1295. นำหลี่เฉียนเหมยกลับมา
หวังหลินอยู่ที่สนามรบรอยแยกอวกาศของสำนักมารเพียงแค่ชั่วครู่สั้นๆเท่านั้น แต่ช่วงระยะเวลาสั้นๆแค่นี้เขากลับทำให้เซียนหลายพันคนที่นี่ตกตะลึงจนอธิบายไม่ออก
กองอสูรดุร้ายพังทลาย กะโหลกสีดำดับสูญ เขาฉีกรอยแยกให้เปิดออก นำมังกรอเวจีมาเป็นพาหนะและต่อสู้กับผู้อาวุโสของสำนักมาร ไม่เพียงแต่จะไม่พ่ายแพ้แต่เขายังแสดงความแข็งแกร่งอย่างล้นหลาม ทั้งยังทำให้ผู้อาวุโสบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัวอีก!
เรื่องราวทั้งหมดนี้ทำให้เซียนด้านนอกรอยแยกต่างก็ตกตะลึงกันไปทั่ว!
เสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวและเส้นผมสีขาวถูกแกะสลักไว้ในจิตใจของเซียนที่นี่ ไม่มีวันลบเลือน!
สำหรับผู้คนของดาราจักรทะเลเมฆา รอยแยกอวกาศต่างก็เป็นสิ่งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยไปด้วย มันคุ้นเคยเนื่องจากสงครามที่มีมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่คุ้นที่มันไม่รู้จะนำทางไปไหนและจบที่ตรงไหน
ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีเซียนทรงพลังคนใดเข้าไปในรอยแยกอวกาศ เพียงแต่ถ้ารู้จักดีก็คงกลับมาได้ เนื่องจากมันกว้างใหญ่เกินไปราวกับมีจักรวาลของตัวเอง ไม่สามารถสำรวจได้ด้วยคนเพียงไม่กี่คน
ร้อยคนที่เข้าไป กลับมาได้ไม่ถึงสามคน ที่เหลือล้วนตายหรือสูญหายกันหมดสิ้น อย่างไรก็ตามสำนักมารก็ไม่เคยยอมแพ้ พวกเขาส่งคนออกไปอย่างต่อเนื่องทุกๆรอบ
ด้วยวิธีที่มีอัตราการตายสูงขนาดนี้ ตลอดหลายปีพวกเขาค่อยๆค้นพบเส้นทางหนึ่ง หลี่เฉียนเหมยกลายเป็นหน่วยสอดแนมเพื่อสำรวจรอยแยกอวกาศอีกครั้ง มีโอกาสแค่สองอย่างคือนางมีชีวิตอยู่และกลับมาด้วยการค้นพบเรื่องใหม่ หรือนางตายและกลายเป็นหนึ่งในเซียนที่หายสาบสูญ
หวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากหินหยกในมือและมองไปยังโลกอันมืดมิดไร้แสงไฟ ด้วยระดับบ่มเพาะของเขายังมองได้เห็นแค่พันฟุต ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้เป็นภาพพร่ามัวสีดำ
‘เส้นทางในหินหยกคือเส้นทางเข้าสู่ส่วนลึกของรอยแยกอวกาศที่สำนักมารได้มาจากการสังเวยชีวิตไปมากมาย มันเป็นเส้นทางที่หลี่เฉียนเหมยไปแต่เป็นสถานที่ที่ใหญ่เกิน แม้แต่เส้นทางที่บอกในหินหยกก็ยังต้องเข้าไปลึก’
หวังหลินยืนอยู่บนมังกรเก้าอเวจี มันเคลื่อนตัวได้เร็วมากด้วยร่างกายขนาดหมื่นฟุตดุจประกายสายฟ้าแปลกประหลาด เหตุผลที่มันแปลกประหลาดก็เพราะเจ้ามังกรทะยานได้เงียบมาก ไม่มีเสียงดังสนั่นหรือเสียงระเบิดความเร็วเสียงด้วยความเร็วขนาดนี้
หวังหลินมองไปรอบๆอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเขาจะเหมาะกับโลกแห่งความมืดนี้โดยไม่มีตะขิดตะขวงอะไร
ขณะที่เดินไปทางไปไม่รู้นานแค่ไหน เสียงไม่ได้เงียบอีกแล้วและมีเสียงคำรามระเบิดออกมาจากระยะไกล
เพราะเสียงคำรามอยู่ไกลมากจึงดูเหมือนคนกำลังหายไป ทว่าไม่ใช่คนเดียว แต่มีจำนวนมาก…
ความรู้สึกประหลาดนี้ทำให้เซียนทะเลเมฆาทั้งหมดที่เข้ามาเป็นครั้งแรกต้องระมัดระวังตัวเอง อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรส่งผลกระทบต่อหวังหลินเลย
เขานั่งอย่าสงบนิ่งมองไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ นึกย้อนทวนไปถึงสิบปีที่เขากลายเป็นรูปปั้นหินและไม่มีความรู้สึกอะไรต่อโลกภายนอก…รวมไปถึงแสงโลหิตและความอบอุ่นที่มีอยู่ตลอดตอนที่เขาอยู่ในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเป็นเวลาสิบปี
