Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 130

Cover Renegade Immortal 1

130. การมาถึงของวิญญาณเซียน

“เจ้าทั้งสามกลับไปได้ หลินท่าว ข้าจะรอเจ้าที่นี่ในสิบวัน” เช่นนั้นร่างหวังหลินเหาะกลับไปเป็นแสงรุ้งหลากสี

หลิวท่าวรีบตอบและคิดได้ว่าเมื่อเขากลับไป เขาจะไปคุยกับลูกพี่ลูกน้องสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องได้สำเนาแผนที่มาให้ได้

เสื้อคลุมของหยางเซี่ยงชุ่มไปด้วยเหงื่อลมหนาวเย็นพัดบนร่างทำให้เขาสั่นระริกคลื่นความหนาวเหน็บออกมาจากใจเขาขณะที่รู้ตัวว่าพึ่งผ่านประตูความตายมาได้

โจวซื่อจงมองหยางเซี่ยงอย่างใจเย็นและเธอก็จากไป

หวังหลินเหาะขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไม่มีจุดหมายขณะที่เขาคิดอยู่ในใจไม่นานนักก่อนที่ดวงตาเขาส่องสว่างขึ้นตอนนี้เขาไม่สามารถไปจากเจดีย์เทพสงครามได้นั่นยังไม่รวมถึงว่าหากทั้งสามคนคิดขัดขืนเขาความลับที่กำลังถืออยู่ตอนนี้คงซ่อนจากเซียนขั้นผลิดอกไว้ไม่ได้

มีความเป็นไปได้ว่าเซียนขั้นผลิดอกจะมีวิธีการบางอย่างที่ระบุได้ว่าเขากลืนกินหม่าเหลียงพอคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกกลัวขณะที่ใบหน้ามืดหม่นและเพิ่มความเร็วขึ้น

หวังหลินได้คาดการณ์เรื่องที่จะเกิดขึ้นนี้ไว้แล้ว แต่การกระทำของกลุ่มหยางเซี่ยงได้ทำให้เขางุนงงมากกว่าเดิม

ขณะที่เขากำลังเหาะอยู่ น้ำเสียงหนุ่มนวลได้เข้ามาในโสตประสาท “สหายน้อยเจ้าช่วยกรุณาส่งจิตวิญญาณเลือดของศิษย์ข้าให้ได้หรือไม่?” เสียงนี้ไพเราะมาก มันดูน่าฟังมากนัก

ร่างกายหวังหลินหยุดกึกทันทีด้านหน้าเขามีร่างสตรีน่าลุ่มหลงเดินเข้าหาเขาทุกก้าวของเธอเป็นแสงบนเมฆหมอกและแต่ละย่างก้าวส่งเสียงนุ่มลึกเธอสวมชุดสีฟ้าดูโอ่อ่า ครึ่งล่างปกคลุมไปด้วยมรกตสามเหลี่ยมมีเข็มขัดยาวพันด้วยริบบิ้นรอบเอวชุดสตรีชั้นสูงชาวยุโรปชุดนี้สร้างสัมผัสแห่งปัญญาและความงดงาม

สตรีคนนี้สวยสดงดงามอย่างมากโดยไม่มีการแต่งเติมเสริมด้วยเครื่องสำอางค์ชิ้นใดเลยมีวงแดงอมชมพูบนใบหน้าเธอ เนื้อผิวสีขาวครีมเข้ากับรูปร่าง

ขณะที่สตรีคนนี้เดินออกมา หวังหลินถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างเธอ เขาวางมือลงบนกระเป๋าและจ้องเธอด้วยความเยือกเย็น

สีหน้าของหวังหลินเป็นปกติเช่นเดิม แต่ในใจตื่นตัวเต็มที่เขาไม่สามารถมองเห็นระดับฝึกตนของสตรีคนนี้ได้เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นเซียนขั้นผลิดอก

หวังหลินมองเธออย่างใจเย็นและพูดขึ้น “ศิษย์ของผู้อาวุโสนามว่ากะไรเล่า?”

สตรีสุดสวยเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “ศิษย์ของช้าชื่อ โจวซื่อจง”

หวังหลินพยักหน้าโดยไม่ลังเลและพูดอย่างมั่นใจ “ก็ได้เมื่อผู้น้อยห่างจากที่นี่พันลี้ ข้าจะส่งจิตวิญญาณเลือดออกไปแน่นอนไม่เช่นนั้นแม้ท่านผู้อาวุโสแสดงท่าทีไม่น่าไว้วางใจข้าจะต่อสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อให้จิตวิญญาณเลือดโดนทำลาย”

สตรีนางนั้นมองไปที่หวังหลินและพูดขึ้น “สหายตัวน้อยไม่ต้องเคร่งเครียดนัก ข้าได้ฟังเรื่องราวของเจ้าจากซื่อจงแล้วข้าขอขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยทั้งสามคนให้กลับมาเจดีย์เทพสงครามได้อย่างปลอดภัยเพียงเรื่องนั้นเราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่เจ้ากลืนกินหม่าเหลียงได้ละเว้นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าเจ้าช่วยซื่อจงข้าสามารถยกโทษให้เจ้าทุกอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

หวังหลินรู้สึกตกใจและมองดวงตาของสตรีคนนี้อย่างระมัดระวังเขามองเธอที่ดูเหมือนไม่ได้กำลังโกหก จากนั้นเขาคิดเล็กน้อยและพูดขึ้นมา “โปรดอย่ากล่าวหาข้าเลยผู้อาวุโสโปรดรอจนกว่าผู้น้อยจะห่างจากที่นี่หนึ่งพันลี้ข้าถึงจะคืนจิตวิญญาณเลือดให้ท่านได้”

สตรีนางนี้ชูมือขึ้นทำท่าทางที่กุมหัวใจชายใดก็ตามได้เธอส่ายศีรษะและหัวเราะขึ้น “หนึ่งพันลี้…ข้าจะเรียกหาเจ้าหม่าเหลียงหนึ่งพันลี้เป็นเพียงไม่กี่ลมหายใจสำหรับข้าเท่านั้นหากข้าต้องการสังหารเจ้า แม้เจ้าจะหนีไปสักหมื่นลี้ก็ไม่มีความหมาย ก็ดีหากเจ้ายื่นยันเช่นนั้นก็ไปได้”

โดยไร้ซึ่งคำพูด ร่างหวังหลินพุ่งห่างออกไปไกลทิ้งไว้เป็นแสงรุ้งหลากสีตามรายทางครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาได้ท่องมาถึงสามพันลี้เขาหยุดที่ปากปล่องภูเขาไฟเพื่อจับลมหายใจ หลังจากปรับพลังปราณในร่างกายได้เขาชี้ไปที่หน้าผาก ละอองแสงสีเงินลอยออกมา

หวังหลินไม่ได้มองมันอีกครั้งขณะที่ร่างเขากระโดดขึ้นไปบนอากาศและจากไประหว่างทางหวังหลินได้แต่สงสัยว่าสิ่งที่สตรีนางนั้นพูดเป็นความจริงหรือโกหกแต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตามสำหรับหวังหลินแล้วมันไม่ฉลาดนักที่จะไปขัดใจเซียนขั้นผลิดอกตอนนี้

ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ลังเลที่จะคืนจิตวิญญาณเลือดของโจวซื่อจงให้

ไม่กี่นาทีต่อมาร่างสตรีนางนั้นปรากฎขึ้นที่ปล่องภูเขาไฟที่ที่หวังหลินทิ้งจิตวิญญาณเลือดของโจวซื่อจงไว้เธอยื่นมือขวาออกมาและจิตวิญญาณเลือดของโจวซื่อจงก็เข้าหาเธออย่างรวดเร็ว

สตรีนางนั้นมองไปยังจุดแสงและเผยใบหน้าอ่อนโยนและน่ารักขึ้นหลังจากเก็บจิตวิญญาณเลือดอย่างระมัดระวังเธอก็มองไปที่ทิศทางที่หวังหลินไปและพึมพำเบาๆกับตนเอง “เห็นจากการที่เจ้าช่วยหงเอ๋อ และคืนจิตวิญญาณเลือดของเธอให้ง่ายๆข้าจะแก้ปัญหาการครอบครองร่างให้เจ้าก็แล้วกัน”

สองวันมาแล้ว นอกจากพักผ่อนยามจำเป็น หวังหลินก็เหาะเหินอย่างต่อเนื่องเนื่องจากสตรีนางนั้นไม่ปรากฎตัวขึ้นอีกเลย เขาจึงผ่อนคลายเล็กน้อยแต่ทันใดนั้นสายตาเขากลับมุ่งไปบนพื้นไม่ไกลกันนัก

ขณะเดียวกัน แสงกระบี่หลายเส้นพุ่งเข้าหาเขาจากระยะไกลหลังจากเห็นหวังหลินพวกเขาเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้ามาที่หวังหลินเมื่อทั้งหมดมาถึง กลุ่มเด็กๆราวเจ็ดหรือแปดคนมาถึงใกล้หวังหลินทั้งหมดจ้องมาที่เขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

