1233. การเคลื่อนไหวของสายลม
หลังจากพุ่งออกมาจากดินแดนหมอกอสูร หวังหลินจึงเข้าสู่เขตระดับแปด เขาเผยสีหน้าดีใจและมองกลับไปที่หมอกด้านหลัง ตอนนี้เขาแค่สัมผัสถึงกลิ่นอายของอสูรระดับสิบสาม
มันเป็นกลิ่นอายที่ทำให้เขาล้มเลิกการสังหารเจ้าตะขาบ อีกทั้งสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการไปที่แดนสวรรค์วายุ!
‘สมแล้วที่ดินแดนหมอกอสูรเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง!’ หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินจึงเหาะเหินออกไปไกล
พอเขามาในเขตระดับแปด หวังหลินไม่ทำตัวโอหังอีก เขารู้ว่าในเขตระดับแปดมีเซียนเฒ่าหลายคน ผู้อาวุโสที่สังเกตการต่อสู้ของเขาในสายหมอกก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้นแน่
แม้เขาจะไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ด้วยพละกำลังพร้อมกับวิชาและสมบัติต่างๆ หวังหลินสามารถอวดดีในเขตระดับหกและเจ็ดได้ แต่ในเขตระดับแปดเขาคงต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น
ดังนั้นหวังหลินจึงถอนกลิ่นอายตัวเองออกมาและชะลอตัวลง ขณะเดียวกันก็ศึกษาเส้นทางสู่แดนสวรรค์วายพุ เขาไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงแต่หลีกเลี่ยงพื้นที่จำนวนหนึ่งไปด้วย
พอเทียบกับขนาดเขตระดับแปดแล้ว หวังหลินเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในมหาสมุทร เขาค่อยๆมุ่งหน้าเข้าหาแดนสวรรค์วายุพร้อมกับมีเป้าหมายเพื่อซ่อนตัวเองไว้ด้วย
หวังหลินเดินทางรวดเดียวเป็นเวลาหลายวัน จนนี่ก็เกือบหนึ่งเดือนเข้าไปแล้วตั้งแต่เดินทางในเขตระดับห้า
ครั้งก่อนแดนสวรรค์วายุได้รับความเสียหายหนัก แต่เนื่องจากมันถูกเหล่าอสูรยุงครอบครองไว้ ซากปรักหักพังจึงถูกทิ้งไว้ครบถ้วนดี ยังมีเซียนบางส่วนที่อยากเข้าไป ทุกครั้งจะมีกลุ่มเซียนอยากเข้าไปเพื่อพยายามจับอสูรยุงที่อยู่โดดเดี่ยวตรงปลายขอบ
การเข้าสู่แดนสวรรค์วายุไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมวายุ มันมีรอยแยกอวกาศขนาดใหญ่อยู่ ตราบใดที่กล้าพอจะพุ่งผ่านฝูงอสูรยุงหนาแน่นไป พวกเขาก็สามารถเข้าไปได้
ทว่ามีน้อยคนที่สามารถทำแบบนี้ได้จริงๆ ยามใดที่มีคนจำนวนมากพร้อมกับคนแข็งแกร่งนำทางก็สามารถทะลวงผ่านไปได้ หรือหากมีเซียนเฒ่าหลายคนร่วมมือกันก็ทำได้ ทว่าคนส่วนใหญ่เดินสำรวจแค่เขตชั้นนอกเท่านั้น แต่ก็ยังมีอสูรดุร้ายบางตัวปรากฏขึ้นนอกรอยแตกด้วย อสูรพวกนี้มีพลังปราณสวรรค์ที่หายาก หลังจากผ่านไปสักพัก ผลึกอันล้ำค่าที่มีพลังปราณสวรรค์ก็จะก่อตัวขึ้น
แม้จะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ตอนนี้ด้านนอกรอยร้าวสู่แดนสวรรค์วายุมีเซียนอยู่มากกว่าสิบคน พวกเขาดูเหมือนกำลังรอให้คนมากกว่านี้เพื่อที่จะเข้าไป หวังหลินค่อยๆโผล่ออกมาจากสายหมอก เส้นผมสีขาวของเขาดูโดดเด่น สายตาเซียนทั้งหมดจึงรวมมาที่เขา
ณ แผ่นดินโม่หลัวในเขตระดับห้า หลิวหยานเฟยยืนอยู่บนภูเขาที่นางคุยกับหวังหลินครั้งแรก สายลมพัดพาให้เส้นผมพลิ้วไหว นางดูราวกับเป็นเทพธิดายิ่งนัก
บนใบหน้าเรียวสวยนั้นแฝงความโศกเศร้าเอาไว้.
