Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 129

Cover Renegade Immortal 1

129. ปิศาจโฮมเมด

หวังหลินมองไปที่ฉวี่ลี่กั๋วช่างจ้อใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่กระเป๋าของโจวกางลอยเข้าฝ่ามือในขณะเดียวกันเขาก็สะบัดมือปล่อยบอลอัคคีออกไปหลายลูกพวกมันร่อนลงบนร่างของศิษย์สำนักซากศพและหุ่นเชิดจากนั้นทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่น

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาและจับฉวี่ลี่กั๋วที่ไม่กล้าต่อต้าน จากนั้นก็หายตัวไปจากน่านฟ้า ทิ้งไว้เป็นแสงสีรุ้งรายทาง

ณ จุดนี้เหล่าศิษย์ของอีกสามสำนักได้เก็บเกี่ยวผลไม้ทองคำเสร็จสิ้นและกลับกันหมดแล้ว

หวังหลินกลับไปที่ถ้ำและวางเถาวัลย์ของผลไม้ทองคำลงบนพื้นทั้งยังโยนฉวี่ลี่กั๋วไปข้างหน้า ทำให้ฉวี่ลี่กั๋วตื่นตระหนกและพูดขึ้น “สหายเซียน ถ้ามีปัญหาอะไรเราคุยกันได้! เราคุยกันได้!ตราบใดที่ท่านไม่สังหารข้า ข้ายอมรับทุกเงื่อนไข ข้าผิดไปแล้วโปรดอย่าฉุนเฉียว”

ฉวี่ลี่กั๋วรู้สึกผิดมาก เขาเป็นเซียนขั้นผลิดอกแต่เขาสูญเสียกายเนื้อไปและวิญญาณเซียนได้รับความเสียหายถึงจุดที่กำลังแตกสลายนั่นทำให้ระดับฝึกตนของเขาลดลงนอกจากนี้เขาไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อกายเนื้อของเซียนขั้นผลิดอกได้ดังนั้นจึงคิดจะกลืนกินร่างศิษย์ของสำนักแห่งหนึ่ง แต่หากเขาถูกพบขึ้นมามันจะเป็นปัญหาไม่รู้จักจบสิ้น

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจ่ายให้กับสำนักซากศพดังนั้นจึงสามารถกลืนกินร่างโดยไร้กังวลได้แต่การกลืนกินร่างของเซียนขั้นสร้างลำต้นนั้นหมายความว่าเขาจะใช้เวลานานในการฟื้นฟูระดับฝึกตนซึ่งราวกับเขาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งตอนนี้เขามีเพียงขั้นสร้างลำต้นระดับปลาย วิญญาณเซียนเขาเพียงเอาไว้โชว์แต่มันกลับไม่มีพลังอันเหมาะสมอะไรเลย

เช่นนั้นเขาจะเอาชนะขอบเขตจวี่ของหวังหลินได้เช่นไรทว่าหากฉวี่ลี่กั๋วสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งจนถึงขั้นแตกหน่อได้เมื่อนั้นผลลัพธ์จะแตกต่างอย่างมาก

หวังหลินเมินเฉยคำพูดอ้อนวอนของฉวี่ลี่กั๋วและเคลื่อนย้ายเสาหินเพื่อขังถ้ำลงไว้ฉวี่ลี่กั๋วลอบคร่ำครวญขณะที่เขาลอยถอยหลังไปพิงกำแพงอย่างช้าๆ

หวังหลินไม่ได้หยุดเขาพลางส่งสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ของตัวเองออกมาและสายฟ้าแดงพุ่งออกไปขณะที่สายฟ้าแดงพุ่งเข้าหาฉวี่ลี่กั๋วนั้นเขารู้สึกถึงพลังทำลายล้างอันเต็มเปี่ยมหวังหลินยื่นมือขวาออกมาและจับวิญญาณเซียนที่กำลังสั่นของฉวี่ลี่กั๋วหวังหลินจ้องไปที่วิญญาณเซียนดวงนั้นและดวงตาเขาหรี่เล็ก

เมื่อเขาเห็นวิญญาณเซียนของฉวี่ลี่กั๋วครั้งแรกกลับรู้สึกคุ้นเคยหวังหลินคิดเรื่องระหว่างการเหาะมาที่นี่แต่ไม่สามารถนึกได้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน

เมื่อเขามองไปที่วิญญาณเซียนของฉวี่ลี่กั๋วตอนนี้ เขากลับจำได้ทันที วิญญาณเซียนนี้คล้ายคลึงกับวิญญาณเร่ร่อนในโล่งแห่งการล่มสลาย

หวังหลินลูบคางตนเองและความคิดหนึ่งปรากฎขึ้นในใจหากเขากลืนกินวิญญาณเหมือนที่อยู่ในโลกแห่งการล่มสลายเมื่อนั้นสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่คงมีพลังเพิ่มขึ้นมากด้วยวิญญาณเร่ร่อนที่มีความแข็งแกร่งพวกมันสามารถกลืนกินชีวิตของเหล่าผู้คนได้โดยไม่คำนึงถึงระดับการฝึกตนอีกด้วยเมื่อเขารวบรวมวิญญาณเร่ร่อนในโลกมนุษย์แห่งนี้เพียงพอการแก้แค้นเถิงฮว่าหยวนไม่ใช่ปัญหา

สิ่งสำคัญไปกว่านั้น หวังหลินรู้ได้ว่าหากเขาเจอเซียนขั้นแตกหน่อคนหนึ่งสิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดก็คือวิ่งหนีแต่หากเขามีวิญญาณเร่ร่อนไว้สักตัวข้างกายเมื่อนั้นเขาก็มีพลังที่สามารถปกป้องตนเองได้

หากมีวิญญาณเร่ร่อนเพียงพอ เมื่อนั้นเขากระทั่งต่อสู้กับเหล่าเซียนขั้นผลิดอกได้

หวังหลินรู้ได้ว่าวิชาเซียนของตัวเองอ่อนแอเกินไปเขารู้วิชาเซียนเล็กเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและส่วนสมบัติเซียนทั้งหมดที่เขามีก็เพียงแค่กระบี่เหินเล่มเดียว

หลังจากผ่านเหตุการณ์ในแคว้นจ้าวจิตใจหวังหลินก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทุกอย่างที่เขาทำตอนนี้ก็เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นดังนั้นโชคชะตาของตนเองไม่ควรให้คนอื่นลิขิต

วิญญาณเซียนฉวี่ลี่กั๋วฉุดให้หัวใจหวังหลินหยุดเต้นขณะที่เขามีความคิดใหม่ๆ “เมื่อข้าไม่สามารถนำวิญญาณเร่ร่อนออกมาจากโลกแห่งการล่มสลายได้งั้นข้าจะสร้างมันที่นี่ได้หรือไม่?”

ดวงหวังหลินสว่างขึ้น เขาสัมผัสกระเป๋าและเศษเหล็กปรากฎขึ้นทันที เขาชี้ไปที่กำแพงพลันเศษเหล็กได้สลักลวดลายไว้ในถ้ำทันที

ขณะที่ทำเช่นนี้หวังหลินได้ใช้ช่วงเวลานี้ส่งขอบเขตจวี่ไปล้างความทรงจำของฉวี่ลี่กั๋วฉวี่ลี่กั๋วนั้นนอกจากจะเป็นเซียนขั้นผลิดอกและด้วยระดับฝึกตนของหวังหลินต่ำกว่าหวังหลินจึงใช้ขอบเขตจวี่ทั้งหมดอดทนจนสำเร็จได้

วิญญาณเซียนของฉวี่ลี่กั๋วกลายเป็นวัตถุกึ่งโปร่งใสโดยไร้สติ

หลังจากแกะสลักถ้ำเสร็จสิ้น เศษเหล็กได้ลอยกลับเข้ากระเป๋าหวังหลินเขาสะบัดมือและโยนวิญญาณเซียนเข้าไปในถ้ำปล่อยสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ไว้ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันวิญญาณเซียนไม่ให้หนีออกจากถ้ำ

หวังหลินตรวจสอบภูเขาใกล้ๆ จับสัตว์ขนาดเล็กมาจำนวนมากขณะที่วิญญาณเซียนของฉวี่ลี่กั๋วแค่ลอยอย่างไร้ความรู้สึกในถ้ำ

หลังจากกลับมา หวังหลินขังวิญญาณไว้ชั่วครู่จากนั้นโยนสัตว์ขนาดเล็กตัวหนึ่งเข้าหามันสัตว์ตัวนั้นกรีดร้องก่อนที่จะวิ่งไปที่มุมหนึ่งจนลืมไปว่ามีวิญญาณอยู่กลางถ้ำเสียสนิท

