139. ขั้นแกนลมปราณเทียม
*หมายเหตุ เพื่อให้อ่านง่ายๆจะขอเทียบระดับขั้นกับพี่เมิ่งซึ่งผู้แต่งคนเดียวกันนะครับ
ขั้นรวบรวมลมปราณ(Qi Condensation)
ขั้นพื้นฐานลมปราณ(Foundation Establishment)
ขั้นแกนลมปราณ(Core Formation)
ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด(Nascent Soul)
ขั้นตัดวิญญาณ(Soul Formation)
ขั้นเซียนเปลี่ยนวิญญาณ (Soul Transformation)
เหล่ากระบี่เหินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่วิชาหลบหนีปฐพีนั้นเร็วกว่าหวังหลินติดตามพวกเขาอยู่ห่างๆขณะที่เซียนร้อยกว่าคนข้ามผ่านท้องฟ้าและมาถึงที่ตำแหน่งของภูเขาจิตวิญญาณ
พลังปราณที่ผันผวนออกมาจากหลุมหลายรูบนพื้น มีแขนขาปกคลุมทั่วพื้นที่และกลิ่นโลหิตเหม็นสาบอันรุนแรง
ขณะที่เซียนนับร้อยมาถึง เหล่าเซียนจากแคว้นฮัวเฝินนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นและเริ่มต่อสู้กัน
ขณะเดียวกัน ลำแสงแปดเส้นพุ่งเข้ามาและปล่อยกลิ่นอายแข็งแกร่งรอบบริเวณหวังหลินชำเลืองมอง แสงแปดเส้นนั้นคือเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมด
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้พวกเขาเป็นเป้าหมายของเหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของฮัวเฝินที่กำลังลาดตระเวนเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสองฝ่ายเริ่มสู้กันปฐพีสั่นสะเทือนและนภาเปลี่ยนสี
ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มเซียนจำนวนหนึ่งร้อยกลุ่มปรากฎขึ้นระยะไกลและเข้าร่วมการรบนี้
ดวงตาหวังหลินกลายเป็นเยือกเย็น หลังจากมองอยู่ชั่วครู่ สัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ของเขาออกมาจากพื้นและพุ่งเข้าไปในสนามรบ
เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณคนหนึ่งของแคว้นซวนหวู่ที่พึ่งสังหารศิษย์ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบห้าของฮัวเฝินไปได้หนึ่งคนเมื่อกำลังจะโจมตีอีกครั้ง ลำแสงสีแดงกระพริบผ่านเขาไปเขารู้สึกราวกับศีรษะตัวเองถูกทบตีดัวยค้อนยักษ์และสูญเสียสติสัมปชัญญะวิญญาณตัวเองถูกทำลายโดยไร้การต่อต้านและหล่นลงจากท้องนภา
เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณของซวนหวู่จำนวนแปดคนใช้ค่ายกลกระบี่เพื่อขังเซียนขั้นแตกหน่อของฮัวเฝินเอาไว้คนหนึ่งแต่หลังจากแสงสีแดงกระพริบวาบผ่านไปทั้งแปดคนร่างสั่นสะท้านและใบหน้าแข็งทื่อพวกเขารู้สึกวิญญาณถูกรบกวนและสูญเสียรูปลักษณ์ขณะที่ร่างกายร่วงลงบนพื้น
