Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1263

Cover Renegade Immortal 1

1263. ปลากับนก

ความเงียบนี้เหมือนกับตอนที่ทั้งสองกล่าวลากันขณะเหาะห่างจากเพิ่งหลาย ผ่านมาร้อยปีแล้วแต่ฉากนี้ยังคงเหมือนเดิม

หวังหลินเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาเคยพูดไว้ว่าจะดีที่สุดถ้าทั้งสองลืมกันไปเลย หรือเขาไปเจอกำไลข้อมือของหลี่เฉียนเหมยได้อย่างไร หวังหลินจึงไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ

สร้อยข้อมือนั้นช่วยชีวิตหวังหลินเอาไว้ในดินแดนเจ็ดสี เขาคงต้องตอบแทนความเมตตานี้แต่ไม่มีความรู้สึกพิเศษร่วมด้วย

หัวใจของเขาตายด้านไปแล้วและมีแต่เพียงลี่มู่หวานเท่านั้น…เว้นแต่โลกจะถูกทำลาย เว้นแต่จะเป็นตอนที่เขาจะตาย บางทีคงจะเลือกทางที่แตกต่างเส้นอื่น

อย่างไรก็ตอนนี้หวังหลินไม่สามารถทำมันได้ หรือพูดให้ถูกต้องก็คือหลี่เฉียนเหมยไม่ได้เข้าไปในใจเขาได้จริงๆ หวังหลินเพียงชื่นชมหลี่เฉียนเหมยเหมือนสหายเซียน การปรากฏตัวของสร้อยข้อมือและโชคชะตากลับตาลปัตรได้ทำให้การชื่นชมนี้มีความลึกลับซับซ้อนอีกเล็กน้อย

หวังหลินรู้สึกว่าความยอดเยี่ยมของหลี่เฉียนเหมยนั้นไม่ควรแสดงออกมาให้เขา ทั้งสองรู้จักกันและกันผ่านการถามสามคำถาม นอกจากนั้นแล้วทั้งคู่ก็ไม่รู้จักอะไรกันเลย

พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาหลายปีอยู่ด้วยกันในทะเลปีศาจ รอคอยอีกหลายร้อยปีในสำนักฟ้าเมฆา ไม่ตกตะลึงกับการแก่ตายในหุบเขา ไม่มีเสียงเพลงที่อยู่กับหวังหลินไปตลอดการฝึกฝนสองพันปี

ไม่มีเสียงคำรามแห่งความเจ็บปวดจากหวังหลินที่ตกตะลึงตอนที่ผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์มาถึง

“แม้สวรรค์ต้องการให้เจ้าตาย ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา!!!” นี่เป็นคำสัญญา เป็นคำสัญญาของหวังหลินให้ไว้กับสตรีคนหนึ่ง

นั่นเป็นเหตผุลว่าทำไมหวังหลินถึงเงียบยามเชิญหน้าหลี่เฉียนเหมย

หัวใจของหวังหลินรู้สึกว่ามันยากจะเข้าใจเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่เฉียนเหมย…

หลี่เฉียนเหมยกัดริมฝีปากและเอ่ยขึ้นมา “ท่านจะนั่งกับข้าสักพักได้ไหม…” นางนั่งลงบนพื้นหญ้าในสวน แสงจันทราสาดส่องลงมาทำให้นางดูสวยสง่าและมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

หวังหลินนั่งลงอย่างเงียบๆข้างหลี่เฉียนเหมยพลางมองไปยังดวงดาวส่องสว่างในท้องฟ้ามืดมิดและแสงจันทราอันน่าหลงใหล ขณะนั่งลง กลิ่นหอมจากหลี่เฉียนเหมยเข้าแตะจมูกและทำให้หวังหลินรู้สึกผ่อนคลาย

“ช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมา ท่านสบายดีไหม…” หลี่เฉียนเหมยก้มศีรษะลงพลางใช้มือเล่นใบหญ้าจนมันพันนิ้วเป็นเกลียว

หวังหลินตอบเบาๆ “สบายดี”

