Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1170

Cover Renegade Immortal 1

1170. นี่มันอะไร

หวังหลินมองชายชุดเขียวด้วยความเยือกเย็น คนตรงหน้าเป็นเซียนขั้นส่องสวรรค์ระดับกลางและถึงแม้จะดูหล่อเหลาแต่มีสัมผัสความมืดมนอยู่ในตัวด้วย พรรคพวกด้านหลังอีกสองคนทั้งคู่เป็นขั้นชำระสวรรค์และยืนอยู่ด้วยตำแหน่งแปลกๆ

ขณะที่ชายชุดเขียวพูดออกไป พวกเขาขยับไปด้านข้างล้อมรอบหวังหลิน

อย่างไรก็ตามขณะที่หวังหลินมองเข้าไปมีเพียงชายชุดเขียวที่สงบนิ่ง รูม่านตาของเซียนขั้นชำระสวรรค์สองคนหดเล็กลง เผยความตึงเครียดและหวั่นเกรง

หลังจากถอนสายตา หวังหลินไม่ได้มองชายชุดเขียวเลยแต่หันไปทางชายชราที่นั่งอยู่ข้างๆ ชายวัยกลางคนที่ต่อรองราคาอยู่ได้จากไปแล้ว ไม่เพียงเขาเท่านั้นแต่เซียนรอบด้านทั้งหมดสังเกตถึงสิ่งผิดปกติได้และต่างก็กระจายกันไปหมด

ชายชราที่อยู่แผงลอยมองหวังหลินด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“สหายเซียน ท่านมีผลึกดั้งเดิมเท่าไหร่?” หวังหลินพูดอย่างลวกๆและมองป้ายหยกที่อยู่รอบๆเอวชายชรา

ชายชราใบหน้าบิดเบี้ยวและยิ้มออกมา “มีแค่ชิ้นเดียว แต่ข้าต้องการหินหยกสวรรค์เท่านั้น”

หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลางเลียริมฝีปากและส่งข้อความออกไปหาชายชรา

ชายชราตกตะลึงไปชั่วครู่และมองหวังหลินสักพัก จากนั้นเผยท่าทีสับสน

หวังหลินยื่นแขนขวาออกไปเปิดมิติเก็บของ ยื่นเข้าไปนำกระเป๋าออกมา แม้ว่าเซียนขั้นชำระสวรรค์ไม่จำเป็นต้องใช้กระเป๋าเก็บของ พวกเขายังต้องใช้มันเพื่อการแลกเปลี่ยนกันส่วนตัว

หวังหลินสลายสัมผัสวิญญาณออกไปจากกระเป๋าและโยนให้ชายชรา จากนั้นเอ่ยขึ้น “นี่เป็นค่ามัดจำ”

ชายชรารับกระเป๋าเอาไว้และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณอย่างละเอียด เขามองหวังหลินด้วยท่าทีสื่อความหมายก่อนจะขบคิดเล็กน้อยและเก็บแผงลอย “จะมาหาเจ้าภายในสามวัน” หลังเอ่ยจบเขากำลังจะจากไปแล้วแต่ก็หยุดชะงักมองดูหวังหลิน ส่งข้อความออกมา

“สหายเซียนเป็นคนเด็ดเดี่ยว ข้าชื่อโอวหยางหลง ถือว่าเราเป็นสหายกัน! ชายชุดเขียวคนนี้คือหยางยู่และเขาเป็นศิษย์ลำดับสามของจ้าวสำนักรวมปีศาจ สหายเซียนได้โปรดจัดการเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวัง”

หลังจากส่งข้อความออกไป ชายชรารีบจากไปและไม่ถามถึงการติดต่อหวังหลินเลย หวังหลินก็ไม่ได้ถามไปเช่นเดียวกัน

คนนอกไม่ได้ยินว่าหวังหลินและชายชราพูดอะไร หยางยู่เห็นว่าหวังหลินเพียงพูดกับชายชราชั่วครู่และทำให้ชายชราจากไป เขาจึงเคร่งขรึมยิ่งขึ้น

ส่วนเซียนรอบด้านสองคน พวกเขาก็เคร่งเครียดมากเช่นกัน

หยางยู่ดวงตาส่องสว่างและเอ่ยออกมา “เจ้ากล้ามาก เจ้าไม่ได้ตอบคำถามข้า!”