หวังหลินขมวดคิ้วขณะที่เขาจับตาดูทั้งสองตัวเขาใช้ขอบเขตจวี่อันแข็งแกร่งป้องกันถ้ำไว้ก่อนจะขุดอีกถ้ำหนึ่งด้านข้างและโยนสัตว์ขนาดเล็กที่เหลือไว้ข้างใน

หลังจากทำทั้งหมดนั้น เขาก็แตะหน้าผากตัวเองและลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้ลอยออกมา ลูกปัดพุ่งปราดเข้าหาเถาผลไม้ทองคำที่อยู่ถัดจากเขาทันที

ผลไม้ทั้งหมดบนเถาวัลย์ได้เหี่ยวแห้งและหายไปอย่างรวดเร็ว และธาตุไม้ทั้งหมดถูกลูกปัดหิตดูดซับ

ใบไม้ใบที่สามค่อยๆปรากฎบนลูกปัดหิน หลังจากเถาวัลย์เหี่ยวจนหมด ใบไม้ใบที่สามเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

แสงแห่งความสุขปรากฎบนใบหน้าหวังหลินขณะที่เขายื่นมือออกไปจับมันลูกปัดหินลอยเข้าสู่ฝ่ามือเขามองลูกปัดหินอย่างละเอียดก่อนที่จะถือมันไว้บนหน้าผากลูกปัดได้เข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วเมื่อมันสัมผัสกับหน้าผาก

หวังหลินสูดหายในลึกหลังจากคิดเล็กน้อยเขาก็ออกจากถ้ำและมุ่งหน้าสู่ภูเขาไฟมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลไม้ทองคำทั้งหมดในบริเวณนี้เป็นเวลาสามวันและหวังหลินจะทำให้มันสูญพันธุ์ในดินแดนแห่งนี้

จนในที่สุดลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ามีใบไม้ปรากฎอยู่ห้าใบ

สามวันถัดมาหวังหลินมองไปที่ถ้ำขนาดเล็กนั้นอีกครั้งเห็นฉี่และก้อนอึบนพื้น สัตว์ตัวเล็กตัวสั่นอยู่ในมุมถ้ำ หลังจากหลังจากย่อยอาหารที่มันกินทั้งหมดสามวันก่อน ตอนนี้มันอ่อนแออย่างมาก

วิญญาณเซียนของฉวี่ลี่กั๋วยังคงลอยอยู่ในอากาศ หากมองใกล้ๆ วิญญาณของเขาโปร่งแสงมากกว่าครั้งก่อนราวกับมันสามารถหายไปได้ทุกเวลา

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยเขาส่งสัมผัสวิญญาณของเขาออกมาและบังคับวิญญาณเซียนเข้าหาสัตว์ตัวเล็กไม่นานจากนั้นวิญญาณเซียนก็อยู่เหนือสัตว์ตัวนั้น

ในที่สุดเมื่อวิญญาณเซียนไม่มีที่ให้ซ่อนมันกระโดดเข้าหาสัตว์ตัวเล็กนั้นทันใดนั้นหวังหลินจดจ่ออย่างมากขณะที่เขามองดูสัตว์ร่างกายสั่นอย่างรุนแรงมันลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยแววตาเรืองแสงสีทองแต่ในไม่ช้าแสงนั้นก็หม่นหมองและสัตว์ก็ฟุบลงกับพื้น

ขณะเดียวกันวิญญาณเซียนของฉวี่ลี่กั๋วก็พุ่งออกมาจากหัวสัตว์ตัวเล็กนั้นอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าหากำแพงเมื่อมันชนกำแพงมันก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดจากนั้นมันก็ทุบกับกำแพงอื่นอีกสองสามครั้งจนในที่สุดมันก็ลอยกลับมาและออกไปในถ้ำ

หวังหลินไม่ได้ประหลาดใจ แต่ความจริงมีความสุขมากเขาเห็นได้ชัดเจนว่าวิญญาณเซียนนั้นไม่โปร่งแสงอีกต่อไปและเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งเขารีบโยนพวกสัตว์ที่จับได้ทั้งหมดสามวันก่อนเข้าไปในทำและสังเกตอย่างละเอียด

จังหวะที่สัตว์ตัวเล็กๆเหล่านั้นหล่นลงกับพื้น พวกมันวิ่งไปที่มุมถ้ำพร้อมกับแววตาหวาดกลัวและกรีดร้องไม่หยุด