ในเหล่าคนพวกนี้ คนที่โดดเด่นที่สุดเป็นชายหนุ่มด้านหน้าใบหน้าเขาช่างขาวราวกับหยก เขาดูสะอาดสะอ้านมากระดับฝึกตนอยู่ที่ชั้นสร้างลำต้นระดับปลายและถึงขั้นเตรียมแตกหน่อแล้วเขาสวมชุดคลุมสีม่วงและยืนบนกระบี่เหินสีเขียว สร้างภาพลักษณ์ขุนนางยิ่งนัก

ด้านข้างเขาเป็นเด็กสาวสวมชุดสีแดง มีพวงแก้มสีแดงระเรื่อบนใบหน้าซีดเผือด ทำให้เธอดูเป็นที่รักใครของใครหลายคน

ดวงตาของชายหนุ่มเย็นชาขณะที่เขามองทางหญิงสาวและกระซิบขึ้น “ว่านเอ๋อร์ นั่นเขาใช่ไหม?”

เด็กสาวมองที่หวังหลิน เธอส่งรอยยิ้มเชิงขอโทษและกระซิบให้กลับชายหนุ่ม “ท่านพี่ นั่นไม่ใช่เขา แม้ว่าคนผู้นั้นจะปลอมแปลงตัวเองเก่งเขาคงไม่สามารถหลอกลักษณะอารมณ์เฉพาะได้”

แววตาเย็นชาหายไปจากชายหนุ่มเขาประสานมือที่หวังหลินและพูดอย่างตรงไปตรงมา “โปรดอย่ากล่าวหาเราเลยสหายเซียน ข้าลี่ฉีหลิง จากสำนักลั่วเหอโปรดยกโทษให้กับความหยาบคายของพวกเรา”

ใบหน้าของหวังหลินสงบนิ่งขณะที่เขาพูดอย่างใจเย็น “ไม่มีปัญหา เมื่อมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นข้าจะตอบแทนพวกเจ้าเช่นไรดี?”

ลี่ฉีหลิงหัวเราะออกมาและพูดขึ้น “ข้าเชื่อว่าสหายเซียนมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมชุมนุมบางทีเราอาจจะเจอกันอีกครั้งในอนาคต แต่ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำวันนี้ดังนั้นข้าขอตัวลาก่อน”

เขาคารวะด้วยสองมืออีกครั้งพร้อมกับจับเด็กสาวถัดจากเขาและจากไปกับคนอื่นอีกหกหรือเจ็ดคน

หลังพวกเขาจากไปหวังหลินมองไปที่พื้นและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ได้พูดไม่นานหลังจากนั้นเขาขมวดคิ้ว หยิบเศษเหล็กจากกระเป๋าและทุบมันลงกับพื้น

เศษเหล็กพุ่งลงไปปะทะกับพื้นเสียงดังปัง จากนั้นร่างอันน่าสงสารออกมาจากพื้นห่างไปยี่สิบเมตร

ลักษณะคนผู้นี้ธรรมดามาก เพียงดวงตาเขาเท่านั้นที่ฉายแววแห่งปัญญาเขารีบยกมือและร้องตะโกนขึ้น “สหายเซียน นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเป็นเรื่องเข้าใจผิด!” ขณะที่เขาพูดก็รีบหันมองไปรอบๆและกระโดดขึ้นไปบนอากาศกระบี่เหินลอยออกมาและพาเขาไปที่หวังหลิน

“สหายเซียน ข้านามว่าซุน โย่วค่าย ท่านกำลังเข้าใจผิดข้าไม่ได้ต้องการตามติดตามท่านแต่ข้าจำเป็นเด็กสาวจากลั่วเหอคนนั้นกำลังตามหาข้าอยู่และข้าไม่อาจะเอาชนะพวกนั้นได้จึงทำได้เพียงซ่อนตัวพวกเขายังคงตามหาข้าแต่หากข้าติดตามท่านลี่ฉีหลิงคนนั้นจะไม่อาจหาข้าเจอได้”

หวังหลินมองเขา จากนั้นเขาก็เหาะไปข้างหน้าและเมินชายหนุ่มทันที

ซุนโย่วค่ายรีบติดตามเขาอย่างรวดเร็วและพูดอย่างสุภาพ “สหายเซียน ท่านมาจากสำนักไหน? ข้าเป็นศิษย์ของสำนักมารปิศาจ”

