Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1169

Cover Renegade Immortal 1

1169. เจ้าเป็นใคร?

“ทุกๆร้อยถึงสามร้อยปีเขตระดับเก้าจะก่อตั้งกองกำลังเซียนเพื่อส่งไปช่วยสู้กับพวกอสูรจากดาราจักรลึกลับ…บางทีอีกไม่นานเฉียนเหมยก็ต้องไปด้วย” เส้นผมสีฟ้าของหลี่เฉียนเหมยพลิ้วสะบัด นางจับไว้พลางยิ้มออกมา

หวังหลินขบคิด

“หากวันนั้นมาถึง พี่หลิวต้องไปส่งเฉียนเหมยด้วยนะ” หลี่เฉียนเหมยขยิบตาและหัวเราะ รอยยิ้มงดงามราวกับดอกไม้เบ่งบานพร้อมส่งสัมผัสแห่งความสง่างามและมีมารยาท

ใบหน้าสวยนั้นคล้ายกับหลิวหยานเฟยซึ่งยืนอยู่เหนืออารามของตนเองและเฝ้ามองตอนที่หวังหลินออกไปจากโม่หลัวอย่างเงียบๆ มีเสียงนางเอ่ยออกมาเบาๆ

“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะเข้าร่วมการประลองร้อยปีที่จะเกิดขึ้นในสำนักหลัก…” ด้วยไหวพริบของหลิวหยานเฟยนางบอกได้ว่าแผ่นดินโม่หลัวไม่สามารถเก็บหวังหลินไว้ได้ มันเป็นเพียงที่หยั่งเท้าและเขาแค่เป็นคนผ่านทาง…

นางรู้ว่าเขากำลังจะจากไปแล้วหลังจากแก้ไขเรื่องสำนักต้นกำเนิด การออกเดินทางของเขาแทบเกิดขึ้นในทันทีหลังจากเรื่องสำนักเต๋าม่วงถูกแก้ไข เมื่อเขาจากไป…นางอาจจะไม่เห็นเขากลับมาอีก

สตรีผมฟ้าที่จากไปพร้อมกับหวังหลินทำให้หลิวหยานเฟยต้องตายิ่งและนางก็ค่อยๆลดศีรษะลง

หวังหลินเห็นและได้ยินเช่นนี้ ขณะที่เหาะเหินออกไปไกลเขาไม่ควรหันกลับมา แต่ขณะที่กำลังจะออกเดินทางจากแผ่นดินโม่หลัว คำพูดของหวังหลินเป็นเหมือนสายลมอ่อนโยนพัดใส่เส้นผมหลิวหยานเฟย

“ย่อมได้”

นาทีนั้นหวังหลินมองหลี่เฉียนเหมยซึ่งเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับปลายแล้วแต่ไม่ได้มีความโอหังแม้เพียงเล็กน้อยและเหมือนน้องสาวมาก

เขาฟังนางเล่าเกี่ยวกับความลับของเขตระดับเก้า หวังหลินฟังเรื่องสงครามกับเหล่าอสูร ฟังนางขอให้เขาไปส่งนาง

หวังหลินขบคิดก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยกระซิบ “ย่อมได้”

หลี่เฉียนเหมยยิ้มจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

พอถึงวันที่สองของการประมูล หวังหลินและหลี่เฉียนเหมยก็มาถึงด้านนอกเพิ่งหลาย หลี่เฉียนเหมยใช้วิชาเต๋าของตนเองเพื่อเปลี่ยนเส้นผมเป็นสีดำ

ทำให้นางไม่ต้องกังวลเรื่องตัวตน หลี่เฉียนเหมยผมดำนั้นยิ่งงดงามขึ้นไปอีก นางยืนข้างหวังหลินก็ทำให้เซียนรอบด้านสนใจมากพอแล้ว

สำนักหยกสมบัติวางศิษย์จำนวนมากไว้รอบเพิ่งหลายเพื่อรับการมาถึงของเหล่าเซียน หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมแล้วพวกเขาก็เปิดค่ายกลและอนุญาตให้เข้าไปข้างใน

เป็นครั้งแรกที่หวังหลินได้เห็นดาวเคราะห์เซียนตั้งแต่มาถึงทะเลเมฆา แม้จะเป็นเพียงครึ่งดวง แต่เมื่อเทียบกับเซียนคนอื่นๆที่ตกตะลึงยามที่เป็นดาวเคราะห์เซียน หวังหลินสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง

ในทะเลเมฆา เซียนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นดาวเคราะห์เซียนมาก่อน มีเพียงแผ่นดินที่ลอยอยู่เพียงเท่านั้น พอเห็นดาวเคราะห์เซียนเป็นครั้งแรกแล้วจึงแสดงอาการตกตะลึงออกมาทางสีหน้า

อย่างไรก็ตามสำหรับหวังหลินแล้วดาวเคราะห์เซียนไม่สำคัญอะไรนัก เขาเกิดมาบนดาวเคราะห์เซียน ในดาราจักรทุกชั้นฟ้าเขาก็มีดาวเคราะห์เซียนของตัวเองด้วย

แม้แต่สำนักวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่คงไม่ต้องพูดถึง

เหล่าเซียนของสำนักหยกสมบัติทั้งหมดต่างมีความภูมิใจเพราะเป็นเจ้าของดาวเคราะห์เซียนจริงๆ อย่างไรก็ตามเบื้องหน้าหวังหลินนั้นความภาคภูมิใจช่างเล็กกระจ้อยร่อยนัก

ขณะที่เซียนแต่ละคนจ่ายหินวิญญาณและเข้าไป ในที่สุดก็ถึงตาหวังหลินและหลี่เฉียนเหมย เซียนที่ประจำการอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นขั้นหยินและหยาง ทว่าหัวหน้าอยู่ระดับขั้นส่องสวรรค์

‘สำนักหยกสมบัติมีชื่อเสียงที่ดีจึงมีเซียนขั้นส่องสวรรค์มาต้อนรับ’ หวังหลินลอบส่ายศีรษะ เขาสามารถมองทะลุพฤติกรรมของสำนักหยกสมบัติได้ง่ายๆ พวกเขากำลังวางอำนาจ

หลังจากจ่ายด้วยหินวิญญาณ หวังหลินและหลี่เฉียนเหมยจึงเข้าไปในแผ่นดินเพิ่งหลาย

หลี่เฉียนเหมยยิ้มและกระซิบ “การประมูลครั้งนี้ดีกว่ามาก ครั้งล่าสุดที่ข้ามาที่นี่ พวกเขามีเซียนขั้นชำระสวรรค์ให้การต้อนรับ ข้าคิดว่าข้ากำลังจะไปสำนักระดับเก้าเสียอีกและลืมว่ามันเป็นเขตระดับห้าเท่านั้น”

หวังหลินส่ายศีรษะเงียบๆ

แม้ผู้คนจะรู้สึกว่าสำนักหยกสมบัติช่างหน้าด้านแต่เพิ่งหลายเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก พื้นดินเป็นสีเขียว คนธรรมดาในเมืองหลวงมองขึ้นหาเหล่าเซียนที่โบยบินอย่างเคารพ ในแววตามีความอิจฉาอยู่ด้วย

มีแม้กระทั่งภูเขาและแม่น้ำอันสมสง่าจับต้องสายตา

ตำแหน่งการประมูลอยู่ทางทิศตะวันออกของเพิ่งหลาย มีก้อนหินเด่นสะดุดตาลอยอยู่กลางอากาศและมีอารามสร้างอยู่ด้านบน

ก้อนเมฆสีขาวเต็มไปทั่วท้องฟ้าและล้อมรอบก้อนหินพวกนั้นจนทำให้ส่วนทิศตะวันออกของเพิ่งหลายดูเหมือนแดนสวรรค์

ขนาดสิ่งก่อสร้างที่สร้างบนก้อนหินนี้แตกต่างจากขนาดของก้อนหินที่เป็นฐานราก

ก้อนหินมากมายลอยอยู่โดยมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง พวกมันไม่ได้ตั้งนิ่งอยู่เฉยๆแต่หมุนอย่างช้าๆ

ทั้งยังมีเสียงเพลงบรรเลงออกมาจากก้อนหินด้วย นอกเหนือจากนั้นยังมีอสูรงดงามบินอยู่ระหว่างก้อนหิน ปรากฏตัวและหายไปภายในก้อนเมฆ

เมื่อเห็นแบบนี้สีหน้าหวังหลินคงความสงบนิ่งเช่นเดิมแต่ถอนหายใจอยู่ในใจ บนก้อนหินแต่ละก้อนมีค่ายกลขนาดใหญ่ที่บริโภคหินวิญญาณจำนวนมากเพื่อให้มันลอยอยู่ได้

