1234. ยินดีต้อนรับ
การแข่งขันของสำนักระดับแปดเกี่ยวพันกับสำนักระดับแปดทั้งหมด กระนั้นไม่ใช่ศิษย์ทั้งหมดที่สนใจเข้าร่วม บางส่วนดูถูกและไม่สนใจ กระทำการตามที่ตนเองต้องการ
เหล่าเซียนด้านนอกแดนสวรรค์วายุต่างก็เป็นแบบนั้น
ทั้งหมดเป็นผู้เยาว์ของสำนักหลายแห่ง แต่ระดับบ่มเพาะไม่ต่ำต้อย พวกเขารวมตัวกันเพื่อพยายามสำรวจแดนสวรรค์วายุ!
หลี่หยวนเล่ยเป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มเนื่องจากอยู่ระดับขั้นชำระสวรรค์ระดับปลาย เขามีรูปร่างผอมเพรียวสวมชุดคลุมสีเงิน ปลดปล่อยกลิ่นอายสมสง่า
ดวงตาเปล่งประกายจ้องมองไปข้างหน้าอย่างหล่อเหลา
พวกเขากำลังรอให้เซียนคนอื่นๆรวมตัวกัน คำนวณจากเวลาแล้วคนพวกนี้คงจะมาถึงในอีกไม่นาน
ขณะนั้นสายหมอกเบื้องหน้าเกิดความปั่นป่วน หวังหลินสวมชุดคลุมสีขาวค่อยๆก้าวเดินออกมาพร้อมกับเรือนผมสีขาวเช่นกัน
ขณะนั้นเซียนมากกว่าสิบคนมองเข้ามา ยามที่หลี่หยวนเล่ยเห็นหวังหลิน สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตามองตามร่างหวังหลิน
เซียนคนอื่นๆนอกจากหลี่หยวนเล่ยมองหวังหลินครั้งเดียวแล้วก็ถอนสายตา พวกเขาไม่ให้ความสนใจหวังหลินอีก แต่หลี่หยวนเล่ยขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเซียนหนุ่มผมขาวคนนี้ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด
พอเห็นรอยแยกสู่แดนสวรรค์วายุ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เขาใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนเพื่อมาที่นี่ เพื่อแดนสวรรค์วายุ!
ตอนนี้เขาไม่ได้มองไปที่เหล่าเซียนนอกแดนสวรรค์วายุเลย หวังหลินพุ่งตรงไปที่รอยแยกซึ่งนำทางสู่แดนสวรรค์
รอยแยกนี้เหมือนรอยแตกร้าวที่ต้องการกลืนกินทุกอย่างเข้าไป ข้างในมีพลังปราณสวรรค์โผล่ออกมาอย่างเจือจาง แม้จะอ่อนแต่หวังหลินสัมผัสได้ชัดเจน
หวังหลินผ่านเหล่าเซียนไป ยืนอยู่ด้านนอกรอยร้าว พลางแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณ เขาค้นพบว่าสัมผัสวิญญาณเขาตกลงไปในหลุมไร้ก้นบึ้งทันทีและเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง มันสลายไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าในตอนที่มันหายไป หวังหลินได้รับภาพหนึ่งข้างในแดนสวรรค์วายุ
มันเป็นโลกที่ปกคลุมอยู่ในแสงสีเหลือง ราวกับทั้งโลกห่อหุ้มอยู่ในสายลมโหยหวน ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นหรือในอากาศ ต่างมีสายลมพัดอยู่ทุกที่
สัมผัสวิญญาณที่เขาแพร่กระจายออกไปได้ถูกรอยแยกกลืนกิน แม้แต่เศษเสี้ยวยังถูกพายุพัดทำลาย หวังหลินดวงตาส่องสว่าง ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
นาทีนั้นเสียงหัวเราะดังออกมาจากข้างหลัง เป็นเซียนหนึ่งในกลุ่มที่มองหวังหลินด้วยท่าทีเยาะเย้ย และกล่าวขึ้นกับพรรคพวกตัวเอง “เซียนป่าเถื่อนคนนี้มาจากไหน? เขาทำบางอย่างเหมือนพยายามสังเกตแดนสวรรค์วายุด้วยสัมผัสวิญญาณน่ะหรือ? ข้าขอเดาว่าเขาเป็นคนบ้าที่ไม่รู้ถึงผลกระทบที่ตามมา”
เซียนรอบๆเขาทั้งหมดมองหวังหลินที่อยู่นอกรอยแยกด้วยสายตาดูถูก ไม่ใช่ว่าพวกเขาเห็นหวังหลินทำสิ่งที่ไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่หวังหลินทำลงไปถือว่าสุ่มเสี่ยงเกินสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเขตระดับแปด ทุกคนมาที่นี่พร้อมกับพรรคพวกและระมัดระวังการแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณหลังจากเข้าไปในรอยแยก ไม่เช่นนั้นสัมผัสวิญญาณคงจะถูกสายลมในแดนสวรรค์ทำลาย การสำรวจด้วยสัมผัสวิญญาณถือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