เซียนขั้นแกนลมปราณที่ถูกขังอยู่ตกตะลึง แต่เหตุการณ์ปัจจุบันไม่มีเวลาให้เขาคิด ขณะที่เขาพุ่งเข้าหาเหล่าศัตรู
หลังจากเซียนขั้นแกนลมปราณเทียมคนหนึ่งของซวนหวู่สังหารเซียนหลายคนที่ระดับฝึกคนเดียวกันด้วยการช่วยเหลือของกระบี่เหินขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเขาจับคอของสตรีขั้นพื้นฐานลมปราณคนหนึ่งฉีกเสื้อผ้าเธอจนเผยให้เห็นกระเป๋าสีชมพูเธอกรีดร้องออกมาทว่าเสียงเบามากในสงครามอันวุ่นวายแห่งนี้
เซียนขั้นแกนลมปราเลียริมฝีปากของตนเองสายตาเผยความชั่วข้าขณะที่อุ้มสตรีสาวไว้ในอ้อมแขนทว่าแสงสีแดงสายหนึ่งกระพริบวาบผ่านและร่างกายเขาสั่นสะท้านเขาปล่อยมือสตรีคนนั้นและร่างกายร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า
หลังจากเขาเสียชีวิต ไม่เพียงแต่กระบี่เหินไม่หยุดนิ่งมันกลับพุ่งเข้าหาพื้นแทน ขณะที่มันเข้าใกล้พื้นดินมือข้างหนึ่งพุ่งออกมาจับกระบี่และกลับเข้าผืนดินไป
เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณคนแล้วคนเล่าจากแคว้นซวนหวู่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผลเหล่าเซียนจากซวนหวู่เริ่มให้ความสนใจเหตุการณ์นี้เซียนขั้นแกนลมปราณคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีม่วงจากซวนหวู่จ้องไปที่พื้นและชี้นิ้วไปเขาใช้วิธีการลึกลับบางอย่างเพื่อส่งสารออกไปจากนั้นเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายจำนวนสิบคนพุ่งเข้าไปทิศทางนั้น
สีหน้าของหวังหลินสงบนิ่ง เขาหันร่างจากไปโดยใช้วิชาหลบหนีปฐพีอย่างสบายๆ หนึ่งในเซียนสิบคนนั้นถือเข็มทิศและไล่ล่าตามหลังหวังหลิน
หลังจากเคลื่อนที่ไปได้มากกว่าสิบลี้หวังหลินหยุดกึกและส่งสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ออกไปข้างหน้าเหล่าเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณหวังหลินเป็นราชาที่มีอำนาจควบคุมความเป็นความตายของพวกเขาได้วิญญาณแต่ละคนถูกทำลายโดยที่ไม่มีเวลาตอบสนอง
ตอนนี้หวังหลินไม่ได้ไร้เดียงสาหรืออ่อนต่อโลกอีกต่อไปแล้ว เขาสังหารทุกคนที่กล้าขวางทาง
ไม่มีผิดหรือถูกบนสนามรบ มีเพียงชีวิตรอดหรือตายเท่านั้นหากสงสารสักเพียงเสี้ยวหนึ่ง เมื่อนั้นคนที่จะตายคงเป็นเขาด้วยอำนาจที่ขอบเขตจวี่ให้เขามา มันเปลี่ยนนิสัยเขาอย่างเงียบๆขอบเขตจวี่เน้นไปที่ความสุดขั้ว หากคนที่วางแผนเดินบนเส้นทางแห่งความดีเมื่อนั้นเขาจะเป็นวีรบุรุษแห่งยุคที่ต่อสู้กับเหล่าความชั่วร้ายทั้งปวง
หากคนหนึ่งเดินบนเส้นทางมาร เมื่อนั้นเขาจะเป็นจอมมารได้อย่างแน่นอนความชั่วร้ายนั้นเพียงพอให้เหล่าเซียนปิศาจกลัวเกรงและคู่ควรต่อนาม ราชามาร