“ท่านได้ดูภาพวาดไหม?” หลี่เฉียนเหมยมองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม ภายใต้ความสงบนิ่งมีความคาดหวังอยู่

หวังหลินหันสายตาไปที่ใบหน้าหลี่เฉียนเหมย จากนั้นถอนสายตาออกมาและไม่พูดสิ่งใด

“ขอบคุณสมบัติของท่าน มันอยู่กับข้าในสนามรบเป็นร้อยปี…” หลี่เฉียนเหมยกล่าวเบาๆพลางมองหวังหลิน

หวังหลินอ้าปากจะพูด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปแล้ว…” หลี่เฉียนเหมยมองหวังหลิน ดวงตาดูเหมือนกำลังสั่นเทาแต่นางมุ่งมั่นมากขึ้น นางยังมองหวังหลินและนิ้วมือยังพันหญ้ามากไปอีก ราวกับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นิ้วมือนางไม่อยากจะเป็นอิสระ

หวังหลินขบคิดเงียบๆก่อนจะเอ่ย “ข้า…จะไปส่งเจ้า”

ลี่เฉียนเหมยยิ้มออกมาและกระพริบตา “ข้าคิดว่าท่านเป็นใบ้ไปเสียแล้ว”

หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ

“ครั้งล่าสุดท่านบอกว่าจะไปส่งข้า แต่ถ้าข้าไม่กลับมาหาท่าน ท่านก็คงไม่ไปส่งข้าหรอก” หลี่เฉียนเหมยแววตาสั่นเทา นางยังคงจ้องมองดูหวังหลิน

หวังหลินหลีกเลี่ยงสายตาของนาง พลางมองไปข้างหน้า “ครั้งนี้ข้าจะไปส่งเจ้า”

บนใบหน้าหลี่เฉียนเหมยมีความขมขื่น นางมองหวังหลินและรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลแสนไกล แม้เขาจะอยู่ข้างๆนางตอนนี้ นางรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลมาก ไกลเสียจนไม่มีพลังใดจะนำเขามาใกล้ๆได้

เหมือนปลาที่มองนกในท้องฟ้า มันปาดน้ำตาในน้ำ แต่นกตัวนั้นไม่อาจมองเห็น…เพราะที่คั่นระหว่างสองเป็นผิวน้ำที่มิอาจทลายลงได้

หากนกเกิดร่อนลงข้างแม่น้ำและเห็นปลาตัวนั้น มันอาจจะหยุดมองปลาชั่วครู่ แต่ในไม่นานก็จะกางปีกบินจากไป มันอาจจะทำให้เกิดระลอกคลื่นอันขมขื่นขึ้นสะท้อนบนผิวน้ำ ส่งผลกระทบต่อปลาตัวนั้นด้วย

“หลังจากข้าไปครั้งนี้ มันคงจะเป็นเวลานานมากก่อนที่ข้าจะกลับมาได้…หรือข้าอาจจะไม่มีวันได้กลับมา…” เสียงของหลี่เฉียนเหมยกระซิบเข้าไปในหูหวังหลิน ทำให้เขาเงียบยิ่งกว่าเดิม

“ข้าเป็นเด็กกำพร้า อาจารย์รับข้ามาเลี้ยง การเข้าสู่สนามรบที่สำนักมารเป็นพรหมลิขิตของข้า…หากข้าไม่ได้กลับมา…ข้าหวังว่าท่านจะจำไว้…” หลี่เฉียนเหมยกำนิ้วมือรอบๆใบหญ้า นิ้วมือสั่นเทา จับรัดให้แน่นยิ่งขึ้น

นางไม่ได้บอกหวังหลินว่าภาพเขาเด่นชัดในใจนางขึ้นทุกวัน นางไม่ได้บอกหวังหลินว่านางเสี่ยงชีวิตไปเก็บพู่กันทองมาทั้งที่บาดเจ็บสาหัส นางไม่ได้บอกหวังหลินว่าต้องอดทนต่อแรงกดดันแบบไหนถึงมาที่นี่ได้!

