่เขาหยิก มันเจ็บจริง เขาไม่ได้ฝันไป! นี่คือความจริงเรอะ!?
เขามองซึบาสะที่ยังลอยอยู่ตรงหน้า แล้วมองนางพยาบาลที่มองเขาอย่างเป็นกังวล
ก็อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น นางพยาบาลรีบเดินไปเปิดประตูทันที คุณหมอรีบเดินเข้ามาในห้อง เขาโค้งคำนับท่านนายกฯ แล้วเอ่ยว่า “ผมมาตรวจครับ”
“อืมๆ” อากิโอะพยักหน้า หมอจึงก้าวไปชิดเตียงแล้วถาม “ท่านปวดแผลเหรอครับ?”
“เปล่าๆ ผมอยากให้ช่วยตรวจตาหน่อย” อากิโอะบอก เขาพยายามตั้งสติ เขาเห็นว่าหมอคล้ายกับจะมองไม่เห็นซึบาสะที่ลอยอยู่บนเตียง ทำให้เขาไม่กล้าพูดว่าเขาเห็นซึบาสะลอยอยู่ตรงหน้าออกไป ขืนพูดไปมีหวังหมอได้ส่งเขาไปพบจิตแพทย์แหงๆ
หมอจึงตรวจตาเบื้องต้น จากนั้นก็ส่งไปตรวจกับจักษุแพทย์อีกที อากิโอะจึงขอให้หมอสแกนศีรษะด้วยดูว่ามีเลือดคั่งในสมองรึเปล่า
ซึ่งหมอก็ทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะท่านนายกฯ เป็นถึงท่านนายกฯ เชียวนะ ถ้าตรวจรักษาผิดพลาดขึ้นมา ไม่ใช่แค่โรงพยาบาลเท่านั้นที่เสียชื่อเสียง อาจถึงขั้นถูกสั่งปิดโรงพยาบาลเลยก็ได้
หลังจากตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย อากิโอะจึงให้หมอออกไปได้ ส่วนนางพยาบาลที่ยืนเฝ้าอยู่ เขาก็ไล่เธอออกไปเช่นกัน “คุณจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ผมอยากอยู่คนเดียว”
“เอ่อ…” นางพยาบาลไม่กล้าปล่อยท่านนายกฯ อยู่คนเดียว อากิโอะจึงสั่งเสียงแข็งว่า “ออกไปซิ!”
“เอ่อ…ค่ะๆ” นางพยาบาลรับคำแล้วเดินออกไปยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง พวกบอดี้การ์ดหน้าห้องจึงถาม “ออกมาเอาอะไรรึ?”
“ท่านให้ออกมา ท่านบอกอยากอยู่คนเดียวน่ะค่ะ” นางพยาบาลบอก พวกบอดี้การ์ดหน้าห้องจึงไม่ถามอะไรอีก พวกเขายืนเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างแข็งขัน
หลังจากนางพยาบาลออกไปแล้ว อากิโอะจึงมองซึบาสะที่ลอยอยู่ข้างๆ ถามว่า “คุณบอกว่าผมตายแล้ว?”
“ใช่ คุณตายไป 3 เดือนกว่าแล้ว” ซึบาสะตอบ อากิโอะมองซึบาสะแล้วถามอีก “แล้วผมมาอยู่ในร่างคุณได้ไง?”
“ผมต้องการคนช่วย แล้วเทพที่ศาลเจ้าฟูชิมิก็บอกผมว่าคุณเป็นคนเดียวที่จะช่วยผมได้ จึงให้ผมให้คุณยืมร่างชั่วคราว ผมจึงยอมให้คุณยืมร่างชั่วคราวแล้วก็เป็นอย่างนี้แหละ” ซึบาสะบอก อากิโอะคิดๆ เขาเคยได้ยินชื่อศาลเจ้าฟูชิมิ ที่อินาริมาบ้าง เป็นศาลเจ้าที่ดังมากๆ ของประเทศเลยทีเดียว เห็นทีเขาคงต้องไปศาลเจ้านี้สักครั้งล่ะ แต่ตอนนี้เขาต้องทำความเข้าใจกับหลายๆ เรื่องก่อน
“คุณบอกว่าผมตายไป 3 เดือนกว่าแล้ว?” เขาถามอีก ซึบาสะพยักหน้า “ใช่ คุณตายไป 3 เดือนกว่าแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ดูข่าวซิ มือถือผมอยู่บนโต๊ะนั่นไง รหัสผ่านคือ…….”