หวังหลินมีนิสัยซื่อตรงต้องการเป็นวีรบุรุษเซียนและสร้างเส้นทางอันชอบธรรมเพื่อชื่อเสียงบรรพบุรุษน่าเสียดายที่การปรากฎตัวของซือถูหนานทำให้นิสัยเขาเปลี่ยนไปอย่างช้าๆซึ่งในที่สุดนำไปสู่ภัยพิบัติ
ตระกูลไหนจะมีชื่อเสียงได้หากถูกกวาดล้างไปแล้ว? ขอบเขตจวี่ทำให้นิสัยเขาเปลี่ยนเช่นกันเมื่อเขาไม่อาจเป็นวีรบุรุษแห่งยุคได้ เช่นนั้นเขาจะเป็นจอมมาร
ดวงตาหวังหลินไร้อารมณ์ขณะที่เขาเก็บรวบรวมกระเป๋าโดยไม่ได้มองซากศพพวกนั้นเลยหวังหลินกลับขึ้นมาบนพื้นและหันศีรษะเข้าหาพื้นที่แตกต่างในสนามรบ
แต่ในนานนัก เขาก็ออกมาอีกครั้ง มองไปที่สนามรบจากนั้นนำเอาหินวิญญาณออกมาสองสามก้อนสร้างเป็นค่ายกลแห่งหนึ่งและโยนร่างสิบร่างไว้ภายในแต่ละร่างระเบิดเป็นก้อนเนื้อโลหิตก่อนจะถูกค่ายกลดูดซับ
เมื่อร่างสุดท้ายระเบิด หวังหลินกัดนิ้วตัวเองและหยดเลือดใส่หินวิญญาณก้อนหนึ่ง
ทันใดนั้นหมอกควันสีม่วงเสี้ยวหนึ่งออกมาจากค่ายกลและหมุนเป็นวงกลมหนึ่งครั้งควันสีม่วงหายไปในหินวิญญาณหากไม่ได้มองอย่างละเอียดคงไม่อาจสังเกตความแตกต่างได้
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ทั้งหมดหวังหลินจมดิ่งลงไปในพื้นและกลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้งการต่อสู้ยิ่งทวีความตึกเข้มข้นมากขึ้นขณะที่ทุกคนพัวพันกับการต่อสู้การรบระหว่างเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดต่างก็ทวีความเข้มข้นขึ้นเช่นกันจนบังคับให้เซียนที่เหลือหลบลูกหลง
ขณะเดียวกันนั้นเหล่าเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณของซวนหวู่เริ่มร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าอย่างลึกลับร่างกายของพวกเขากลายเป็นก้อนโลหิตสาดขณะที่กระแทกลงพื้น
ยิ่งมีเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณของซวนหวู่ตายไปในเหตุการณ์ลึกลับนี้เพิ่มขึ้นก็ยิ่งทำให้เหล่าเซียนของซวนหวู่เสียขวัญเหล่าเซียนของฮัวเฝินจึงใช้โอกาสนี้โจมตี
ชายวัยกลางคนชุดม่วงที่ส่งเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณสิบคนไปสังหารหวังหลินได้ขมวดคิ้วขึ้นดวงตากวาดลงพื้นราวกับสายฟ้าก่อนนที่จะจับตาไปที่จุดหนึ่งบนพื้นดินเขาชี้ไปที่ตำแหน่งนั้นและเซียนขั้นแกนลมปราณระดับต้นคนหนึ่งพุ่งออกไปโดยไม่มีการพูดจา
ขณะที่เซียนขั้นแกนลมปราณพุ่งเข้าหา หวังหลินหลบหนีอย่างรวดเร็วเซียนขั้นแกนลมปราณเย้ยหยันขณะที่เขากระแทกฝ่ามือลงบนพื้นรอยฝ่ามือขนาดยักษ์ปรากฎบนพื้นบังคับให้หวังหลินออกมาหวังหลินออกมาจากใต้ดินและวิ่งหนีไปที่ค่ายกลที่เขาติดตั้งไว้อย่างรวดเร็ว