ร่างอันอ่อนแอของนางไม่สามารถอดทนต่อแรงกดดันนี้ได้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะหนีออกไปจากสนามรบของสำนักมารได้…และนางยืนรับแรงกดดันของสำนักทะลวงสวรรค์ สำนักมารและการต่อสู้เป็นร้อยปี แต่ก็ยังตัดสินใจออกมากลางทางเพื่อเจอใครบางคนที่อยู่ห่างไกลจากนางขนาดนี้…

นางไม่ได้บอกเขาว่าเพราะการเดินทางของนาง จึงเกิดเสียงไม่พอใจต่างๆมากมายในสำนักทะลวงสวรรค์ ทั้งยังจะเกิดการลงโทษในสำนักมารอีกด้วย…

นางไม่ได้บอกหวังหลินว่าการเดินทางของนางนั้นได้ทำให้นางพลาดโอกาสในการเข้าสำนักมารและรับการสั่งสอนด้วยตัวเองอีก

นางไม่ได้บอกเรื่องราวทั้งหมดนี้ ดังนั้นหวังหลินจึงไม่รู้…

“ตอนที่ข้าเป็นเด็ก ข้าค้นพบว่าข้าแตกต่างจากคนอื่นๆ ผมของข้าเป็นสีฟ้า ไม่มีใครในทะเลเมฆาที่มีผมสีแบบนี้…ข้ายังจำได้ดีว่าเด็กที่เล่นกับข้าเคยหัวเราะใส่ข้าอย่างไรตอนที่ข้าเป็นเด็ก…” หลี่เฉียนเหมยกล่าวเบาๆด้วยแววตาขมขื่นพร้อมกับนึกย้อนไปถึงวัยเด็ก

“ข้าบ่มเพาะอย่างหนัก อาจารย์หลอมเม็ดยาจำนวนมากให้ข้า ด้วยเม็ดยาพวกนั้นข้าจึงสามารถบ่มเพาะมาถึงระดับในปัจจุบันได้…การฝึกเซียนของข้าได้รับมาจากอาจารย์ ด้วยสำนักทะลวงสวรรค์…ข้าต้องเข้าไปในสนามรบ นั่นเป็นพรหมลิขิตของข้า”

หลี่เฉียนเหมยไม่ได้คลายมือที่กำลังจับใบหญ้า แต่นางดึงมันขึ้นมาทั้งที่ยังพัวพันกับมือแทน

นางยืนขึ้นและสะบัดผมสีฟ้า มองหวังหลินและเอ่ยขึ้นเบาๆ “หากวันใดวันหนึ่งข้าไม่อยู่ที่นี่ ท่านจะจำได้ไหมว่าในชีวิตท่าน มีสตรีคนหนึ่งนามว่าหลี่เฉียนเหมยที่ผ่านมา…”

พอได้ยินเช่นนี้ หวังหลินรู้สึกว่าในหัวใจมีเส้นด้ายแห่งความเจ็บปวด ใบหน้าซีดเล็กน้อยพลางมองไปยังหลี่เฉียนเหมยและพยักหน้าเบาๆ

“ข้า…”

หลี่เฉียนเหมยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเศร้าหมอง นางมองหวังหลินราวกับต้องการสลักเขาไว้ในความทรงจำของนาง หรือ…ลบเลือนเขาออกไปให้หมด…

มีระยะห่างหนึ่งที่เหมือนกับจะจากไปและลืมกันไป มันไม่สามารถวัดได้และบอกได้แค่ว่าไกลเท่านั้น เหมือนกับปลาที่อยู่ก้นสระน้ำมองนกที่กำลังจะจากไป มันพยายามดิ้นรนกระโดดขึ้นไปจากน้ำเพื่อไม่ให้กำแพงนั้นหยุดได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามมันกลับได้รับเพียงการชำเลืองมองกลับมาในสระ…