แต่สิ่งที่ทำให้หวังหลินขมวดคิ้วก็คือวิญญาณเซียนกลับเมินสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ ความบ้าคลั่งของมันหายไปและวิญญาณกลับเป็นสับสนอีกครั้ง

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและจากนั้นเขาก็ใช้สัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่เพื่อบังคับให้วิญญาณเซียนเข้าหาสัตว์เล็กๆตัวอื่นเมื่อสัตว์ตัวหนึ่งตายไป วิญญาณเซียนพุ่งเข้าหาทันทีสายตามันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอีกครั้ง

แต่วิญญาณเซียนยังเมินเฉยเหล่าสัตว์ตัวอื่นหวังหลินใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อบังคับวิญญาณเซียนอีกครั้งตอนนี้สายตาบ้าคลั่งของมันมีความกล้าแข็งยิ่งกว่าเดิม

หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็ออกไปเขาจับสัตว์ป่าใกล้ๆภูเขามาจำนวนมากโดยตั้งใจจับสัตว์ป่าที่มีแววชั่วร้ายซึ่งหนึ่งในนั้นกระทั่งมีรัศมีแปลกประหลาด

หลังจากเขากลับไปที่ถ้ำจึงได้สร้างห้องเพิ่มอีกหลายห้องเพื่อแบ่งสัตว์ป่าออกจากกันจากนั้นเขาก็จับสัตว์ป่าดวงตาแดงก่ำที่คำรามใส่เขาและโยนมันเข้าไปในห้องวิญญาณเซียน

หลังจากถูกขอบเขตจวี่บังคับให้กลืนกินสัตว์ป่าอีกครั้ง ความบ้าคลั่งในวิญญาณเซียนเริ่มแข็งแกร่งขึ้น

หวังหลินสังเกตจากข้างนอกห้องเป็นเวลานานเขาไม่รู้ว่าหากวิญญาณเซียนกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน มันคงถูกเรียกว่าปิศาจหากเขายังทำเช่นนี้ต่อไป

ความเป็นจริงแล้ววิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบนี้ก็คือจับเหล่าเซียนมาใช้เป็นหนูทดลองแต่เขากลัวว่าระดับเซียนขั้นผลิดอกจะเพิ่มขึ้นหลังจากกลืนกินเซียนไปคนหนึ่งแล้วหากพลังของวิญญาณเซียนเหนือกว่าพลังของขอบเขตจวี่หวังหลินคงตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเสี่ยงใช้เหล่าเซียน

สี่วันถัดมา นอกจากสัตว์ที่มีรัศมีแปลกประหลาดแล้วสัตว์ป่าทั้งหมดที่เขาจับมาถูกกลืนกินหมดวันนี้หวังหลินถือสัตว์ป่าตัวนั้นและโยนเข้าไปในห้องหิน

วิญญาณเซียนถูกขอบเขตจวี่บังคับอย่างช้าๆให้เข้าไปหาสัตว์ป่าที่มีออร่าแปลกประหลาดขณะที่มันกำลังจะสัมผัสวิญญาณเซียนหยุดตัวเองฉับพลันจากการกระโดดเข้าใส่และเผยอาการลังเล

ขอบเขตจวี่ของหวังหลินเคลื่อนไหว สร้างเป็นสายฟ้าแดงและกดดันวิญญาณเซียนในที่สุดวิญญาณเซียนก็เข้าไปในสัตว์ป่ากินเวลานานกว่าที่สัตว์ตัวนั้นจะตัวสั่น

ครึ่งชั่วโมงถัดมา ร่ากายสัตว์ป่าระเบิดออกขณะที่วิญญาณสีแดงหนีออกมาจากร่างมันและส่งเสียงร้องคำราม

รูปทรงของวิญญาณเซียนได้เปลี่ยนไปหมดพร้อมกับเรืองแสงสีแดงมันปลดปล่อยพลังอำนาจที่ทำให้หวังหลินรู้สึกว่าผ่านการยับยั้งของขอบเขตจวี่มาได้ขณะที่ตอนนี้ มันไม่ได้เป็นวิญญาณอีกต่อไปแล้ว

แต่เป็นปิศาจ

ดวงตาหวังหลินเรืองสงขึ้น หลังจากคิดอีกชั่วครู่ เขาก็เปิดถ้ำขึ้นและเดินเข้าไปข้างใน