เซียนขั้นแกนลมปราณเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยเขาเชื่อว่าหวังหลินสามารถสังหารเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณได้มากมายนั่นก็เพราะเขาใช้สมบัติเซียนอันทรงพลังเท่านั้นเขาคิดว่าหากระมัดระวังสักเล็กน้อยก็คงสังหารหวังหลินได้อย่างง่ายดาย
ด้วยความคิดนี้ เขาสะบัดมือตัวเองและตะเกียงสีทองปรากฎขึ้นด้านหน้าเขามันหยุดกึกชั่วขณะก่อนจะพุ่งเข้าหาหวังหลินความเร็วของตะเกียงนั้นรวดเร็วมากมันสร้างระรอกอากาศกระเพื่อมขึ้นขณะที่พุ่งเข้าหา
หวังหลินไม่แม้กระทั่งหันศีรษะขณะที่เขาโยนสมบัติที่ทางสมาพันธ์ฮัวเฝินให้ออกมาสมบัติเซียนนั้นกลายเป็นหมัดเงินและโจมตีไปที่ตะเกียง
จังหวะที่พวกมันชนเข้าด้วยกันตะเกียงหมุนตัวอย่างรวดเร็วและแทงผ่านหมัดเงินนั้นตะเกียงหม่นแสงลงแต่ไม่ได้ลดความเร็วลง มันไล่ล่าหวังหลินต่อไป
หวังหลินสงบนิ่งขณะที่ตะเกียงเข้าใกล้เขาหวังหลินกระโดดลงไปที่พื้นอีกครั้งเขาเรียกใช้วิชาหลบหนีปฐพีเพื่อเคลื่อนร่างห่างไปหลายสิบเมตรก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งหวังหลินทำเช่นนี้หลายครั้งก่อนจะมาถึงค่ายกลที่เขาวางไว้
เซียนขั้นแกนลมปราณเกือบจะจับเขาได้ดวงตาเต็มไปด้วยความรังเกียจขณะที่ตะโกนขึ้น “เจ้าหนูน้อย!เจ้าไม่มีความสามารถอื่นนอกจากซุ่มโจมตีคนอื่นหรือ?”
หวังหลินไม่ได้โต้กลับ เขาพุ่งหาค่ายกลโดยไม่ได้หยุดชะงักหลังจากผ่านมันไปเขาหยุดกึกและหันกลับมาเห็นเซียนขั้นแกนลมปราณอยู่เหนือค่ายกล
ดวงตาหวังหลินกลายเป็นเยือกเย็นและตะโกนขึ้น “เปิด!”
เมื่อหวังหลินตะโกนคำนั้นควันสีม่วงออกมาจากค่ายกลและขังเซียนขั้นแกนลมปราณไว้ข้างในหากมีใครสักคนมองอยู่ไกลๆพวกเขาคงไม่อาจเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านหมอกสีม่วงหนาเช่นนี้
หวังหลินนั่งลงทำสมาธิและเย้ยหยันขณะที่โยนสมบัติที่หยางเสินให้เขาไว้ออกมาวงแหวนแห่งพลังเส้นหนึ่งออกมาจากสมบัติและล้อมรอบหวังหลินตะเกียงปะทะวงแหวนพลังนั้นแต่มันเพียงทำให้เกิดการกระเพิ่มได้เล็กน้อยเท่านั้น
หวังหลินไม่ได้ใส่ใจตะเกียงวิเศษขณะที่เขาจ้องควันสีม่วงและหยิบเอากระบี่เหินของเขาออกมาหลังจากสัมผัสกระบี่ ควันสีแดงหลบหนีออกมาและปิศาจปรากฎตัวขึ้นปิศาจจ้องไปที่ควันสีม่วงด้วยความโลภ มันต้องการกลืนกินคนข้างในแต่มันลังเลเพราะว่าหวังหลิน
หวังหลินสูดหายในลึกและหลับตาโดยไม่ได้เอ่ยคำใดลำแสงสีแดงหลายเส้นออกมาร่วมกันสร้างเป็นเมฆสีแดงก้อนหนึ่งขณะที่พุ่งออกไปทั้งที่หวังหลินไม่ได้สติ