มีเพียงแค่เซียนเฒ่าในสำนักหลายแห่งของตนเองเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ และนั่นเพราะพวกเขามีความแข็งแกร่งพอจะเข้าไปในแดนสวรรค์ด้วยตัวเองแล้วต่างหาก
หลี่หยวนเล่ยยิ้มออกมาเช่นกัน พลางตบเท้าก้าวเข้าไปหาหวังหลิน คำนับฝ่ามือขึ้น “ข้ากลัวว่านี่เป็นครั้งแรกที่สหายเซียนมาที่ทางเข้าแดนสวรรค์วายุ การกระจายสัมผัสวิญญาณที่นี่เป็นเรื่องอันตรายมาก หากสหายเซียนต้องการไปเห็นแดนสวรรค์วายุ ท่านมากับเราได้ เมื่ออีกหลายคนมาถึง เราสามารถเข้าไปด้วยกันได้ ซึ่งจะทำให้ทั้งเข้าและออกได้อย่างปลอดภัย”
หวังหลินยังคงมองรอยแยกราวกับกำลังขบคิด หลังจากหลี่หยวนเล่ยเอ่ยขึ้นมา หวังหลินเพียงแค่เอ่ยคำเดียวโดยไม่ได้หันกลับมา
“ไม่จำเป็น”
แค่เพียงนั้นเขาก็ยกเท้า ก้าวเดินเข้าหารอยแยกของแดนสวรรค์วายุ เขาไม่ได้เร็วมากแต่มีพลังประหลาดล้อมรอบเอาไว้ ตอนนี้เขาเป็นจุดความสนใจของทุกคน
‘ดูเหมือนเขาต้องการจะเข้าไปแดนสวรรค์ด้วยตัวเอง!’
“พี่ใหญ่หลี่มีเจตนาดี แต่เขากลับทำตัวโอหัง แม้กระทั่งพวกเซียนเฒ่ายังเข้าไปในแดนสวรรค์ด้วยความระมัดระวังเลย…”
หลี่หยวนเล่ยหรี่สายตาแคบลงและจ้องมองหวังหลิน เขาเห็นหวังหลินเพิ่มความเร็วขึ้นและพุ่งเข้าหารอยแยกของแดนสวรรค์วายุ หวังหลินเข้าไปใกล้และกำลังจะก้าวเข้าไปข้างใน
ทว่าขณะนั้นเอง หวังหลินหรี่สายตาและหยุดชะงักทันที เขาถอยหลังออกมาหลายร้อยฟุต
เซียนรอบด้านไม่อาจตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวได้ทันท่วงที เสียงคำรามมหึมาดังออกมาจากรอยแยกพร้อมกับมีเสียงหึ่งๆดังแน่นหนา
หมอกสีแดงปะทุออกมาจากรอยแยกเข้าสู่แดนสวรรค์และเริ่มแพร่กระจายออกไป มีทั้งเสียงคำรามและเสียงดังซี่ๆออกมาพร้อมกับอสูรยุงขนาดพันฟุตปรากฏขึ้นมาด้วยท่าทางดุร้าย
อสูรยุงเหล่านี้มีขนปกคลุมไปด้วยหนามแหลม จะงอยปากของมันส่งกลิ่นเหม็นคาว กลิ่นอายดุร้ายจากยุคโบราณแพร่กระจายออกมา
หลังจากร้องคำราม อสูรยุงประมาณร้อยตัวบินออกไปในพริบตา
วินาทีนี้หลี่หยวนเล่ยสีหน้าเปลี่ยนไปและถอยร่นโดยไม่ลังเล เขาร้องตะโกนตามไปด้วย “อสูรยุงยักษ์กลุ่มเล็กกำลังพุ่งออกมา รีบถอยด่วน!”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของเหล่าเซียนด้านข้างหลี่หยวนเล่ยเปลี่ยนไปมหาศาลและเริ่มถอย ด้วยระดับบ่มเพาะแต่ละคนนั้นพวกเขาไม่มีโอกาสต่อสู้กับกลุ่มอสูรยุงนับร้อยพวกนี้ได้เลย จึงรีบกระจายตัวกันอย่างรวดเร็ว
“กลิ่นหอมสวรรค์!” เสียงของหลี่หยวนเล่ยดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันแขนขวาขยับเคลื่อนไหวปรากฏธูปหอมขนาดเท่าท่อนแขน มันเริ่มเผาไหม้และมีกลิ่นพิเศษแพร่กระจาย
ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่เซียนทั้งหมดนำธูปหอมออกมาและจุดไฟ พริบตาเดียวกลิ่นธูปเต็มไปทั่วรอบๆรอยแยก
อสูรยุงดูเหมือนจะเกลียดกลิ่นนี้มาก แต่ละตัวหยุดพุ่งเข้ามา จ้องมองเหล่าเซียนและเริ่มร้องคำราม สายตาดุดัน
พอจ้องไปที่ฝูงอสูรยุงดุร้ายนับร้อย ทุกคนรวมถึงหลี่หยวนเล่ยนึกย้อนไปถึงเรื่องราวความดุร้ายต่างๆของเหล่าอสูรยุง หลังจากค้นพบว่าพวกยุงหยุดลงอยู่นอกระยะกลิ่นหอม ทั้งหมดจึงผ่อนคลาย
ขณะนั้นมีเซียนผู้เยาว์คนหนึ่งด้านข้างหลี่หยวนเล่ยจ้องไปข้างหน้า อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา “นี่…เป็นไปได้อย่างไร?!”