ทันใดนั้นปิศาจหันศีรษะมาและกระโดดเข้าหาหวังหลินดวงตาหวังหลินเยือกเย็นขณะที่เขามองไปที่ปิศาจ สายฟ้าแดงพุ่งออกมาจากดวงตาผลักปิศาจให้ห่างไปไกลและส่งมันให้ร้องโหยหวนคร่ำครวญ

สีหน้าอันชั่วร้ายปรากฎอีกครั้งขณะที่มันกระโดเข้าหาหวังหลิน แต่หวังหลินสะบัดมือและจับปิศาจไว้ได้

“รนหาที่ตาย!” น้ำเสียงหวังหลินเย็นเยียบและดวงตากระพริบสีแดงทุกครั้งที่ดวงตากระพริบ ปิศาจจะสั่นเทาหลังจากนั้นใบหน้าชั่วร้ายก็โดนแทนที่ด้วยความเกรงกลัว

ในที่สุดปิศาจก็เผยใบหน้าอันน่าสงสารหวังหลินจับปิศาจและเดินออกมาจากถ้ำหิน หลังจากมาถึงห้องที่เขาใช้ฝึกฝนพลันโยนปิศาจไปบนอากาศใบหน้าชั่วร้ายปรากฎขึ้นอีกครั้งขณะที่มันพุ่งเข้าหาเพดานเพื่อหลบหนี

หวังหลินเหยียดยิ้มในใจขณะที่เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกมาจับมันอย่างรวดเร็วและลงโทษปิศาจร้องโหยหวนขณะที่ควันเส้นบางๆปรากฎบนร่างมันและมันอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด

หวังหลินสัมผัสกระเป๋าและนำเศษเหล็กออกมา จากนั้นเขาพูดกับปิศาจ “ซ่อนตัวในนั้น เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจนกว่าข้าจะบอก”

ปิศาจมองหวังหลินด้วยความกลัวขณะที่มันกลายเป็นแสงสีแดงและเข้าไปในเศษเหล็ก

หลังจากเก็บเศษเหล็กกลับไป เขามองไปที่ถ้ำอย่างขยะแขยงจากนั้นก็ออกมา สะบัดมือ และถ้ำก็ล่มสะลายในตัวเอง

หวังหลินไม่ได้มองกลับไปขณะที่เขาเหาะไปทางทิศตะวันออก

จากความทรงจำของหม่าเหลียง เจดีย์เทพสงครามตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกหวังหลินตัดสินใจไว้แล้วตั้งแต่เขาไม่สามารถหาตำแหน่งแคว้นจ้าวในความทรงจำหม่าเหลียงได้เขาจะต้องไปตรวจดูแผนที่ที่อยู่ในคลังสมบัติของเจดีย์เทพสงคราม

นอกเหนือจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกระบี่เขียวตอนนี้เป็นเพียงเศษเหล็กและพลังอำนาจของมันอ่อนแอลงอย่างมากหากเขาต่อสู้กับเซียนขั้นสร้างลำต้น เขาคงไม่ต้องใช้มันทว่าหากต้องต่อกรกับเซียนขั้นแตกหน่อเมื่อนั้นเศษเหล็กนี้จะช่วยชีวิตเขาได้

ดังนั้นเขาต้องเรียนรู้การปรับแต่งสมบัติเซียนซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องกลับไปที่เจดีย์เทพสงครามเพราะมันมีอาคารปรับแต่งสมบัติอยู่ที่นั่น

และนอกจากสิ่งพวกนั้นแล้วเขาต้องหาสถานที่ที่มีพลังงานหยินเข้มข้นไม่เช่นนั้นเขาจะติดอยู่ที่ขั้นสร้างลำต้นระดับกลางเพียงพลังงานหยินเข้มข้นจะสามารถทำให้เขาสร้างแกนพลังงานเย็นชิ้นที่สามและผ่านเข้าสู่ขั้นสร้างลำต้นระดัลปลายได้และจานั้นก็สร้างแกนพลังตัวเอง

หวังหลินตัดสินใจว่าจะไม่ยกเลิกการฝึกวิถีเซียนนรกนอกจากนั้นซือถูหนานได้บอกเขาว่าหลังจากสร้างแกนพลังงานเย็นชิ้นที่สามและรวมมันเข้าด้วยกันเขามีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ขั้นแตกหน่อ

