Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 124

Cover Renegade Immortal 1

124. กฏเกณฑ์

วิญญาณเร่ร่อนดิ้นรนต่อสู้ขณะที่ร่างของมันพุ่งเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้ายดวงตาหวังหลินสว่างวาบขณะที่เขามองดูวิญญาณเร่ร่อนตัวนั้นเหล่าผู้คนหลายสิบคนข้างในค่ายกลเคลื่อนย้ายเห็นวิญญาณเร่ร่อนกำลังบินตรงเข้าหาพลันแต่ละคนถอยหลังทันทีพวกเขาหยิบสมบัติเซียนตัวเองออกมาและจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของวิญญาณเร่ร่อนตัวนี้อย่างเคร่งเครียด

ยิ่งมันเข้าใกล้มากขึ้น เหล่าผู้คนด้านในก็ยิ่งกังวล ทันใดนั้นวิญญาณเร่ร่อนปะทะเข้ากับม่านแสงป้องกันของค่ายกลเคลื่อนย้าย

สีหน้าหวังหลินมีแววสงบนิ่งแต่เขาก็ลอบถอนหายใจออกมาจังหวะที่วิญญาณเร่ร่อนสัมผัสกับม่านพลัง มันก็กลายเป็นกลุ่มควันทันทีผู้คนข้างในค่ายกลเริ่มส่งเสียงโห่ร้องแต่ละคนรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าค่ายกลนี้จะปกป้องพวกเขาได้

“วิญญาณกลืนกินเกิดใหม่เอ๋ย ไม่มีประโยชน์หรอกค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นเป็นประตูสู่โลกมนุษย์ร่างวิญญาณใดก็ตามที่สัมผัสมันจะถูกทำลายทันทีตามกฎธรรมชาติ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจหวังหลินเขาจ้องไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและเริ่มไตร่ตรองหลังจากผ่านไปเวลานาน สายตาหวังหลินก็สว่างขึ้นเขาชี้ไปที่อากาศแห่งหนึ่งอยู่หลายครั้งและมีวิญญาณเร่ร่อนนับสิบดวงลอยเข้ามาหาเขาพร้อมกับดิ้นรนไปด้วย

หวังหลินเหยียดยิ้มเขาชี้ไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายและวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดพุ่งเข้าหาค่ายกลทันทีระดับชั้นความแตกต่างของเขากับพวกมันทำให้วิญญาณพวกนี้ไม่สามารถต่อต้านได้

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่เขาสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับม่านพลังได้เมื่อวิญญาณเร่ร่อนเข้าใกล้จะมีเส้นสีดำหนึ่งเส้นปรากฎขึ้นเส้นสีดำนั้นเข้าไปในวิญญาณเร่ร่อนและมันก็สังหารทันที

ส่วนเรื่องที่ว่าเส้นสีดำเกิดขึ้นได้เช่นไรนั้น มันไกลเกินกว่าที่หวังหลินจะเห็นได้ชัด ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณจับเอาวิญญาณเร่ร่อนมากกว่าพันตัวและส่งพวกมันเข้าไปหาค่ายกลเคลื่อนย้ายวิญญาณพวกนี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปทางค่ายกลทันทีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากเหล่าผู้คนข้างในค่ายกลเหล่าเซียนทั้งหมดต่างมีสีหน้าซีดเผือด เพียงตัวหรือสองตัวก็กลัวมากแล้วตอนที่มีสิบตัวนั่นพวกเขาตื่นตกใจมากขึ้นไปอีก แต่มีนับพันตัวแค่บอกว่ากลัวขนาดไหนคงไม่สามารถอธิบายได้อีกต่อไป มันเรียกว่าสยองขวัญ

บางคนถึงกับหลับตาด้วยความหมดหวังแต่ส่วนใหญ่พวกเขาตั้งความหวังสุดท้ายไว้ที่ม่านพลังทว่าพวกเขากลับเตรียมฆ่าตัวตายเรียบร้อยแล้วหากม่านพลังถูกทำลายเพราะการตายด้วยตัวเองถือว่าดีกว่าถูกวิญญาณกลืนกิน

ณ จุดนี้สอดคล้องกับความคิดเหล่าเซียนทั้งหมด

ขณะที่วิญญาณเร่ร่อนนับพันตัวได้สัมผัสกับม่านพลังพวกมันกรีดร้องและหายไปทันทีมันราวกับว่าพวกมันทั้งหมดถูกลมพัดปลิวไปและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ทันใดนั้นหวังหลินยืนขึ้นทันที เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนเส้นสีดำพวกนั้นปรากฎออกมาจากชั้นอากาศเล็กและโจมตีวิญญาณเร่ร่อนไม่ว่าเหล่าวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นจะโจมตีมาจากมุมไหนเส้นสีดำพวกนั้นจะปรากฎออกมาและทำลายทันที