“ให้นายของเจ้าออกมาพูดกับข้า” แม้สีหน้าท่าทางหวังหลินจะสงบนิ่ง คำพูดเขาเย็นเยียบยิ่ง ยามที่ดังถึงหูแต่ละคนมันจึงเหมือนระเบิดกัมปนาท

เซียนขั้นชำระสวรรค์ระดับต้นสองคนสีหน้าเปลี่ยนไป หยางยู่รูม่านตาหดแคบลงและกำลังจะเอ่ย

แต่ในวินาทีนั้นหวังหลินเคลื่อนตัวดุจสายฟ้าปรากฏตัวด้านข้างเซียนจากทางซ้าย เซียนคนนี้ระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขารีบสร้างผนึกขึ้นมาพลางถอยหนี ดอกไม้สีแดงยักษ์ปรากฏขึ้นเบ่งบานมากกว่าร้อยฟุต ใจกลางของมันเผยเป็นปากยักษ์ฟันแหลมคมพยายามกลืนกินหวังหลิน

หวังหลินมีสีหน้าอาการเป็นปกติสุข เขาก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะล่าถอย หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดอกไม้จึงงับความว่างเปล่า หวังหลินปรากฏตัวด้านหลังเซียน สองดัชนีร่อนลงบนแผ่นหลังอีกฝ่าย

ตึง!

เกิดเสียงดังอู้อี้ จากนั้นอีกฝ่ายสีหน้าซีดเผือดพร้อมกระอักโลหิต ดอกไม้เบื้องหน้าเขาแตกสลายและตนเองลอยละลิ่วดุจว่าวป่านขาด ตกลงไปบนพื้นไกลและกระแทกกับแผงลอย

วินาทีนั้นเซียนทางฝั่งขวาล่าถอยและสะบัดแขนเรียกกระบี่เหินออกมาเจ็ดเล่ม กระบี่ลอยเข้าหาหวังหลินอย่างรวดเร็ว หวังหลินเพียงมองเข้าไป สายตาเผยแสงประหลาดและเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว!

“เต๋า!”

ดวงตาพลันเปลี่ยนไป ตาซ้ายดุจภาพหมอกลวงตา ดวงตาขวาบรรจุสายฟ้าที่สามารถป่นเหล็กแยกปฐพีได้ สองสายตาที่แตกต่างลอยออกไปดุจกระบี่และประทับในสายตาเซียนที่กำลังถอย

ร่างกายเซียนคนนั้นสั่นเทา กระบี่เหินหลุดจากการควบคุม ทัศนวิสัยพร่ามัว หัวใจเต้นกระดอนราวกับเขาตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่สามารถหนีออกไปได้ ปรากฏภาพหลอนและไม่สามารถแยกแยะระหว่างความจริงและภาพลอน

โลหิตไหลออกมาจากมุมปาก ดวงตาแดงฉาน กุมศีรษะตัวเองพร้อมกับกรีดร้องราวกับบ้าไปแล้ว ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้เซียนรอบด้านต้องอ้าปากค้าง

ทั้งหมดนี้รวดเร็วและจบลงในพริบตา หวังหลินไม่ได้สังหารเซียนทั้งสองคนแต่พวกเขาก็ไร้ค่าไปแล้ว

หลี่เฉียนเหมยจ้องมองทั้งหมดนี้และดวงตาส่องสว่าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหวังหลินโจมตี ทุกอย่างเป็นไปอย่างลื่นไหลและไม่มีการลังเล

หยางยู่หน้าซีด ขบคิดเงียบๆพลางมองหวังหลิน เสียงกรีดร้องของสหายร่วมสำนักเขาดังสะท้อนอยู่ในหูและดังไปถึงจิตใจ ขณะนั้นหวังหลินหันกลับไปมองหยางยู่ ดวงตาสงบนิ่งราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสมือนการบี้มด สายตาเยือกเย็นนั้นทำให้หยางยู่จิตใจสั่นไหว