ตอนที่เขากำลังฟื้นฟูพลังฝึกตนอยู่ เพราะว่าเขาไม่มีนำพลังหยินจึงทำได้เพียงฝึกเซียนด้วยวิชาของเจดีย์เทพสงครามจากความทรงจำหม่าเหลียงแต่สิ่งที่เขาสนใจคือเส้นทางสวรรค์แม้ว่าพลังปราณจากการฝึกฝนเส้นทางสวรรค์จะไม่มีคุณสมบัติเพิ่มเติมมองอีกมุมหนึ่ง มันแย่กว่าพลังปราณหยินที่เขามีครั้งก่อนเสียอีก

แต่เส้นทางสวรรค์ของเจดีย์เทพสงคราไม่ใช่ไม่มีประโยชน์หากพลังปราณหยินเป็นเหมือนกระบี่ล่องหนเช่นนั้นการฝึกวิธีนี้ราวกับแพรอันยืดหยุ่น

เจดีย์เทพสงครามตั้งอยู่บนเทือกเขาสวรรค์ในทิศตะวันออกของแคว้นฮัวเฝินภูเขาห้อมล้อมไปด้วยหมู่เมฆและเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายมีภูเขาย่อยสี่แห่งพร้อมกับที่พำนักของสำนักย่อยทั้งสี่ในเจดีย์เทพสงคราม

หนึ่งในสี่สำนักใหญ่ของฮัวเฝิน เจดีย์เทพสงครามมีศิษย์มากกว่าสามพันคนหากไม่รวมกับศิษย์สำนักอื่นที่เข้าร่วมทีหลัง ก็ยังมีราวๆสองพันสามร้อยคน

ในวันนี้ยอดเขาปกคลุมไปด้วยหิมะในรัศมีหนึ่งลี้จากเจดีย์เทพสงครามโจวซื่อจง หยางเซี่ยงและหลินท่าวกำลังรออยู่สามวันก่อนทั้งสามคนรู้สึกได้ว่าวิญญาณตัวเองสั่นเทาขณะที่หวังหลินส่งข้อความผ่านจิตวิญญาณเลือดเขาบอกให้แต่ละคนนำสิ่งของมาสองสามอย่างเวลาที่นัดหมายกันได้ผ่านไปนานแล้ว แต่ทั้งสามคนไม่กล้าหนีไปไหน

ในทั้งสามคนนี้ หลินท่าวกลัวมากที่สุดขณะที่เขากำลังหาคำพูดที่เหมาะสมโจวซื่อจงดูงุนงงขณะที่เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย จิตใจเธอว่างเปล่าหม่าเหลียงได้หายไปมากกว่าหนึ่งปีแล้วเดิมเธอคิดว่าเขาจะไม่ปรากฎตัวอีกครั้งทว่าเมื่อเธอได้รับข้อความสามวันก่อน ใบหน้าเธอก็ซีดเผือดทันที

ใบหน้าของหยางเซี่ยงดูใจเย็นมากที่สุด ทุกครั้งที่แสงในแววตาเขากระพริบ เขาจะดูปกติมากที่สุด ทว่าหากมองดูใกล้ๆ มือขวาเขากำหมัดแน่น

วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆและกลางดึกผ่านมาถึง แต่หวังหลินยังไม่ปรากฎตัว ทั้งสามคนมองหน้ากันเองด้วยความงุนงง

ที่จุดยอดเขาห่างไปสองลี้ หวังหลินมองทั้งสามคนอย่างใจเย็นตั้งแต่กลียุคในแคว้นจ้าว หวังหลินกลายเป็นคนระมัดระวังอย่างมากแม้ว่าเขาจะมีจิตวิญญาณเลือด ทั้งสามคนอาจจะหนักแน่นพอต่อสู้ท้าความตายได้

ดังนั้นหวังหลินจึงยังรอคอย หากไม่มีอะไรผิดปกติ เมื่อนั้นเขาจะทำลายจิตวิญญาณเลือดพวกเขาซะและหนีไป

ในเวลาเดียวกัน หวังหลินก็ทดสอบการตอบสนองของพวกเขาหากพวกเขาแกล้งทำคงไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ในทั้งสามคนใบหน้าหลินท่าวดูปกติที่สุด จากตั้งแต่ต้น เขาหวาดกลัวและสั่นเทา

โจวซื่อจงนั้นสับสนตลอดเวลา ความสับสนนั้นปรากฎบนใบหน้าเธอแม้เธอจะพยายามซ่อนมันไว้อย่างดี