อากิโอะหันไปมองโต๊ะข้างเตียงที่มีมือถือวางอยู่ เขาหยิบมาดูแล้วใส่รหัสผ่านตามที่ซึบาสะบอก หลังจากนั้นมือถือก็เข้าสู่หน้าจอเริ่มต้น เขาจึงเปิดเบราเซอร์ขึ้นมาแล้วจิ้มๆ ดูข่าวของตัวเอง หลังจากเขาพิมพ์ชื่อ ‘อากิโอะ เอบะ’ ลงไป ก็มีบทความเกี่ยวกับเขาขึ้นมาเต็มไปหมด เขาค่อยๆ คลิกดูทีละบทความ เริ่มจากข่าวแรกก่อนเลย เป็นข่าวเกี่ยวกับรถของนายกฯ อากิโอะ เอบะถูกคนร้ายโจมตีจนระเบิดพังเละเทะ ทำให้นายกฯ อากิโอะ เอบะและบอดี้การ์ดตายไปหลายคน
เขาอ่านข่าวแล้วอึ้งไป จากนั้นเขาก็คลิกดูข่าวอื่นๆ ต่อ เขาอ่านข่าวทุกข่าวที่ขึ้นท็อป 10 ในหน้าแรกของกูเกิ้ล หลังจากอ่านข่าวแล้วเขาจึงทำใจยอมรับว่าตัวเองตายไปแล้วจริงๆ ศพถูกเผาไปแล้ว เถ้ากระดูกก็ถูกเก็บไปไว้ที่บ้านหลักของตระกูลเอบะแล้วด้วย
น้องชายเขาได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลต่อจากเขา เรื่องนี้เขาไม่ติดใจอะไร ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ก็เขาตายไปแล้ว ทั้งยังไม่ทันได้แต่งงานมีภรรยามีลูก ดังนั้นทรัพย์สมบัติของเขาจึงตกทอดไปสู่น้องชายก็เป็นเรื่องปกติ
หลังจากอ่านข่าวท็อป 10 ทั้งหมดแล้วเขาก็นั่งซึมไป นั่งซึมอยู่สักพักเขาก็มองซึบาสะแล้วถาม “แล้วคุณต้องการให้ผมช่วยอะไร?”
“ช่วยผมให้หลุดพ้นจากอำนาจของยามาโตะที ผมไม่ได้เป็นเกย์ แต่เขาอยากให้ผมเป็น ผมยอมตายดีกว่าที่จะเป็นของเขา” ซึบาสะบอกอย่างหมดหนทาง เขาเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจอะไรเลย อำนาจทุกอย่างที่มีในตอนนี้ล้วนมาจากยามาโตะทั้งนั้น ถ้าขัดขืนยามาโตะ ครอบครัวของเขาก็จะเป็นอันตราย เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมอยู่ข้างๆ ยามาโตะไปเรื่อยๆ แบบนี้
“ไหน คุณเล่าเรื่องของคุณกับยามาโตะให้ผมรู้ก่อน” อากิโอะบอก ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกสงสารซึบาสะ ซึบาสะจึงเล่าว่า “เรื่องมันเริ่มจากตอนที่ผมไปฝึกงานที่บริษัทโทมิ แล้วยามาโตะเห็นผมเข้า เขาชอบผม เขาเรียกผมเข้าไปคุยด้วย…..”