หวังหลินค่อยๆก้าวเดินหาหยางยู่ทีละก้าว

ตอนนั้นลั่วหยุนคงหยิบยืมพลังอำนาจของโลกและใช้เต๋าของตนเองเพื่อข่มเอาไว้ แม้จะล้มเหลวกับหวังหลินแต่หวังหลินเข้าใจถึงวิธีการโจมตีแบบนี้ ทำให้หวังหลินเข้าใจเต๋าจนเข้าใจความหมายและทำให้มันเป็นวิชาของตนเอง

ทุกก้าวย่างที่เขาเดินผสานเข้ากับอัตราการเต้นหัวใจของหยางยู่ นี่ทำให้จิตใจหยางยู่เต้นกระหน่ำทุกก้าว เหลือเพียงไม่ถึงสิบเก้า สีหน้าหยางยู่ยิ่งซีดเผือด

หวังหลินตัวใหญ่ขึ้นในสายตาเขาและบดขยี้ลงมาดุจภูเขา อย่างไรก็ตามหยางยู่ไม่ได้ล่าถอย จ้องหวังหลินด้วยใบหน้าปูดโปน เขาดิ้นรนเพื่อร้องคำรามออกมา เส้นผมสะบัดพลิ้วไหวโดยไร้แรงลม อย่างไรเสียเขาไม่มีความนุ่มนวลเหมือนก่อนอีกแล้ว

หวังหลินพ่นลมหายใจเย็น การก้าวเท้าของเขาผสานกับอัตราเต้นหัวใจของหยางยู่อย่างสมบูรณ์ และจิตใจหยางยู่ตกอยู่ใต้การควบคุมของเขตแดนหวังหลิน หวังหลินยกเท้าขวาแต่ขณะที่ย่ำลงไป เขาหยุดมันกลางอากาศ หัวใจหยางยู่หดลงอย่างไม่คาดคิดไปด้วย

นาทีนั้นหวังหลินพลันเหยียบลงและเพิ่มความเร็ว ก้าวสามครั้งในคราเดียว!

ปัง ปัง ปัง!

ชั่วจังหวะสามก้าวย่ำลงไป หยางยู่รู้สึกเหมือนโดนค้อนกระแทกเข้าใส่หน้าอกตนเองสามครั้ง ร่างกายสั่นเทา ใบหน้าแดงก่ำและกระอักโลหิตคำโต เขาไม่สามารถต้านทานเขตแดนของหวังหลินและถูกผลักดันกลับมา

หลังจากถอยไปหนึ่งก้าว เขาก็กระอักโลหิตอีกครั้ง ถอยไปอีกอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าแดงก่ำทั้งยังซีดเผือด แววตาดิ้นรนสับสน พริบตาเดียวสายตาก็แดงฉาน

ภาพมายาปรากฏขึ้นในความคิดทีละภาพ มีฉากเหตุการณ์ที่เขาและสหายร่วมสำนักกำลังตายด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน เขารู้สึกนี่เป็นภาพลวงตาแต่ไม่สามารถสลายความคิดออกไปได้ ภาพมายาพวกนี้เป็นเหมือนความทรงจำที่สลักไว้ในใจเขาและกลายเป็นความจริงทุกวินาที

หยางยู่ร่างสั่นเทารุนแรงพลางกุมศีรษะ เขาไม่ได้กรีดร้องแต่ดิ้นรนต่อไป เขากำลังสูญเสียสติและเกิดความสับสนขึ้นทุกขณะ

พอเห็นว่ากำลังจะสูญเสียตัวเองในภาพมายา หยางยู่ล่าถอยต่อเนื่องและเรียกหาตัวช่วย

“อาจารย์ลุงช่วยข้าด้วย!!”