หลังจากสังเกตทั้งสองคน หวังหลินมุ่งความสนใจไปที่หยางเซี่ยงใบหน้าคนผู้นี้เริ่มแรกดูใจเย็นแต่เมื่อเวลาผ่านไปใบหน้าเขาเริ่มบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม

หวังหลินจ้องไปที่มือขวาของหยางเซี่ยงและดวงตาเขากลายเป็นเยือกเย็นเขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาคนทั้งสามในพริบตาเขาก็ปรากฎขึ้นด้านหน้า รัศมีเยือกเย็นกระจายออกมาทันที

หลังจากเห็นหวังหลินจิตใจทั้งสามคนสั่นสะท้านและความเหน็ดเหนื่อยของทุกคนหายเป็นปลิดทิ้งปีที่ผ่านมานี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายในสนามรบต่างแดนได้สะท้อนในความฝันแต่ละคนทุกคืน

พวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่าพลังความแข็งแกร่งของหวังหลินมีมากมายแค่ไหน แต่หม่าเหลียงที่ยืนอยู่ข้างหน้าทำให้จิตใจแต่ละคนสั่นสะท้าน

กระทั่งรู้สึกได้ว่าแม้หวังหลินไม่มีจิตวิญญาณเลือด เขาคงสามารถสังหารแต่ละคนได้ทันทีโดยไม่สามารถป้องกันตัวเองได้

ความรู้สึกแบบนี้ถึงขีดสุดหลังจากหวังหลินมองที่พวกเขาอย่างเย็นชาหลินท่าวเป็นคนแรกที่ถึงขีดจำกัดขณะที่เขาคุกเข่าลงบนพื้นและพูดขึ้น “หลินท่าวคารวะเจ้านาย!”

หยางเซี่ยงและโจวซื่อจงไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก พวกเขายืนนิ่งอยู่กับที่พยายามฝืนแรงกดดัน

หวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ของตัวเองออกเพียงเท่านั้นสัมผัสอันตรายก็หายไปทั้งสามคนปล่อยลมหายใจออกมาจากนั้นหยางเซี่ยงและโจวซื่อจงคำนับทักทายหวังหลิน

ขณะที่คำนับรอยยิ้มอันขมขื่นแวบผ่านใบหน้าหยางเซี่ยงขณะที่เขากำหยกในมือขวาแน่นเขามาที่นี่ด้วยความคิดสองอย่างหนึ่งเพื่อหลอกหวังหลินให้กลับไปที่เจดีย์เทพสงครามและให้ผู้ช่วยโสช่วยเขาขโมยจิตวิญญาณเลือดกลับมาสองคือหากหวังหลินไม่ไป เขาจะลอบส่งตำแหน่งปัจจุบันด้วยหยกกลับไปที่สำนักศิษย์น้องของเขากำลังถือเศษหยกอีกชิ้นหนึ่งไว้อยู่ หากเขาใส่พลังปราณเข้าไปหยกที่ศิษย์น้องถือไว้จะส่องแสงขึ้นและให้ศิษย์น้องไปเรียกอาจารย์มา

แต่ตอนนี้เขารู้ว่านั่นเป็นความคิดที่โง่ขนาดไหน หากเขาทำเช่นนั้นจริงๆเขาคงเป็นคนแรกที่ตายไปแล้ว

ผู้อาวุโสที่กลืนกินร่างกายหม่าเหลียงต้องเป็นเซียนจากแคว้นอันดับสูงมากไม่เช่นนั้นเพียงขั้นสร้างลำต้นปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณคงไม่ทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านเช่นนี้

หยางเซี่ยงลอบถอนหายใจและยกเลิกความคิดต่อต้านเขาสูดหายใจลึกและรีบสัมผัสกระเป๋าด้วยมือซ้ายจากนั้นเขาหยิบหยกออกมาและพูดกับหวังหลินด้วยความเคารพ “นายท่านข้าได้รับคำขอจากท่านเมื่อสามวันก่อน นี่เป็นหยกจากตำหนักหลอมสมบัติ”

หลังจากหวังหลินรับหยกมา เขาตรวจสอบมันด้วยสัมผัสวิญญาณโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า จานั้นพยักหน้าและสายตาตกลงบนหลินท่าว

หัวใจหลินท่าวเต้นเร็วและเขากระซิบขึ้น “นายท่านแผนที่นั้นวางอยู่ตรงยอดของศาลาสมบัติเซียนข้า…ข้าไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้เพราะระดับฝึกตนของข้าไม่สูงพอ”

เมื่อเห็นหวังหลินทำหน้าตาเฉย หลินท่าวกัดฟันแน่นและพูดขึ้น “สิบวัน!นายท่านเพียงให้เวลาข้าสิบวันจากนั้นลูกพี่ลูกน้องของข้าจะได้เวลาลาดตระเวณอย่างน้อยข้าก็สามารถให้เขาสร้างฉบับคัดลอกได้!”