ซึบาสะนึกถึงอดีตขึ้นมา ตอนนั้นเขาเป็นแค่เด็กฝึกงาน ขณะที่กำลังทำงานอยู่นั้น จู่ๆ หัวหน้าก็ให้ตามเลขาของยามาโตะไปพบยามาโตะที่ห้องทำงานของเขา เขามองท่านประธานยามาโตะอย่างเกรงๆ
“สวัสดีครับ ผมซึบาสะ ยามะครับ” เขาทักทายพลางโค้งคำนับ ยามาโตะมองซึบาสะอย่างพึงพอใจ เขาเดินเข้าไปหาซึบาสะแล้วผายมือ “นั่งก่อนซิ”
“ครับ ขอบคุณครับ” ซึบาสะนั่งลงอย่างเกร็งๆ ยามาโตะนั่งลงใกล้ๆ กับซึบาสะ มองด้วยสายตาประเมินเหมือนมองสินค้ายังไงอย่างงั้น ทำให้ซึบาสะรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้ ยามาโตะยื่นมือไปแตะบ่า “คุณมาฝึกงานที่นี่ ผมจะประเมินให้คุณผ่าน แต่มีข้อแม้ คุณต้องไปทานข้าวกับผม”
“อะไรนะครับ!?” ซึบาสะถามพลางมองยามาโตะอย่างงงๆ ยามาโตะตบๆ บ่า “แค่ไปทานข้าวกับผมครั้งนึง ผมก็ให้คุณผ่านการฝึกงานทันที เป็นไง ข้อเสนอนี้ดีไหม?”
“เอ่อ…” ซึบาสะกำลังจะปฏิเสธ ยามาโตะรีบบอกว่า “ถ้าคุณไม่ยอมไปทานข้าวกับผม คุณก็ไม่ผ่านการฝึกงาน แล้วผมจะทำให้ที่ไหนๆ ก็ไม่กล้ารับคุณเข้าฝึกงานด้วย คุณคิดดูดีๆ คุณจะไม่จบมหาวิทยาลัยถ้าคุณฝึกงานไม่ผ่าน ว่าไง?”
“คุณ!” ซึบาสะตกตะลึงไป เขามองหน้ายามาโตะอย่างคิดไม่ถึงว่าคนที่เป็นใหญ่เป็นโตถึงขนาดนี้จะกล้าบีบบังคับคนตัวเล็กๆ ไร้อำนาจอย่างเขาแบบนี้ นี่มันหน้าด้านมาก! เกินไปแล้ว! คนๆ นี้ทำเกินไปแล้ว!
“ว่าไง?” ยามาโตะถามอีก “คิดดูดีๆ ครอบครัวคุณมีแค่คุณเป็นเสาหลักคนเดียว ถ้าคุณเรียนไม่จบ ไม่ได้งานทำดีๆ ครอบครัวคุณก็จะลำบาก ผมไม่ได้บีบบังคับอะไรคุณมากเลย แค่ไปทานข้าวกับผมเท่านั้น ผมรับรองว่าไม่ทำอะไรคุณหรอก แต่ถ้าคุณอยากให้ผมทำก็อีกเรื่องนึง ว่าไงคิดได้รึยัง?”
เขายื่นมือไปแตะแก้มซึบาสะอย่างหยอกเย้านิดๆ ซึบาสะตัวเกร็งแข็งทื่อ ถอยหลังออกห่าง “คุณ! คุณ!…”
ยามาโตะดึงมือกลับไม่รุกอีก ซึบาสะจึงถาม “แค่ทานข้าวเท่านั้นใช่ไหม?”
“ใช่” ยามาโตะพยักหน้า ซึบาสะถามอีก “ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง? เกิดคุณทำอะไรมากกว่านั้นล่ะ?”