หากไม่มีแสงโลหิต วิญญาณหวังหลินคงอยู่ในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าจนกระทั่งเขาสลายไปแล้ว เขาจำได้ว่าตอนในตอนแรกๆ เขาหนาวมากและกำลังสลายไปอย่างช้าๆ…จนกระทั่งแสงสีแดงเข้ามาทำให้เขาอบอุ่น ร่างกายเริ่มคืนรูปร่างอย่างช้าๆ เขาได้รับสติคืนมาและตื่นขึ้นจากความทรงจำ
เพราะแสงสีแดงทำให้เขาไปเจอจ้าวแห่งดินแดนปิดผนึกและเข้าสู่ดินแดนแห่งเต๋าเพื่อเข้าใจวิชาเต๋าอันแรกของตัวเอง
‘เต๋าความฝัน… เป็นวิชาที่ข้าเข้าใจในดินแดนแห่งเต๋า เป็นวิชาที่สามของข้าต่อจากแยกราตรีและห้วงเวลา มันคือวิชาเต๋า…’
หวังหลินถอนหายใจ ยิ่งนึกถึงคำพูดของหญิงชราก็ยิ่งคิดถึงแสงสีแดงในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เขาเหมือนเป็นหนี้หลี่เฉียนเหมยมากขึ้นและไม่สามารถชดใช้นางได้หมด
ขณะที่หวังหลินนึกย้อนทวนความทรงจำ เวลาก็ผ่านไปอย่างช้าๆ โลกในรอยแยกอวกาศดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงมืดมิดเหมือนเดิม
สิ่งแตกต่างเดียวคือตอนที่หวังหลินมองขึ้นมาเป็นครั้งคราว เงาอสูรที่ปรากฏขึ้นมาห่างไปพันฟุตมีจำนวนมากขึ้น หากโลกนี้ส่องสว่างขึ้นมา ระยะสายตาคงทำให้เซียนคนใดก็ตามตกตะลึงได้ทันที!
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นไป พลังดั้งเดิมรวมกันในมือขวา แสงสีแดงรวมกันในฝ่ามือและยิงออกไปเหมือนอุกกาบาต ทำลายความเงียบเชียบและระเบิดกลายเป็นแสงสว่างขึ้นไปทั่วทุกที่!
วินาทีที่แสงส่องสว่างขึ้นมา เสียงคำรามสั่นสะเทือนสวรรค์โผล่ออกมาจากเหล่าอสูรดุร้ายรอบด้าน ด้วยแสงนี้หวังหลินจึงมองเห็นพวกอสูรหลายชนิดล้อมรอบเขาและเจ้ามังกรได้อย่างชัดเจน พวกมันมีไม่น้อยกว่าหมื่นตัว!
พวกมันดูเหมือนจะสัมผัสไวต่อแสงมาก เมื่อแสงส่องสว่างขึ้นมาในความมืดมิด พวกมันต่างก็ร้องคำรามรุนแรงและรีบถอยหนี
แสงพร่าเลือนถูกความมืดกลืนกินในเวลาไม่นาน ทำให้โลกมืดมิดอีกครั้ง
มังกรเก้าอเวจีเป็นหนึ่งในราชาอสูรที่อยู่ในรอยแยกอวกาศและส่งกลิ่นอายที่เป็นของราชาอสูรออกมา ซึ่งทำให้ป้องกันไม่ให้พวกอสูรรอบด้านเข้ามาหา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหวังหลินจึงสามารถมาได้ไกลเช่นนี้
อสูรดุร้ายทั้งหมดควรจะถอยกลับไปตอนที่เผชิญกับมังกรเก้าอเวจี แต่ด้วยมีหวังหลินพวกมันจึงเกิดความคิดขัดแย้ง ดังนั้นพวกมันจึงรวมตัวกันแต่ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป
แสงไฟทำให้หวังหลินเห็นอสูรรอบด้าน แม้พวกมันจะมีมากแต่ส่วนใหญ่เป็นระดับสิบ มีที่สูงกว่าระดับสิบไม่มากนัก
พอแสงไฟหายไป หวังหลินยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนเศียรมังกรเก้าอเวจี ใช้สัมผัสวิญญาณแพร่กระจายออกไป เจ้ามังกรดูเหมือนได้รับกระตุ้นจากสัมผัสวิญญาณและร้องคำรามออกมาสั่นสะเทือนสวรรค์ ดังกึกก้องอย่างรุนแรงในโลกอันมืดมิด
ความเร็วของมังกรเพิ่มขึ้นและพุ่งไปข้างหน้า อสูรทั้งหมดล่าถอยเปิดทางให้ มังกรทะลวงผ่านฝูงอสูรและพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของโลกอันมืดมิด
การจับเวลาในรอยแยกอวกาศเป็นไปได้ยากมาก ที่นี่ไม่มีดวงตะวัน มีเพียงความมืดมิดไร้ขอบเขต ขณะที่เจ้ามังกรเข้าไปลึกขึ้น หวังหลินก็ค่อยๆเคร่งเครียด
แม้เขาจะมองเห็นเพียงข้างหน้าพันฟุต เขากลับพบว่ามีบางอย่างแตกต่างกัน ขณะที่เข้าไปลึกขึ้น สีของทั้งโลกเปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นสีดำอีกแล้วแต่กลับเป็นสีม่วง!