หวังหลินมองเขาและพยักหน้า จากนั้นพูดเบาๆ “หากเจ้าได้มันมาจริงๆเมื่อนั้นข้าจะออกจากฮัวเฝินและคืนจิตวิญญาณเลือดให้เจ้า” กระนั้นเขามองตรงไปที่หยางเซี่ยง ดวงตาเยือกเย็นขณะพูดขึ้น “ปกติแล้วข้าควรจะคืนจิตวิญญาณเลือดให้กับเจ้าแต่ของที่อยู่ในมือเจ้าได้ลดโอกาสนั้นแทน เวลานี้ข้าจะไม่สังหารเจ้าซะแต่การที่ข้าจะคืนจิตวิญญาณเลือกให้กับเจ้าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับครั้งหน้า”

ร่างกายหยางเซี่ยงสั่นเทาขณะที่ใบหน้าซีดเผือดทันทีเมื่อเขาเห็นหวังหลินตอนนี โดยเฉพาะดวงตาหวังหลิน เขารู้สึกกลัวอย่างมากคุกเข่าลงกับพื้นและยื่นหยกในมือขวาออกไป ใบหน้าเผยความเครียด

หวังหลินไม่มองเขาอีกต่อไปพลันมองตรงไปยังโจวซื่อจง เธอกัดฟันแน่นเชิดใบหน้าสวยขึ้นมาและพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสวิถีเส้นทางสวรรค์นั้นแปลกประหลาดนั้น แม้ว่าข้าจะเห็นมันเมื่อหกเดือนก่อนข้าก็จำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้เลยดังนั้นข้าจึงไม่สามารถคัดลอกหยกที่มีวิชานั้นได้ความจริงท่านผู้อาวุโสไม่ต้องใช้ทางอ้อมเช่นนี้ด้วยบุญคุณของหม่าเหลียงในสนามรบต่างแดน เมื่อท่านกลับไปที่สำนักท่านจะได้รับอนุญาตให้เรียนตามธรรมชาติ”

วิถีเส้นทางสวรรค์เป็นสิ่งที่หวังหลินสนใจมากที่สนในความทรงจำของหม่าเหลียงหม่าเหลียงฝันว่าจะเรียนมันสักครั้ง ด้วยเหตุผลบางอย่างเจดีย์เทพสงครามมีกฎเข้มงวดที่จะให้ศิษย์ตัวเองเรียนวิชาเส้นทางสวรรค์แต่ผู้คนนอกสำนักเพียงจ่ายหินวิญญาณในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อสิทธิ์ในการเรียนรู้มัน

แต่เหล่าศิษย์ของเจดีย์เทพสงครามพวกเขาต้องอยู่ขั้นแตกหน่อหรือมีบุญคุณยิ่งใหญ่กับสำนักเพียงบรรลุเป้าหมายหนึ่งในสองนี้ก็สามารถเรียนได้ภายใต้การดูแลของเหล่าผู้อาวุโส

จากการวิเคราะห์ของหวังหลิน เส้นทางสวรรค์ต้องมีเรื่องพิเศษบางอย่างเนื่องจากหากคนที่อยู่ขั้นสร้างลำต้นเรียนรู้ไปอาจจะเกิดอันตรายได้โดยไม่มีใครป้องกัน

เมื่อเขาบอกให้โจวซื่อจงสร้างฉบับคัดลอกมา เขาไม่ได้คิดว่ามันจะสำเร็จดังนั้นจึงไม่ได้ผิดหวัง หวังหลินมองดูทั้งสามคนอย่างละเอียดและกล่าวเบาๆ “พวกเจ้าทั้งสามไม่ต้องคุ้มกันข้าใกล้ๆ ตราบใดที่พวกเจ้าไม่รบกวนข้าเมื่อข้าออกไปจากฮัวเฝิน ข้าจะคืนจิตวิญญาณเลือดให้ทว่าหากพวกเจ้ากล้าวางแผนต่อต้านข้า เมื่อนั้นอย่ากล่าวหาว่าข้าโหดร้าย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version