การแข่งขันของสำนักหลักกำลังใกล้เข้ามา ทุกคนที่เข้าร่วมในการแข่งขันได้เตรียมตัวและรอคอยให้สำนักหลักเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายไป
ค่ายกลเคลื่อนย้ายสร้างขึ้นไว้ภายในสำนักสาขาแต่ละแห่งซึ่งสามารถเปิดขึ้นมาจากสำนักหลักเท่านั้น พวกเขาไม่มีสิทธิ์เปิดใช้มัน
หลิวหยานเฟยยืนอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้ว นางมองไปบนท้องฟ้าอยู่ตลอด คาดการณ์จะได้เห็นร่างนั้นอีกครั้ง นางรอมาสิบปี ห้าสิบปี ร้อยปีจนกระทั่งตอนนี้ ร่างนั้นก็ยังไม่ปรากฏ
หลังจากผ่านไปยาวนาน พื้นดินสั่นไหว แสงสว่างโผล่ออกมาจากสำนักต้นกำเนิด พลังดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันในสำนักต้นกำเนิด แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้หลิวหยานเฟยสนใจ นางกัดริมฝีปาก จ้องมองท้องฟ้า ในแววตาเกิดความเศร้า
‘ทำไม…ท่านสัญญาแล้ว ท่านบอกว่าจะมา…’
เบื้องหลังหลิวหยานเฟย ซิ่วหยุนพึ่งมาถึง นางมองอาจารย์ตัวเองและขบคิดอยู่เงียบๆชั่วครู่จนในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “อาจารย์ สำนักหลักเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว อาจารย์ลุงขอให้ข้าพาท่านไป…เรา…กำลังจะจากไป”
นางถอนหายใจ จากนั้นหลิวหยานเฟยถอนสายตาจากท้องฟ้า ความเศร้าสร้อยหายไปจากใบหน้า แทนที่ด้วยสายตามุ่งมั่น นางมองซิ่วหยุนและกล่าวเสียงเบา “หลังจากการเดินทางครั้งนี้ เจ้าและข้าจะไม่เป็นศิษย์อาจารย์กันอีก เจ้ามีพรสวรรค์ที่ดีและคงกลายเป็นศิษย์หลัก ไม่ว่าเจ้าจะถูกส่งไปที่สำนักไหนก็ตาม…”
“อาจารย์!” หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตาซิ่วหยุน นางกำลังจะพูดต่อ
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว!” หลิวหยานเฟยมองดูซิ่วหยุนอย่างลึกซึ้งและเดินลงไปจากภูเขา
ขณะที่ศิษย์พี่ทั้งสามของหลิวหยานเฟยยืนอยู่นอกค่ายกลเคลื่อนย้าย แรงกดดันก่อตัวขึ้นมา พวกเขามองไปรอบๆด้านเป็นฉากสุดท้ายอันงดงาม
พอหลิวหยานเฟยมาถึง ทุกคนก้าวเข้าไปในค่ายกล ตอนที่ค่ายกลเปิดใช้งาน พวกเขาถูกเคลื่อนตัวไปที่สำนักอมตะในเขตระดับแปด หยดน้ำตาใสๆตกลงมาจากดวงตาหลิวหยานเฟย
‘ตอนที่ท่านกลับมา บางทีท่านอาจจะค้นพบว่าสำนักต้นกำเนิด…ได้หายไปแล้ว…’
ในเวลาเดียวกันของเขตระดับเก้า หลังจากอสูรดุร้ายตัวสุดท้ายถูกสังหารนอกรอยแตก กองทัพอสูรดูเหมือนจะหายไป ซึ่งทำให้เหล่าเซียนทะเลเมฆามีจังหวะพักหายใจ
ท่ามกลางเซียนเหล่านี้ หลี่เฉียนเหมยเป็นจุดสนใจของทุกคน นางปาดโลหิตอสูรออกไปจากกระบี่แต่นางก็ยังสงบนิ่ง
หลี่เฉียนเหมยมองออกไปไกล นางออกไปจากสนามรบอย่างเงียบๆและเดินเข้าหาสำนักมารสาขาหลักที่ตั้งขึ้นที่นี่