นี่เป็นครั้งแรกที่ขอบเขตจวี่ออกมาจากร่างหวังหลินทั้งหมดเมื่อปิศาจเห็นเมฆสีแดงนั้นใบหน้ามันเต็มไปด้วยความกลัวและก้าวออกไปด้านข้าง
เมฆสีแดงเปลี่ยนเป็นวงกลมทันทีและหมุนรอบปิศาจคราหนึ่งก่อนจะลากมันเข้าไปในควันสีม่วงเซียนขั้นแกนลมปราณนั่งขัดสมาธิภายในค่ายกลด้วยใบหน้ามืดมัวมีน้ำเต้าลูกหนึ่งกำลังลอยรอบเซียนผู้นั้นมันกำลังดูดซับควันสีม่วงอย่างช้าๆ
นี่เป็นค่ายกลที่โหดร้ายมากซึ่งเรียกว่า ค่ายกลมารกลืนสวรรค์วัตถุดิบหลักคือร่างของเหล่าเซียนที่ใช้เป็นพื้นฐานของค่ายกลหวังหลินใช้เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณจำนวนสิบคนเพื่อก่อตั้งค่ายกลนี้ขึ้นมาดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะจัดการขังเซียนขั้นแกนลมปราณสักคนไว้ได้ชั่วขณะ
หากเขามีร่างเซียนขั้นแกนลมปราณเมื่อนั้นเพียงเขาใช้ห้าคนเพื่อสังหารเซียนขั้นแกนลมปราณระดับกลางหรือต่ำกว่าได้แต่ค่ายกลนี้มีความต้องการร่างกายระดับสูงเขาจึงต้องสังหารคนด้วยตัวเองทำให้ค่ายกลนี้ไม่สะดวกที่จะใช้งานอย่างมาก
จังหวะที่สัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ของหวังหลินเข้าไปในกรงม่วงเซียนขั้นแกนลมปราณสังเกตได้ว่ามีบางอย่างถูกปิดอยู่และลืมตาขึ้นมาหวังหลินพุ่งเข้าหาจิตสำนึกของเซียนขั้นแกนลมปราณคนนั้นทันทีพร้อมกับปิศาจขณะที่เมินน้ำเต้าอย่างสิ้นเชิง
ภายในจิตสำนักของเซียนขั้นแกนลมปราณวิญญาณของเซียนคนนั้นสร้างเป็นยักษ์ตนหนึ่งและคำรามอย่างเกรี้ยวกราดใส่หวังหลินสัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่กระตุ้นพลังงานเต็มที่เพื่อต่อต้านวิญญาณของเซียนหวังหลินออกคำสั่งให้เมฆสีแดงส่งอัสนีบาตสีแดงนับไม่ถ้วนเพื่อโจมตีวิญญาณของเซียนผู้นั้น
ยักษ์ตนนั้นเผยใบหน้าเจ็บปวดทรมานและร่างกายหดลีบลง หวังหลินรีบสะบัดมือและสายฟ้าสีแดงถูกแบ่งครึ่งออกจากกัน
ไม่นานหลังจากนั้นก้อนเมฆสีแดงยิ่งทวีอัสนีบาตมากขึ้นและพุ่งเข้าหายักษ์อีกครั้งร่างกายยักษ์ตนนั้นเริ่มเล็กลงและเล็กลงเรื่อยๆแต่หมัดของกลายเป็นทวีความร้ายแรงมากขึ้น ทุกครั้งที่มันชกออกมาอัสนีบาตสีแดงจำนวนมากถูกทำลายลง
ด้วยระดับฝึกตนของหวังหลิน เขาแทบจะไม่สามารถจัดการกับเซียนขั้นแกนลมปราณระดับต้นได้ หากเป็นขั้นแกนลมปราณเทียมมันคงง่ายต่อเขามาก
แต่หวังหลินไม่ใช่คนประมาททำไมเขาถึงต้องต่อสู้หากมีโอกาสชนะอันน้อยนิด? ขณะที่การต่อสู้ถึงจุดสูงสุดปิศาจได้รับคำสั่งจากหวังหลินและโจมตีอย่างไม่เต็มใจ
ยักษ์ตนนั้นตื่นตระหนก มันโจมตีปิศาจทันทีและปิศาจแตกเป็นเสี่ยงๆเจ้ายักษ์ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่ใบหน้าจะตื่นตกใจอีกครั้งมันเห็นปิศาจปรากฎขึ้นอีกครั้งบนมือตัวเองปิศาจเริ่มกัดเข้าไปคำใหญ่ที่วิญญาณมัน