“สำนักหยกสมบัติมีชื่อเสียงในการทำเรื่องไร้สาระ แต่มันก็ดูเหมือนแดนสวรรค์จริงๆขาดแต่พลังปราณสวรรค์เพราะพวกเขาใช้หินวิญญาณ ท้ายที่สุดมันก็แค่การเลียนแบบ แม้แต่สำนักหยกสมบัติเองก็ไม่สามารถใช้จ่ายด้วยหินหยกสวรรค์มากขนาดนั้นได้ นับประสาอะไรกับผลึกดั้งเดิม” หลี่เฉียนเหมยหัวเราะ

พอได้ยินหลี่เฉียเหมยกล่าวถึงหยกสวรรค์ หวังหลินทำใบหน้าประหลาด เขาเรียนรู้มาจากบันทึกของสำนักต้นกำเนิดว่าทะเลเมฆานั้นขาดแคลนหินหยกสวรรค์อย่างรุนแรง

จึงมันเกี่ยวข้องกับแดนสวรรค์วายุที่กำลังถูกอสูรยุงยึดครอง หากพวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้ก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวหยกสวรรค์ชิ้นใดได้ ถึงแม้สำนักหยกสมบัติจะกล้าใช้หินวิญญาณอย่างสุรุ่ยสุร่ายแต่พวกเขาก็ขี้เหนียวกับหินหยกสวรรค์

แม้กระทั่งจ้าวสำนักน้อยแห่งสำนักเต๋าม่วงก็ไม่ได้มีเศษหินหยกสวรรค์ในกระเป๋าถึงร้อยชิ้น ซึ่งนั่นบอกได้ว่ามันหายากแค่ไหน

เช่นเดียวกันในทะเลเมฆา มีทรัพยากรทรงคุณค่ายิ่งกว่าที่เรียกกันว่า “ผลึกดั้งเดิม” มันเป็นเหมือนหินหยกสวรรค์ที่จำเป็นต่อการบรรลุขั้นเทวะและเซียนขั้นหยินหยางใช้เพื่อสร้างค่ายกลและสมบัติ ผลึกดั้งเดิมนั้นมีค่าสำหรับเซียนขั้นที่สอง

ผลึกดั้งเดิมมีอยู่ในเฉพาะทะเลเมฆาเท่านั้นและเป็นที่ชื่นชอบของเซียนขั้นที่สองมาก การดูดซับพวกมันสามารถฟื้นฟูพลังดั้งเดิมได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถเพิ่มอัตราการบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วด้วย

หากใช้ผลึกดั้งเดิมตอนที่จัดตั้งค่ายกลหรือหลอมสมบัติ พลังของมันจะเพิ่มพูนขึ้นด้วย

ทว่าผลึกดั้งเดิมเป็นของหายากเหมือนหยกสวรรค์ ความแตกต่างเดียวก็คือหินหยกสวรรค์อยู่ในแดนสวรรค์วายุจึงทำให้มันแทบเอามาไม่ได้ ส่วนผลึกดั้งเดิมส่วนใหญ่ถูกสำนักระดับแปดและสูงกว่าควบคุมเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นสำนักระดับเก้า

ทั้งหมดนี้อันเนื่องมาจากการสร้างผลึกดั้งเดิม มันเกิดขึ้นมาจากอสูรระดับสิบสองที่เปลี่ยนกลายเป็นหมอกเท่านั้น หลังจากอสูรระดับสิบสองอาศัยอยู่ในหมอกดวงดาวเป็นเวลานาน ผลึกดั้งเดิมค่อยๆก่อตัวขึ้น มีเพียงสำนักและเหล่าเซียนที่มีอสูรระดับสิบสองเท่านั้นที่สามารถเก็บเกี่ยวผลึกดั้งเดิมได้

อย่างไรก็ตามไม่ได้มีอสูรระดับสิบสองมากนัก และมีส่วนน้อยที่สามารถเปลี่ยนกลายเป็นหมอก ซึ่งทำให้มีเพียงสำนักระดับแปดและสูงกว่าครอบครองได้

หากอสูรดั้งเดิมปรากฏตัวในเขตระดับต่ำกว่า จะเกิดการต่อสู้แย่งชิงอย่างรุนแรง ซึ่งอสูรดั้งเดิมตัวเดียวหมายถึงผลึกดั้งเดิม!