“ข้าจะออกไปข้างนอกสามเดือน” ในสำนักมาร หลี่เฉียนเหมยมองไปที่ร่างเลือนลางในห้องโถง แม้น้ำเสียงจะดูอ่อนนุ่มแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ห้องโถงเงียบสงัด ร่างพร่ามัวหนึ่งค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมา ปรากฏสองลำแสงจากร่างนั้นและร่อนลงบนร่างหลี่เฉียนเหมย
หลี่เฉียนเหมยใบหน้าสงบนิ่ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด
มีไม่มากนักที่จะสามารถสงบนิ่งเบื้องหน้าการจ้องมองนี้ได้ แม้กระทั่งเจ้าของสายตาเองก็อดไม่ได้ที่จะเผยอาการชื่นชม
“ไม่!”
“ข้าแค่มาบอกเท่านั้น” หลี่เฉียนเหมยหันกลับและเดินออกไป
“กองทัพอสูรที่ใหญ่กว่าใกล้เข้ามาแล้ว หากเจ้าจากไปตอนนี้ เจ้าจะเป็นคนที่ทำให้สำนักทะลวงสวรรค์เสื่อมเสีย!” ร่างอันพร่ามัวดูเหมือนขมวดคิ้วพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึกก้องไม่มั่นคง
หลี่เฉียนเหมยไม่พูดต่อและเดินออกไปจากห้องโถง
“หากเจ้ากล้าเดินไปอีกครึ่งก้าว เจ้าจะมีความผิดฐานบกพร่องในหน้าที่!” น้ำเสียงยังคงไม่มั่นคง แต่โลกพลันเย็นเยียบ
หลี่เฉียนเหมยหยุดลงและขบคิดชั่วครู่ นางไม่ได้หันกลับมาและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าต้องการออกไปเป็นเวลาสามเดือน”
หลังนางกล่าวจบ พลันยกเท้าขึ้นและก้าวเดินต่อไปโดยไม่ลังเล
ห้องโถงเงียบสนิท
“ทำไมเจ้าต้องเด็ดเดี่ยวนัก? มีบางอย่างสำคัญกว่าการเผชิญหน้ากองทัพอสูรและทำให้ทะเลเมฆาไม่เกิดความด่างพร้อยด้วยหรือ?” ในน้ำเสียงแฝงโทสะ
“มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สำคัญต่อข้ามากกว่าสิ่งที่ท่านพูดอีก!” หลี่เฉียนเหมยค่อยๆเดินออกไป
จนเมื่อนางจากไปได้นานแล้ว เสียงถอนหายใจดังออกมาในห้องโถง จากนั้นไม่มีความโกรธหรือเย็นชาในน้ำเสียงอีก
“เมื่อเจ้าเด็ดเดี่ยวขนาดนั้น ก็เอาหินหยกข้าไปและออกไปจากที่นี่ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย ด้วยวิธีนั้นเจ้าสามารถลดระยะเวลาได้พอสมควร” แสงอ่อนโยนพุ่งออกมาจากสำนักมารและร่อนลงในมือของหลี่เฉียนเหมย
หลี่เฉียนเหมยมองดูหินหยกและมองออกไปไกล นางเอ่ยขึ้นเบาๆ “หลังจากหายไปร้อยปี เขาควรปรากฏตัวเพื่อช่วยสำนักต้นกำเนิดในการแข่งขัน…เขาจะไปไหมนะ…”
ในทะเลเมฆา มีแผ่นดินป่าแห่งหนึ่งลอยอยู่ในสายหมอกซึ่งหนาวเย็นมากราวกับทุกชีวิตจะถูกแช่แข็งไว้ที่นี่
ด้านทิศตะวันออกของแผ่นดินป่ามีถ้ำแห่งหนึ่งในภูเขา มู่ปิงเหมยกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น นางลืมตาเป็นครั้งคราวและมองออกไปไกลบนแผ่นดินประหลาด ในแววตาเกิดความโดดเดี่ยวและคิดถึงบ้าน