เห็นได้ชัดว่าเส้นสีดำนี้เกี่ยวข้องกับกฎธรรมชาติที่เพื่อนบ้านของเขาได้กล่าวถึง

หวังหลินจ้องอย่างเยือกเย็นขณะที่เขาส่งสัมผัสวิญญาณคลื่นต่อไปและรวบรวมวิญญาณเร่ร่อนมากกว่าสองพันตัวพวกมันถูกบังคับให้โจมตีแบบถวายชีวิตจากหวังหลินขณะเดียวกันเหล่าเซียนข้างในค่ายกลเคลื่อนย้ายในที่สุดก็ผ่อนคลายจากความตื่นตระหนกแต่พวกเขาก็เริ่มหวาดกลัวอีกครั้งไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อม่านพลังนี้แต่เพราะว่าความกลัวนั้นมันมาจากเหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่เข้ามาหาต่างหาก

มันราวกับถูกล้อมด้วยกลุ่มหมาป่าผู้หิวโหย แม้ท่านจะล้อมรอบไปด้วยกองไฟ ท่านยังคงกลัวอยู่ดี

เหล่าวิญญาณเร่ร่อนนับสองพันตัวพุ่งเข้าหาเมื่อหวังหลินชี้นิ้วสั่งวิญญาณเร่ร่อนตัวที่ตามหลังพวกเขาคราวก่อนได้เผยใบหน้าอ้อนวอนมันไม่กล้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

หวังหลินจ้องไปที่วิญญาณเร่ร่อนตัวนั้นแม้ว่าเหล่าวิญญาณเร่ร่อนจะมีสติปัญญาอยู่บ้างนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมันขอร้องอ้อนวอนหวังหลินจ้องไปที่วิญญาณเร่ร่อนและดวงตากลายเป็นเยือกเย็น

วิญญาณเร่ร่อนร้องไห้ออกมามันไม่สามารถทนต่อความกดดันของสัมผัสวิญญาณหวังหลินได้ดังนั้นมันจึงพุ่งเข้าไปข้างหน้า ขณะที่มันออกมานั้นเห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากวิญญาณเร่ร่อนตัวอื่นวิญญาณตัวอื่นทั้งหมดมองมาทางมัน แม้ว่าจะไม่มากเท่าหวังหลินแต่เห็นได้ชัดว่าตัวอื่นๆได้กลัววิญญาณเร่ร่อนตัวนี้

จังหวะที่วิญญาณนับสองพันตัวกระแทกเข้ากับม่านพลังเส้นสีดำปรากฎขึ้นและทำลายพวกมันทั้งหมด ขณะนั้นเองวิญญาณเร่ร่อนกลายพันธุ์ก็ได้มาถึง

รูม่านตาหวังหลินหรี่เล็กขณะที่เขารู้สึกสนุกสนานร่างครึ่งหนึ่งของวิญญาณเร่ร่อนกลายพันธุ์เข้าไปในม่านพลังถึงแม้ว่าจะมีเส้นสีดำเส้นหนึ่งเข้าไปในร่างของมันก็ตาม

วิญญาณเร่ร่อนกลายพันธุ์มีสีหน้าทุกข์ทรมานแต่มันยังคงพุ่งผ่านม่านพลังเข้าไปและกระโดดเข้าหาเซียนคนหนึ่งเซียนคนนั้นกรีดร้องทุรนทุรายและกลายเป็นมัมมี่ทันที

ขณะเดียวกันนั้นมีเส้นสีดำมากกว่าสิบเส้นปรากฎขึ้นและเข้าไปในร่างมัมมี่ตัวนั้นวิญญาณเร่ร่อนกลายพันธุ์รีบพุ่งออกมาจากร่างมัมมี่ด้วยสีหน้าเจ็บปวดแต่มันหนีไปได้ไม่ไกลก่อนที่จะถูกทำลายไป

ทันใดนั้นใบหน้าของเหล่าเซียนข้างในค่ายกลเคลื่อนย้ายเปลี่ยนไปทันทีขณะที่พวกเขามองไปที่ร่างมัมมี่ตัวนั้นเซียนสตรีบางคนถึงกับเริ่มร้องไห้

หยางเซี่ยงลอบถอนหายใจ เขาออกมาและเตะร่างมัมมี่ตัวนั้นออกจากค่ายกลเคลื่อนย้าย

คิ้วหวังหลินชนเข้าด้วยกันเขาดึงเอาเศษเสี้ยวสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมาและส่งมันเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้ายเมื่อมันเข้าใกล้ได้มีเส้นสีดำเส้นหนึ่งเจาะสัมผัสวิญญาณเขารวดเร็วราวกับสายฟ้า