ทันทีที่เอ่ยออกไป เงาสีเขียวพลันมาถึงเบื้องหน้าหยางยู่ ดัชนีชี้ใส่ระหว่างคิ้วหยางยู่อย่างรุนแรง เสียงดังเป๊าะออกมาจากร่าง หมอกโลหิตระเบิดจากนั้นเขาก็หมดสติอยู่บนพื้น

เงาร่างสีเขียวไม่หยุดแค่นี้ กะพริบคราเดียวมาถึงเซียนอีกคน ใช้วิชาเดียวกันและทำให้เซียนที่กรีดร้องสลบไป

ขณะที่เงาสีเขียวเคลื่อนไหว เขาก็มาถึงเบื้องหน้าหยางยู่และชี้นิ้วใส่เขา เงาร่างสีเขียวเป็นชายชรา มีผมสีขาว ดวงตาส่องประกายแห่งอำนาจ

“ท่านมองหาข้าทำไม?” หวังหลินมองชายชราด้วยท่าทีสงบนิ่ง

ชายชรามองหวังหลินชั่วขณะและยิ้มออกมา “สหายเซียนหลิวฉลาดยิ่ง ข้ามองหาเจ้าจริงๆ เช่นนั้นข้าหวังว่าสหายเซียนจะไม่คิดมากที่ข้าวู่วามไปเล็กน้อย เราไปหาสถานที่นั่งได้ชดใช้จะว่าอย่างไร?”

หวังหลินมองชายชราด้วยท่าทีนิ่งเหมือนเดิม ขบคิดเล็กน้อยจึงพยักหน้า หวังหลินฉลาดหลักแหลมดั่งปีศาจอยู่แล้ว ยามที่หยางยู่ปรากฏตัวคราแรกหวังหลินจึงสังเกตได้ว่าหยางยู่กำลังมองหาเขา จากนั้นหยางยู่ก็เข้ามาเริ่มแกล้งทำเป็นตามหลี่เฉียนเหมย

เขากระทั่งมองทะลุว่าเซียนอีกสองคนไม่สามารถซ่อนความกังวลใจของตัวเองลงได้

หากแค่นี้ก็คงดีแต่หยางยู่นั้นรีบเปลี่ยนคำพูดมาที่เขา ด้วยระดับบ่มเพาะของหยางยู่นั้นดูเหมือนเขาวางแผนมาเพื่อทำแบบนี้

หลังจากเห็นเบาะแสบางอย่างได้และด้วยคำเตือนของโอวหยางหลง หวังหลินจึงรู้ได้ว่าหยางยู่มีเป้าหมายมาที่เขา เขาจัดการกับสำนักรวมปีศาจมาครั้งเดียวเท่านั้นและนั่นเป็นตอนที่จ้าวยู่อยู่บนแผ่นดินโม่หลัว หวังหลินไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะทดสอบความแข็งแกร่งของเขาเพราะเรื่องจ้าวยู่หรือ…หรือร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้บนแผ่นดินป่า

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นอะไร โลกแห่งเซียนเคารพความแข็งแกร่ง การแสดงระดับความแข็งแกร่งของเขาไม่เพียงจะยับยั้งคนอื่นๆ มันยังทำให้เขาได้รับความเคารพไปด้วย หลังจากตระหนักเรื่องนี้ได้หวังหลินจึงเลือกจะโจมตีทันที

พอได้ยินชายชราบอกว่า “สหายเซียนหลิว” หวังหลินจึงยิ่งมั่นใจมากกับสิ่งที่ทำ

หลี่เฉียนเหมยบ่มเพาะเซียนด้วยเวลาที่สั้นมากและไม่มีประสบการณ์ต่อสู้กับเหล่าเซียนเฒ่าเหมือนหวังหลิน นางมองไม่เห็นเบาะแสอันยากยิ่งนี้จนกระทั่งหวังหลินบอกว่า “นำนายของเจ้าออกมา” หลี่เฉียนเหมยจึงดวงตาส่องสว่างราวกับเข้าใจ

“แผนการของเขา…ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าระดับบ่มเพาะอีก!!!” หลี่เฉียนเหมยมองหวังหลินด้วยความตกตะลึง

………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version