หวังหลินและหลี่เฉียนเหมยก้าวเท้าเข้าไปในเมืองแห่งหนึ่งที่ลอยอยู่บนก้อนหิน เมืองเปิดออกมาและมีเซียนจำนวนมากภายใน บางส่วนจ่ายหินวิญญาณให้แก่สำนักหยกสมบัติเพื่อเปิดทำธุรกิจ

“ที่นี่คือเขตนอกซึ่งค่อนข้างมีชีวิตชีวา” หลี่เฉียนเหมยเดินข้างหวังหลินและมองไปรอบๆ

สถานที่แห่งนี้มีชีวิตชีวามาก เสียงตะโกนเต็มไปทั่วเมืองดูไม่เหมือนตลาดแลกของสำหรับเหล่าเซียนแต่เหมือนตลาดนัดมากกว่า

นานมากแล้วที่หวังหลินไม่ได้มาชมตลาดแบบนี้ ขณะที่เดินผ่านเมืองไปสายตาตกลงบนแผงลอยหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล

“สหายเซียน ข้าไม่ได้มีหินหยกสวรรค์มากนัก ข้าใช้เป็นยาได้ไหม?” ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังแผงลอย เขามีใบหน้ามืดมนพลางมองชายวัยกลางคนตรงหน้า

คำพูดที่ว่าออกมาจากชายวัยกลางคน

“ข้าสามารถหลอมเม็ดยาเองได้ พวกมันไร้ประโยชน์ เจ็ดสิบหินหยกสวรรค์สำหรับผลึกดั้งเดิมหนึ่งชิ้น นี่ข้าให้สุดๆแล้ว” ชายชราเอ่ยขึ้นมาพลางมีสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็ไม่สนใจชายวัยกลางคนอีก

ในทะเลเมฆา เหล่าเซียนสามารถแลกเปลี่ยนหินหยกสวรรค์และผลึกดั้งเดิมได้อย่างอิสระตามอัตรา หลังจากได้ยินคำพูดนั้นหวังหลินจับกระเป๋าตนเองโดยไม่รู้ตัว แม้มันจะว่างเปล่าแต่หวังหลินรู้สึกประหลาดยิ่ง ไม่รู้ว่าเขามีหินหยกสวรรค์มากเท่าไหร่ในมิติเก็บของ…

ขณะนั้นน้ำเสียงหนึ่งดังออกมาไกลด้วยความประหลาดใจ

“เฉียนเหมย! เป็นเจ้าจริงๆ!”

ตามน้ำเสียงไปมีอยู่สามคน คนตรงหน้าอายุราวๆสามสิบปี สวมชุดสีเขียวและหล่อเหลามาก เขามีรูปร่างผอมเพรียวและเดินเข้ามาด้วยสายตาประหลาดใจ อีกสองคนที่ตามมามีรูปร่างสมสง่าเช่นกัน ระดับบ่มเพาะผันผวนบ่งบอกว่าไม่ได้อ่อนแอ

หลี่เฉียนเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว “สหายเซียนหยางนี่เอง”

ชายชุดเขียวเข้ามาใกล้ ยิ้มให้เฉียนเหมยโดยไม่ได้หันไปมองหวังหลิน “เราเจอกันไม่กี่เดือนก่อนครั้งเดียวแต่ข้าก็คิดถึงเจ้าเสียแล้ว โชคดีที่วันนี้เราได้เจอกันอีกครั้ง เฉียนเหมยที่นี่เสียงดังเกินไป เราเข้าไปเมืองส่วนในดีไหม?” ชายคนนั้นเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ก็มีเสน่ห์ไปด้วย

“ขอบคุณสหายหยางสำหรับความเมตตา แต่ข้าขอโทษด้วย” หลี่เฉียนเหมยเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่ก็เยือกเย็นเช่นกัน

“เฉียนเหมย เจ้า…” ชายชุดเขียวเดินเข้ามาไม่กี่ก้าวและกำลังจะพูด

“สหายเซียนหยาง โปรดตระหนักสิ่งที่ท่านพูดด้วย! ‘เฉียนเหมย’ ไม่ใช่คนที่ท่านจะพูดอะไรด้วยก็ได้!” หลี่เฉียนเหมยขมวดคิ้วและโกรธขึ้นมา หยางยู่คนนี้เป็นหนึ่งในคนที่นางถามคำถามไปแต่ไม่พอใจคำตอบเขา

หยางยู่เลิกคิ้ว ในที่สุดก็เห็นหวังหลินอยู่ข้างหลี่เฉียนเหมย เขาไม่กล้าไปล่วงเกินหลี่เฉียนเหมยแต่ไม่ได้สนใจคนอื่นเลย

หยางยู่จ้องหวังหลินและเอ่ยขึ้นเสียงเย็นเยียบ “เจ้าเป็นใคร?”

……………………………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version