สัมผัสวิญญาณของหวังหลินถอยกลับมาและหลบเส้นสีดำนั้น ทันใดนั้นเส้นสีดำเปลี่ยนทิศทางทันทีและพุ่งตรงเข้าหาสัมผัสวิญญาณหวังหลิน

หวังหลินกัดฟันแน่น สัมผัสวิญญาณของเขาไม่หลบหนีอีกต่อไปแต่เขาต้องการดูว่าเส้นสีดำพวกนี้แข็งแกร่งแค่ไหนหากมันเป็นเหมือนครั้งก่อน เขาคงไม่กล้าลองดีแต่ทว่าตั้งแต่ที่วิญญาณเร่ร่อนกลายพันธุ์ตัวนั้นสามารถต่อต้านได้หนึ่งครั้งมันก็ไม่ควรจะอันตรายมากเท่าไหร่นัก

เส้นสีดำเข้าไปในสัมผัสวิญญาณหวังหลินอย่างรวดเร็วทันใดนั้นพลังทำลายล้างระเบิดออกมาข้างนอกสัมผัสวิญญาณและพุ่งตรงเข้าหาร่างหลักของหวังหลิน

ดวงตาหวังหลินส่องสว่างนำสัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขาออกมาทันทีและรีบล้อมรอบพลังทำลายล้างอันนั้นจากนั้นเขาก็เริ่มศึกษาพลังทำลายล้างอันนี้อย่างละเอียด

หลังจากผ่านไปเวลานาน หวังหลินลอบถอนหายใจสัมผัสวิญญาณของเขาเคลื่อนไหวและบดขยี้พลังทำลายล้างแห่งนั้นแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจพลังทำลายล้างนี้ได้ทั้งหมดเขาก็รู้ได้ว่าเส้นสีดำนี้สร้างความเสียหายอย่างมากกับวิญญาณเขามันราวกับว่าสร้างมาเพื่อทำลายเหล่าวิญญาณ

หวังหลินรู้ได้ว่าหากได้รับเส้นสีดำนี้มากเกินกำหนด แม้แต่เขาก็ไม่สามารถทนมันได้

หวังหลินหลับตา หลังจากไตร่ตรองอยู่นานเขาก็ลืมตาขึ้นจากนั้นนำกระเป๋าทั้งสามใบออกมาและค้นหา นอกจากป้ายสิทธิ์ของหม่าเหลียงเขายังนำเอาหินวิญญาณระดับกลางออกมาหลายก้อน

ซิ่วฮ่าวและเก้อหยางนั้นโชคร้ายมาก หลังจากพวกเขาสังหารหม่าเหลียงกลับต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มวิญญาณเร่ร่อน แม้ว่าพวกเขาจะหาทางหนีแต่ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่เผชิญหน้ากับเหล่าวิญญาณเร่ร่อนพวกมันก็ตามหลังเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นกำลังตามล่าคนอื่นอยู่พวกมันกลับยกเลิกและตามล่าทั้งสองคนแทนแม้กระทั่งวิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่งถึงกับปล่อยวิญญาณที่ตนกำลังกินอยู่และกระโดดเข้าหาทั้งสองคน

ด้วยการดูแลแบบพิเศษเช่นนั้น ไม่มีทางที่ทั้งสองจะหนีรอดไปได้พวกเขาถูกวิญญาณเร่ร่อนกลืนกินอย่างรวดเร็วแต่เพราะไม่มีเวลามองดูกระเป๋าของหม่าเหลียงดังนั้นอย่างน้อยมันก็ไม่มีอะไรขาดหายไป

หลังจากตรวจสอบกระเป๋าทั้งสามใบ หวังหลินรู้สึกตกใจอย่างมากไม่ว่าจะเป็นหินวิญญาณ สมบัติเซียน หรือวัตถุดิบ เพียงแค่รู้จักชื่อพวกเขาก็มีมันทั้งหมด

พูดได้ว่านี่เป็นของที่พวกเขาได้มา ผ่านการทำงานห้าสิบปีของทั้งสองคน

เพียงแค่นับหินวิญญาณระดับกลาง มีมากกว่าสองพันชิ้นหวังหลินถือหินวิญญาณก้อนหนึ่งและนึกถึงค่ายกลหนึ่งที่เขาใช้ความพยายามไปอย่างมากเพื่อเรียนรู้ตอนที่อยู่ในโลกแห่งการล่มสลายซึ่งมันเรียกว่าค่ายกลกระดองเต่าทำลายล้างค่ายกลนี้ไม่มีความสามารถด้านการโจมตีแต่มันมีการป้องกันที่ดีมากทั้งยังเป็นหนึ่งในค่ายกลไม่กี่แบบที่เคลื่อนที่ไปกับคนตั้งค่ายกลได้