“ผมรับรอง แค่ทานข้าวเท่านั้น ผมไม่ปล้ำคุณหรอกน่า ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ” ยามาโตะยิ้มบางๆ ที่ลูกแกะตัวนี้จะไม่มีทางหลุดมือเขาไปได้เด็ดขาด เขาให้คนสืบเรื่องของซึบาสะมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะใช้วิธีบีบบังคับเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
ซึบาสะคิดๆ เขาคิดแล้วคิดอีก พลางมองยามาโตะอย่างไม่ไว้ใจ สายตาของคนๆ นี้แทบจะกลืนกินเขาลงไปอยู่แล้ว สายตาแบบนี้เขาเจอมาเยอะ ใครใช้ให้เขามีใบหน้าสวยเหมือนผู้หญิงล่ะ อีกทั้งรูปร่างเขาก็ผอมบาง ส่วนสูงก็สูงกว่าผู้หญิงทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าเขาไม่ผ่านการฝึกงานที่นี่ คิดจะหาที่ฝึกงานใหม่ก็คงยาก เพราะคนๆ นี้ขู่แล้วว่าจะทำให้บริษัททุกแห่งไม่กล้ารับเขาฝึกงาน เขาต้องรีบเรียนให้จบ รีบหางานทำเพื่อที่คุณแม่กับคุณยายจะได้สบายซักที ใช่ เขาเป็นเสาหลักคนเดียวของคุณแม่กับคุณยาย เขาจะทำให้พวกท่านผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด!
“ได้ แค่ทานข้าวใช่ไหม?” เขาถามพลางมองยามาโตะ ยามาโตะพยักหน้า “แค่ทานข้าว ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“งั้นก็ไปทานกันเลย” ซึบาสะบอก ยามาโตะส่ายหน้า “มื้อพิเศษทั้งทีก็ต้องเป็นที่ๆ พิเศษซิ เอาเป็นว่าเย็นนี้คุณเลิกงานแล้วมาหาผมที่นี่ล่ะกัน ผมจะพาคุณไปทานข้าวในสถานที่ๆ พิเศษที่สุดสำหรับเรา”
“แค่ทานข้าวจริงๆ นะ?” ซึบาสะถามย้ำ ยามาโตะพยักหน้ายิ้มบางๆ “อืม แค่ทานข้าว ไม่ต้องกลัวไปหรอก ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า”
“แน่นะ?” ซึบาสะถามอย่างไม่ไว้ใจ ยามาโตะพยักหน้าชูนิ้วสาบาน “แค่ทานข้าว ผมสาบานเลยว่าผมไม่ปล้ำคุณหรอกน่า เว้นแต่ว่าคุณจะขอผมเอง”
“ได้” ซึบาสะพยักหน้าแล้วรีบลุกไป ยามาโตะมองตามยิ้มบางๆ จากนั้นก็สั่งเลขาว่า “จองโต๊ะที่…….ที”
“ครับท่าน” ไคโตะรับคำสั่งแล้วเดินออกไปจัดการจองโต๊ะที่ร้านอาหารสุดหรูและเป็นส่วนตัวที่สุด
ครั้นถึงตอนเย็น เลิกงานแล้วซึบาสะก็เห็นเลขาของยามาโตะมารออยู่ หัวหน้ารีบบอก “คุณซึบาสะ คุณไคโตะมารอแน่ะ”
“เอ่อ…ครับๆ” ซึบาสะวางแฟ้มงานแล้วลุกไปพบไคโตะ ไคโตะจึงบอก “ท่านรออยู่”
“เอ่อ…ครับๆ” ซึบาสะพยักหน้าแล้วเดินไปเก็บของจากนั้นก็สะพายเป้เดินตามไคโตะไป ไคโตะพาซึบาสะไปที่รถ เมื่อไปถึงรถไคโตะก็เปิดประตูรถให้ “ขึ้นรถซิ”