มังกรเก้าอเวจีเคลื่อนที่ช้าลง มีแรงสั่นเบาๆจากวิญญาณของมันราวกับโลกสีม่วงทำให้มันหวาดกลัว
หากมันไม่มีสัมผัสวิญญาณของหวังหลินล้อมรอบเอาไว้ เจ้ามังกรคงหวาดกลัวและไม่กล้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้า มันคงออกไปจากที่นี่และทะยานให้ห่างทันที พวกอสูรที่ติดตามมาต่างก็สั่นเทาและไม่กล้าตามไปลึกกว่านี้ อย่างไรก็ตามจำนวนอสูรรอบด้านกลับไม่ลดลงและยังเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นอสูรที่อาศัยอยู่ในโลกสีม่วง
หวังหลินสังเกตสภาวะผิดปกติของมังกรเก้าอเวจีได้เป็นธรรมดา ดวงตาส่องสว่างขึ้นมา แม้ว่าเวลาที่เขาเข้ามาจะไม่ชัดเจน แต่ด้วยความเร็วแล้วหวังหลินพอจะคำนวณได้ว่าพวกเขาเดินทางมาได้ไกลแค่ไหน จากการวิเคราะห์ของหวังหลิน เขาอยู่ตรงชายแดนเขตสีม่วงที่ถูกบันทึกในหินหยก
ตรงนี้อยู่ใกล้กับเส้นทางสิ้นสุดที่ทำเครื่องหมายไว้ในหินหยก
หวังหลินนั่งหลับตาและสัมผัสสิ่งรอบด้าน เขาสัมผัสถึงร่องรอยของวิชาอันเบาบางอยู่ใกล้เคียง ราวกับมีใครสักคนพึ่งใช้วิชาออกไปได้ไม่นาน
หวังหลินมาถึงตรงนี้แล้วและยังไปได้ไกลกว่านี้อีกเล็กน้อยจากสุดขอบเส้นทาง อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าตัวเองติดตามมาถูกทางหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับหลี่เฉียนเหมย แต่หลังจากเข้ารอยแยกมา เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังหลายแห่งอย่างเบาบาง พวกมันดูเหมือนจะระวังภัยหวังหลินแต่น่าประหลาดที่ไม่มาหยุดเขา
ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาพบเบาะแสเกี่ยวกับหลี่เฉียนเหมย แม้ร่องรอยของวิชาจะเบาบางแต่เป็นของจริง มันไม่ได้มาจากพวกอสูร แต่เป็นเซียน!
‘หลี่เฉียนเหมย…ใช่เจ้าหรือไม่…’ หวังหลินลืมตาส่องสว่างขึ้นมา สองฝ่ามือสร้างผนึกกดประทับกลางหน้าผาก พลังแข็งแกร่งพรั่งพรูเข้าไปในหน้าผาก วิญญาณดั้งเดิมสั่นไหวอย่างรุนแรง
ขณะที่วิญญาณดั้งเดิมสั่นไหว ร่องรอยของวิชาที่ทิ้งไว้ได้เปลี่ยนไปอย่างประหลาด ในสายตาหวังหลิน โลกเบื้องหน้าเริ่มเปลี่ยนไป ความมืดหายไปและถูกแทนที่ด้วยเส้นหลายเส้นในแนวดิ่ง
“ห้วงเวลา…ย้อนคืน…” ดวงตาหวังหลินส่องสว่างดุจคบเพลิงและเจาะทะลุความมืดมิดทันที เส้นสายเริ่มเคลื่อนไหวราวกับกำลังก่อตัวเป็นบางอย่าง อวกาศเบื้องหน้าเต็มไปด้วยพลังแห่งกาลเวลา ภายใต้พลังประหลาดนี้ดูเหมือนกาลเวลาเริ่มจะย้อนคืนกลับ
อวกาศค่อยๆเริ่มบิดเบี้ยว ร่างของสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นมา ใบหน้านางซีดเซียวและมีคราบโลหิตเปรอะเปื้อนบนเสื้อฟ้า นางถือกระบี่ยาวในมือและมีพู่กันสีทองล้อมรอบนางพาให้พุ่งผ่านอวกาศไป
……………………….