เสียงเขาหายไป วินาทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ทุกคนมองตามสายตาไป ทุกคนทั้งหมดรอบด้านตกตะลึงปนหวาดกลัว แต่ก็งุนงงไปด้วย
ใจกลางสายตาแต่ละคนคือร่างชายหนุ่มสีขาวที่กำลังเคลื่อนตัวไปท่ามกลางอสูรยุง ด้านล่างเขาคืออสูรยุงสีทองอ่อน!
ขณะที่เขาเหาะไปข้างหน้า ฝูงอสูรยุงสีแดงซึ่งเดิมทีดุร้ายยิ่งกลับกลายเป็นเชื่องขึ้นอย่างมาก พวกมันไม่กล้าขวางทางชายหนุ่มชุดขาวเลยและกระทั่งเปิดทางให้อีก อีกทั้ง…ในสายตาพวกมันแฝงความเคารพ
เสียงซี่ๆของกลุ่มอสูรยุงดังกึกก้อง พวกมันหยุดให้ความสนใจต่อเหล่าเซียน แต่กลับมาล้อมรอบเซียนชุดขาวแทน กล่าวให้ถูกก็คือล้อมรอบอสูรยุงตัวสีทอง พวกมันบินเป็นรูปวงแหวนรอบๆ เหาะเหินเข้าหาหมอกสีแดงที่กำลังโผล่ออกมาจากรอยแยกของแดนสวรรค์
ฉากเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้เซียนรอบๆด้านเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ราวกับพวกอสูรยุงไม่ได้กระจายตัวออกมาจากหมอกสีแดง แต่ออกมาเพื่อต้อนรับใครบางคน! พวกมันกำลังต้อนรับชายชุดขาวคนนั้น!
จนเมื่อชายชุดขาวเข้าไปในหมอกและเข้าสู่รอยแตกที่มีเหล่าอสูรยุงสีแดงดุร้าย จากนั้นพากันกลับไปในหมอกสีแดง
หมอกสีแดงหมุนติ้วราวกับมีบางอย่างผิดที่ผิดเวลาและทุกอย่างเริ่มหวนคืน เมื่อมียุงกลับเข้าไปในหมอก สายหมอกจึงแคบลงและถูกดูดกลับเข้าไปในรอยร้าว
ตั้งแต่หมอกสีแดงแพร่กระจายออกมาเป็นอสูรยุง จนถึงตอนที่พวกมันกลับเป็นสายหมอกและหายไป เวลาผ่านไปไม่เกินสิบห้านาที เซียนทั้งหมดต่างรู้สึกศีรษะด้านชา กระทั่งหลังจากทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ พวกเขายังตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง
“เขา…เขาเป็นใคร!?!”
“การปรากฏตัวของเขาใช่ความบังเอิญ…หรืออสูรยุงยักษ์ออกมาต้อนรับเขา?”
ทุกคนมองหน้ากันเองและเห็นความหวาดกลัวในสายตาแต่ละคน พวกเขาไม่อาจลืมสิ่งที่พึ่งเป็นพยานรู้เห็นทั้งสองตา สำหรับเซียนของทะเลเมฆาแล้ว อำนาจของเหล่าอสุรยุงที่ครอบครองแดนสวรรค์วายุคงไม่มีคำถามอันใด แม้กระทั่งสำนักเทพเจ้าก็ยังไม่มั่นใจในการฟื้นฟูแดนสวรรค์วายุ ครั้งนึงพวกเขาเคยส่งกลุ่มเซียนทรงพลังเข้าไป แต่ในท้ายที่สุดก็ล้มเหลวและไม่มีใครรอดกลับมา
สิ่งสำคัญที่สุดคือเหล่าอสูรยุงยักษ์ไม่สามารถทำให้เชื่องได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ไม่มีวันสำเร็จ หลังจากผ่านไปสักพักทุกคนจึงรู้เกี่ยวกับนิสัยของเหล่าอสูรยุง
ทว่าคนชุดขาวผู้นั้นพึ่งทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นมาได้!
ทั้งหมดขบคิดจนรอบด้านเงียบสนิท หลังจากนั้นไม่นานลำแสงอีกหลายจุดได้มาถึง พวกเขาคือกลุ่มคนที่รอให้มาถึงที่นี่