“เอ่อ…ครับ” ซึบาสะก้าวไปนั่งในรถอย่างเกร็งๆ ไคโตะปิดประตูรถ ซึบาสะรู้สึกเหมือนตัวเองคือหมูที่กำลังจะถูกเชือดยังไงอย่างงั้น เขามองไปในรถเห็นคนขับรถนั่งอยู่ คนๆ นั้นไม่ได้หันมามองเขาเลย สายตาของคนขับรถมองตรงไปข้างหน้า จนซึบาสะเห็นยามาโตะเดินมาเขากลืนน้ำลายเอือก! ประตูรถเปิดออกแล้วยามาโตะก็ก้าวเข้ามานั่งข้างเขา ซึบาสะรีบทักทายอย่างเกร็งๆ “สะ…สวัสดีครับ”
“ไปร้าน………..ก่อน” ยามาโตะสั่ง คนขับรถรับคำสั่ง “ครับท่าน”
จากนั้นรถก็ขับออกไป มีรถขับนำหน้าและขับตามหลัง ซึบาสะมองอย่างหวาดๆ เกร็งๆ ยามาโตะมองแล้วปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า”
ซึบาสะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ คนๆ นี้มีอำนาจมาก ต่อให้เขาถูกฆ่าตายก็คงกลายเป็นคนหายสาบสูญไปแน่นอน เขาเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ไม่มีอำนาจอะไรเลย เขาทำได้เพียงแค่ทำตามที่ยามาโตะบอกเท่านั้น
จนกระทั่งไปถึงร้านสูทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านตัดสูทที่หรูหราที่สุดในประเทศ ยามาโตะลงจากรถพลางบอก “ลงมาซิ ไปตัดสูทใหม่กัน”
“ตัดสูท? ซึบาสะทวนคำ ยามาโตะพยักหน้า “ใช่ เสื้อผ้าที่คุณไส่มันเชยมาก ลงมาซิ”
ซึบาสะมองๆ แล้วลงจากรถ “แต่ว่า…”
“มาเถอะ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ” ยามาโตะบอกแกมบังคับ ซึบาสะจึงเดินตามยามาโตะไปโดยดี เมื่อเข้าไปในร้าน ยามาโตะก็สั่งว่า “ตัดสูท 20 ชุด ทั้งชุดลำลอง ชุดออกงาน ชุดทำงาน”
“ครับ” ผู้จัดการรับคำสั่งแล้วให้พนักงานวัดตัว ซึบาสะได้แต่ยืนเป็นหุ่นให้พนักงานวัดตัว หลังจากวัดตัวเสร็จแล้วยามาโตะก็สั่งว่า “ไปกันเถอะ”
“ครับ” ซึบาสะได้แต่เดินตามกลับไปที่รถอย่างเกร็งๆ เขาเข้าไปนั่งในรถ แล้วยามาโตะก็สั่งคนขับรถว่า “ไปร้าน……….ได้แล้ว”
“ครับท่าน” คนขับรถรับคำสั่งแล้วขับรถออกจากร้านสูท จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังร้านอาหารที่หรูหราที่สุดของประเทศ
เมื่อไปถึงร้านอาหาร ยามาโตะก็ลงจากรถ ผู้จัดการร้านรีบมาต้อนรับ “เชิญครับท่าน”
ยามาโตะก้มลงไปมองซึบาสะที่ยังนั่งอยู่ในรถ “ลงมาซิ”
“เอ่อ…ครับ” ซึบาสะลงจากรถเดินตามยามาโตะไปอย่างเกร็งๆ ผู้จัดการเดินนำไปที่ห้องส่วนตัว ยามาโตะเดินตามไปอย่างคุ้นเคย ซึบาสะเดินตามไปอย่างเงียบๆ เขาตัวเกร็งๆ ไปตลอดทาง
เมื่อถึงห้องส่วนตัว ยามาโตะเดินเข้าไปนั่งอย่างคุ้นเคยพลางบอก “นั่งซิ”
“เอ่อ…ครับ” ซึบาสะก้าวไปนั่งตรงข้ามอย่างเกร็งๆ จากนั้นผู้จัดการก็เปิดไวน์เทใส่แก้ว “ไวน์ครับ”
“อืม” ยามาโตะพยักหน้า ยกแก้วไวน์ขึ้นพลางบอก “ดื่มซิ”