ค่ายกลชนิดนี้ป้องกันพร้อมกับเคลื่อนไหวไปด้วยจำเป็นต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมาก หวังหลินคิดได้ว่าเมื่อเขาได้รับหินวิญญาณเขาก็ควรจะใช้ค่ายกลพวกนี้ดูหวังหลินคำนวณเวลาที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเปิดขึ้นจากนั้นก็บดขยี้หินวิญญาณในมือตัวเองเขาแตะนิ้วอย่างใจเย็นในหินวิญญาณที่ถูกบดและวาดสัญลักษณ์หนึ่งในอากาศ

หวังหลินจดจ่ออยู่กับจังหวะวาดเส้นทุกครั้ง เมื่อเขาเสร็จสัญลักษณ์ตัวหนึ่ง เขาก็ส่งเสี้ยวสัมผัสวิญญาณออกไปทันที

สัญลักษณ์ส่องแสงเล็กน้อยและลอยไปบนอากาศจากนั้นเขาบดขยี้หินวิญญาณก้อนอื่นและวาดสัญลักษณ์ตัวอื่นต่อไปหินวิญญาณระดับกลางแต่ละก้อนสามารถวาดได้เพียงหนึ่งสัญลักษณ์และหวังหลินก็บดขยี้ไปแล้วเจ็ดสิบก้อน

มีโอกาสผิดพลาดเพียงเล็กน้อย แม้ว่าหวังหลินจะมีทฤษฎีอยู่ชัดเจนในหัว เมื่อต้องมาทำจริงๆ เขายังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง

มองดูสัญลักษณ์จำนวนสี่สิบเก้าตัวที่ลอยอยู่ด้านหน้าเขาช่วยไม่ได้ที่หวังหลินจะถอนหายใจออกมา ค่ายกลนี้สิ้นเปลืองเกินไปก่อนหน้านี้หวังหลินไม่ได้มีหินวิญญาณระดับกลางมากมายนักดังนั้นแม้จะใช้สิ่งของที่เขามีทั้งหมด ก็ยังไม่สามารถสร้างค่ายกลนี้ได้

หวังหลินหยิบหินวิญญาณอีกก้อนออกมาและสร้างเนตรของค่ายกลเขาสะบัดมือและสัญลักษณ์ทั้งหลายก็ร่อนลงบนหินวิญญาณทีละตัวทุกครั้งที่สัญลักษณ์ร่อนลงบนหินวิญญาณ มันจะส่องแสงหนึ่งครั้ง

หลังจากสัญลักษณ์จำนวนสี่สิบเก้าตัวร่อนลงบนมันหินวิญญาณก็กลายเป็นผลึกใสหวังหลินยื่นมือออกมาและหินวิญญาณที่เป็นเนตรของค่ายกลได้วางบนฝ่ามือเขาหวังหลินชี้ไปที่หน้าผากตนเองและม่านล่องหนได้ล้อมรอบร่างกายเขาหากคนอื่นไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด พวกเขาจะไม่สังเกตร่องรอยพวกนี้ได้

ไม่นานหลังจากนั้น หวังหลินก็สร้างค่ายกลอีกอันเพิ่มขึ้นยิ่งเขาทำมันมากขึ้น ก็ยิ่งใช้ของมากและความล้มเหลวก็ยิ่งน้อยตามค่ายกลอันที่สองเขาใช้เพียงหินวิญญาณระดับกลางหกสิบก้อน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและภายในกระพริบตาเวลาที่ค่ายกลกำลังจะเปิดได้ใกล้เข้ามาถึงแล้วทุกคนที่อยู่ในค่ายกลเคลื่อนย้ายมีความเครียดมากจนแทบจะประสาทเสียพวกเขาอยากให้ค่ายกลเปิดเพื่อที่จะได้ออกจากสถานที่น่ากลัวแห่งนี้เสียที

และในไม่กี่วันนี้ การล่มสลายของสนามรบต่างแดนได้ดำเนินต่อไปรอยแยกอวกาศเริ่มปรากฎมากขึ้นและมากขึ้น แต่ละครั้งที่พวกมันปรากฎต่างขนาดใหญ่กว่าอันก่อน สนามรบต่างแดนเริ่มจะล่มสลายแล้ว

จังหวะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดขึ้นหวังหลินวางค่ายกลอันสุดท้ายใส่ตัวเองเขายืนขึ้นจ้องไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version