อาการบาดเจ็บของนางสาหัสมาก หากต้องการฟื้นฟูตัวเองคงไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นนางจึงกำลังรอคอยอยู่ หลังจากมาถึงที่นี่นางได้โยนหยกโบราณของดินแดนฟ้ากระจ่างทิ้งไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่มีเพียงเซียนสตรีฟ้ากระจ่างแต่ละรุ่นเท่านั้นจะครอบครองได้
ขณะที่บ่มเพาะ มู่ปิงเหมยมักจะนึกย้อนไปถึงชีวิตของตัวเอง ชีวิตนางน่าเบื่อมากและแทบจะใช้ไปในดินแดนฟ้ากระจ่าง ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคือตอนที่นางนึกย้อนไปถึงประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับมา ราวกับนางกำลังมองอีกชีวิตหนึ่ง
หลิวเหมยเป็นตัวตนอันพิเศษที่สุดในร่างอวตารทั้งหมดของนาง และเป็นเพราะคนผู้หนึ่ง ตอนนั้นมู่ปิงเหมยไม่มั่นใจว่าตนเองคือหลิวเหมยหรือมู่ปิงเหมย…
นางเป็นเหมือนคนนอกที่กำลังมองดูหลิวเหมยและนางค่อยๆหลงทางราวกับมีใครสักคนด้านนอกเดินเข้ามา
พอคิดเช่นนั้น หยาดน้ำตาไหลลงจากมุมหนึ่งของวิญญาณดั้งเดิม ทว่าน้ำตานี้ไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงหัวใจนางที่กำลังโดนฉีกกระชาก
หลังจากผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน น้ำเสียงอ่อนโยนหนึ่งดังออกมาจากนอกถ้ำและเข้าสู่จิตใจนาง นางตื่นขึ้นมาจากความคิดหลายอย่างแต่ไม่ได้ประหลาดใจราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว
“คนข้างในคือพี่หญิงมู่ปิงเหมยแห่งเซียนสตรีฟ้ากระจ่างใช่หรือไม่?”
มู่ปิงเหมยกล่าวเบาๆ “โปรดเข้ามา”
สตรีนางหนึ่งสวมชุดราตรีสีเหลืองเดินเข้ามาจากนอกถ้ำ นางดูเปราะบางมาก แม้จะไม่ได้สวยสดงดงามเหมือนมู่ปิงเหมย แต่นางก็ไม่ได้ดูด้อยกว่าถ้าหากยืนเคียงคู่กัน
นางมองมู่ปิงเหมยและกล่าวขอโทษ “หลังจากได้รับหินหยก อาจารย์กำลังจะออกมาด้วยตัวเองแต่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นก่อน ดังนั้นผู้น้อยจึงมาที่นี่เพื่อมารับพี่หญิง ข้าไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ข้าชื่อ หวังซานซาน”
‘แซ่หวัง…’ นางพยักหน้าด้วยแววตาแฝงความโดดเดี่ยว “ข้าต้องรบกวนน้องซานซานแล้ว”
หวังซานซานมีความเป็นสตรีมาก หลังจากนำเม็ดยาออกมาบางส่วน นางยิ้มให้ “พี่หญิงมู่สวยจริงๆ น้องไม่เคยเจอสตรีที่สวยเช่นนี้มาก่อน”
มู่ปิงเหมยยิ้มแฝงความขมขื่นและนางไม่ได้เอ่ยตอบ
“พี่หญิงมู่ การแข่งขันครั้งใหญ่ของสำนักระดับแปดแห่งดาราจักรทะเลเมฆากำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่นาน ในเมื่อมันอยู่ระหว่างทางไปสำนักเทพเจ้า เราน่าจะไปที่นั่นด้วยกัน น้องไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก และไม่อยากกลับไปเร็วๆนี้”
มู่ปิงเหมยมองหวังซานซานและพยักหน้า