หวังหลินมองหลี่เฉียนเหมย ความขมขื่นในใจรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม…เขาจำได้เลือนลางถึงตอนที่เปิดประตูของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและก้าวเข้าไปข้างหน้า มันราวกับเขาได้เห็นชีวิตที่ผ่านมา ท้ายที่สุดเขาเห็นตัวเองกลายเป็นนก

ในความทรงจำอันพร่าเลือนของเขา ดูเหมือนจะจำได้ว่าตนเองเป็นนก เขาเห็นปลาสีสันแพรวพราวในสระจนเกิดความสนใจ จึงร่อนลงไปข้างๆสระและมองปลาตัวนั้นอย่างละเอียด…

ตอนนั้นปลาในสระก็มองมาที่เขาด้วยเช่นกัน

เสียงถอนหายใจของหลี่เฉียนเหมยราวกับสายลมอ่อนโยนไปตามแสงจันทรา มันแพร่กระจายไปในสวนและค่อยๆหายไปพร้อมกับร่างของนาง

หวังหลินมองแผ่นหลังของหลี่เฉียนเหมยใต้แสงจันทรา เขากล่าวขึ้นเบาๆ “ขอบคุณ…”

“ทำไมท่านถึงขอบคุณข้า?” ลี่เฉียนเหมยหยุดลงและหันกลับมามองหวังหลิน สีหน้านางยังคงสงบนิ่ง

หวังหลินขบคิดชั่วครู่ก่อนจะสะบัดแขนปรากฏสร้อยข้อมือขึ้นมา

“ครั้งหนึ่งมันช่วยชีวิตข้าไว้…”

จังหวะที่นางเห็นสร้อยข้อมือ ความสงบเงียบที่นางใช้เป็นหน้ากากก็พังทลาย นางมองสร้อยข้อมือ ตะลึงงันและค่อยๆเผยรอยยิ้ม วินาทีนั้นนางสวยสง่าแพรวพราวยิ่ง

หลี่เฉียนเหมยกะพริบตาปริบๆ “ข้าจำได้ว่า…ข้าโยนมันออกไป…”

“ต่อมาข้าบังเอิญไปเก็บมันได้…” หวังหลินมีท่าทางประหลาดเล็กน้อย แม้แต่ตัวเองก็ไม่เชื่อตอนพูดออกไป

“โอ้งั้นหรือ ท่านบังเอิญไปเก็บมันได้สินะ” นางพยักหน้า ในแววตามีรอยยิ้ม

“ข้ากำลังจะคืนมันให้เจ้า” หวังหลินรู้ว่าหลี่เฉียนเหมยเข้าใจผิด แต่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ยากจะอธิบาย หวังหลินลุกขึ้น ถือสร้อยข้อมือ พยายามคืนให้หลี่เฉียนเหมย

“ท่านเก็บมันได้ หากท่านส่งมันกลับให้ข้า ข้าก็จะโยนมันออกไปอีก” นางยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมพลางมองหวังหลินอย่างใส่ใจ นางจากไปทันที

“จำไว้ด้วย ท่านสัญญาว่าจะไปส่งข้า” คำพูดของหลี่เฉียนเหมยค่อยๆส่งมาถึง ร่างนางค่อยๆหายไปในแสงจันทร์ นางกลับไปที่ห้องในสวน

หวังหลินถือสร้อยข้อมือพร้อมกับถอนหายใจ หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็เก็บมันไว้และส่งสายตาออกไปนอกสวน

มีสตรีอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางงดงามหมดจดและกำลังมองหวังหลินอยู่ด้วย นางดูเยือกเย็นและโดดเดี่ยวใต้แสงจันทรา ทั้งคู่ต่างสบตากันและกัน

การสบตากันนี้รู้สึกราวกับพวกเขากลับไปยังดาวซูซาคุและกลับไปที่สำนักเหิงยั่ว ตอนที่สตรีนามหลิวเหมยผู้ถือกำเนิดพร้อมกับรากวิญญาณวารีได้มองไปยังฝูงชนและเห็นชายหนุ่มนามว่าหวังหลิน

…………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version