“เอ่อ…” ซึบาสะลังเล เขากลัวจะถูกมอมเหล้าจึงไม่กล้าดื่มไวน์ ยามาโตะบอก “แค่แก้วเดียวไม่ทำให้เมาหรอกน่า ดื่มเถอะ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ”
น้ำเสียงประโยคหลังคุกคามอยู่เป็นนัยๆ ทำให้ซึบาสะจำใจต้องยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ยามาโตะจึงสอน “วิธีดื่มไวน์ เขาดื่มกันแบบนี้ ดู ดม อม กลืน”
เขาทำให้ดู ซึบาสะทำตามอย่าง ดู ดม อม กลืน รสไวน์หอมอวลอยู่ในปาก
“ทานซิ อาหารร้านนี้อร่อยนะ” ยามาโตะบอกพลางวางแก้วไวน์ ซึบาสะวางแก้วไวน์แล้วหยิบตะเกียบคีบอาหารกินอย่างเกร็งๆ อาหารอร่อยมากสมกับเป็นร้านหรูชั้นนำของประเทศ แต่ว่าต้องกินกับยามาโตะเพียงแค่ 2 คนแบบนี้ก็ทำให้ซึบาสะรู้สึกกลืนไม่ค่อยลงจริงๆ ยามาโตะก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบทาน ตาก็คอยมองซึบาสะอย่างพึงพอใจ
จนกระทั่งทานอาหารอิ่มแล้วยามาโตะก็ไปส่งซึบาสะที่อพาร์ตเมนท์ เมื่อไปถึงอพาร์ตเมนท์ ซึบาสะก็รีบลงจากรถทันที เขาโค้งคำนับอย่างรนๆ เกร็งๆ “ขอบคุณครับๆ”
“พรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิต” ยามาโตะบอก ซึบาสะเบิกตาโต “หา!”
“ต่อไปนี้ คุณไม่ต้องไปทำงานที่แผนกคัดแยกเอกสารแล้ว พรุ่งนี้คุณไปหาผมที่ห้องทำงาน ผมจะมอบหมายตำแหน่งใหม่ให้คุณ” ยามาโตะบอกแล้วสั่งคนขับรถว่า “กลับบ้าน”
“ครับท่าน” คนขับรถรับคำสั่งแล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป ซึบาสะได้แต่ยืนงงมองตามรถของยามาโตะไป จนกระทั่งรถลับตาไปแล้วเขาจึงได้เดินเข้าอพาร์ตเมนท์ไป
วันต่อมา ซึบาสะก็ไปที่บริษัทโทมิ เขาเจอเลขาคนนั้นมายืนรออยู่หน้าประตูบริษัท ไคโตะบอก “ตามผมมา ท่านรอพบคุณอยู่”
“เอ่อ…ครับ” ซึบาสะจำใจต้องไปพบยามาโตะที่ห้องทำงาน เมื่อไปถึงห้องทำงาน เลขาคนนั้นก็เปิดประตูให้เขา บอกว่า “ท่านรออยู่ เข้าไปซิ”
“เอ่อ…” ซึบาสะเดินเข้าไปในห้องอย่างเกร็งๆ เขาเห็นยามาโตะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ เขาโค้งคำนับ “สวัสดีครับ”
“มานี่ซิ” ยามาโตะบอกพลางลุกขึ้น ซึบาสะมองอย่างเกร็งๆ กลัวๆ “คะ…ครับ”
ยามาโตะลุกขึ้นเดินไปพิงโต๊ะทำงานที่อยู่ข้างๆ โต๊ะของเขาแล้วยกมือกอดอกด้วยท่าทางสบายๆ พลางบอกว่า “นี่คือโต๊ะทำงานของคุณ ตั้งแต่วันนี้ไปคุณเป็นผู้ช่วยของผม”
“หา!?” ซึบาสะตกใจเบิกตาโต ยามาโตะกวักมือ “มาซิ มาดูโต๊ะทำงานใหม่ของคุณ ชอบไหม?”
“เอ่อ…ผมกลับไปทำงานเดิมดีกว่าครับ” ซึบาสะบอกอย่างกลัวๆ เกร็งๆ