หวังหลินเลิกคิ้วขึ้นบางๆเขาไม่ได้พูดคำใดขณะที่ใช้พลังปราณเพื่อเคลื่อนไหวให้เร็วมากขึ้นความเร็วเขาเพิ่มขึ้นทันทีและทิ้งซุนโย่วค่ายไว้ด้านหลังซุนโย่วค่ายมองหวังหลิน เขาเหยียดยิ้มในใจ สองเท้าดีดตัวจากพื้นในพริบตาเขาก็มาอยู่ถัดจากหวังหลินได้อีกครั้ง จานนั้นก็พูดขึ้นต่อ “สหายเซียน ข้าขออภัยเรื่องเมื่อครู่จริงๆ มันเป็นความผิดของเด็กสาวคนนั้นอา…สหายเซียน เจ้ากำลังจะไปงานชุมนุมใช่ไหม? ทำไมพวกเราไม่ไปด้วยกันเลย? ข้ารู้จักคนพื้นที่แถวนั้นจำนวนมากและสามารถซื้อสตรีขั้นรวบรวมลมปราณมาเป็นเตาหลอมให้เจ้าได้”

“ความเร็วอะไรกัน!” หัวใจหวังหลินเต้นรัวขณะที่เขามองไปที่ซุนโย่วค่ายและยิ้มขึ้นซุนโย่วค่ายเห็นรอยยิ้มของหวังหลินและรู้สึกขนลุกความรู้สึกนี้หายไปอย่างรวดเร็วและซุนโย่วค่ายส่ายศีรษะเขาคิดว่าคนผู้นี้เพียงอยู่ขั้นสร้างลำต้นระดับกลางเท่านั้นด้วยขั้นสร้างลำต้นระดับปลายของเขา คงไม่มีอะไรผิดพลาดเขายิ้มช้าๆและถามขึ้น “ว่าไงหล่ะสหายเซียน?”

หวังหลินเหยียดยิ้มในใจและพูดเด็ดขาด “ก็ได้ งั้นอย่ารบกวนข้าเถิดพี่ซัน”

จิตใจซุนโย่วค่ายสั่นสะท้าน เขาไม่คาดคิว่าหวังหลินจะตอบตกลงได้ง่ายๆเขามีประโยคหลายคำที่เตรียมจะพูดไว้แล้ว แต่ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลยทว่าการตอบสนองของเขารวดเร็วนัก เขาเพียงยิ้มและพูดขึ้น “ไม่มีปัญหาเดิมทีความผิดของข้าคือการใช้สหายเซียนเพื่อซ่อนตัว ท่านนามว่าอะไร?”

“ข้าชื่อหม่าเหลียง ศิษย์ของสำนักเจดีย์เทพสงคราม” หวังหลินยิ้มบางในสายตาของซุนโย่วค่าย รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาแต่มีเพียงหวังหลินเท่านั้นที่รู้ความจริง

ซุนโย่วค่ายเผยรอยยิ้มซุกซน เขามองไปรอบๆและกระซิบ “น้องหม่าข้าได้ยินมาว่าเจดีย์เทพสงครามของเจ้ามีสาวน่ารักนามว่าโจวซื่อเว่ยหัวหน้าสำนักของเราในอนาคตได้เห็นเธอเมื่อหกเดือนก่อนและตราตรึงใจเธอเหลือเกินเจ้าก็มาจากเจดีย์ซากศพ สตรีคนนั้นน่ารักจริงไหม?”

หวังหลินรู้สึกตกตะลึงและถามขึ้น “โจวซื่อเว่ยหรือ? ท่านกำลังพูดถึงโจวซื่อจง ศิษย์ของผู้อาวุโสโจวใช่ไหม?”

ทันใดนั้นซุนโย่วค่ายแตะหน้าผากตัวเองและยิ้มขึ้น “ความจำข้าเลอะเลือนเสียแล้ว ถูกต้อง เธอชื่อว่าโจวซื่อจง งั้นเธอดูเป็นไงบ้าง?”

หวังหลินพยักหน้าและพูดขึ้น “ศิษย์ของผู้อาวุโสโจวนั้นงดงามมากจริงๆแต่นิสัยส่วนตัวของเธอเย็นชามาก ดังนั้นข้าเพียงเห็นเธอไม่กี่ครั้ง”

ชุดที่อาจารย์โจวซื่อจงใส่ครับ(the court dress) ขุนนางยุโรป

OEBPS/images/image0005.jpg

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version