ไม่ว่าเจ้ายักษ์นั้นจะเหวี่ยงแขนตัวเองไปรอบๆแค่ไหนเจ้าปิศาจเกาะติดหนึบบนร่างมันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายในที่สุดเจ้ายักษ์ก็ยอมแพ้ที่จะต่อสู้กับอัสนีบาตสีแดงและใช้แขนอีกข้างทุบบนปิศาจอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ปิศาจโดนโจมตีใส่จะทำให้ร่างมันสลัวลงเล็กน้อยแต่ปิศาจก็ไม่ออกไปไหน มันเริ่มจะกลืนกินเร็วมากขึ้น
ความจริงก็คือเจ้าปิศาจนั้นอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหากมันออกไปตอนนี้หวังหลินคงสังหารมันแน่ๆ หากมันออกไปมันตายแต่หากมันทนอยู่ต่อไปยังมีโอกาสที่จะรอดีวิตหากมันกลืนกินเซียนขั้นแกนลมปราณคนนี้ก็จะมีโอกาสเพิ่มพลังอำนาจเพียงพอที่จะต่อกรหวังหลินเมื่อมันจัดการหวังหลินได้ มันจะได้รับอิสระตามต้องการ
ด้วยความคิดนี้ ปิศาจจึงหนักแน่นและเริ่มกลืนกินได้เร็วขึ้น พูดได้ว่าเจ้าปิศาจตั้งสมาธิทั้งหมดไปที่แรงการกัดกินเท่านั้น
เจ้ายักษ์เริ่มอ่อนแรง แรงกระแทกของมันอ่อนแอลงและอ่อนแอลงร่างยักษ์หดตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นวิญญาณสีทองขนาดเล็กที่ถูกปิศาจกลืนกิน
เจ้าปิศาจเผยใบหน้าปิติยินดีขณะที่มันพยายามกลืนวิญญาณนี้อย่างรวดเร็วแต่เมฆสีแดงล้อมรอบปิศาจในทันทีเจ้าปิศาจร้องคำรามอย่างผิดหวังขณะที่มันปล่อยวิญญาณของเซียนขั้นแกนลมปราณออกมาอย่างช้าๆ
หลังจากได้ผ่านร่างของเจ้าปิศาจ จิตสำนึกของวิญญาณนั้นได้ถูกลบล้างออกไปมันได้กลายเป็นสัมผัสวิญญาณโดยไร้เจ้าของหวังหลินควบคุมขอบเขตจวี่เพื่อออกจากจิตสำนึกที่กำลังล่มสลายและดึงกลับเข้าร่างตัวเอง
ทันใดนั้นหวังหลินลืมตาขึ้นและยิ้มอย่างเย็นชาสัมผัสวิญญาณของเซียนขั้นแกนลมปราณกำลังลอยอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขากำลังถูกขอบเขตจวี่ของเขากลืนกินอย่างช้าๆตะเกียงทองที่กำลังโจมตีหวังหลินได้สูญเสียแสงสว่างในตัวเองและหล่นลงกับพื้นหวังหลินเก็บสมบัติที่กำลังป้องกันตัวเองกลับไปเขาจับตะเกียงทองและหลังจากตรวจสอบมันก็เก็บกลับไป
จากนั้นเขาเดินไปข้างหน้าและหยุดที่มุมหนึ่งของค่ายกลเขาขุดเศษหินวิญญาณก้อนหนึ่งออกจากใต้ดินและทำลายมันไปควันสีม่วงกระจายหายไปเผยให้เห็นศพของเซียนขั้นแกนวิญญาณคนนั้น
หวังหลินเข้าไปยืนถัดจากซากศพ เขาชี้ไปที่คิ้วของซากศพและตะโกนขึ้น “จงออกมาหรือจะให้ข้าสังหารเจ้าตอนนี้ซะ!”
แสงสีแดงเส้นหนึ่งออกมาจากศีรษะของเซียนคนนั้นอย่างไม่เต็มใจและกลายเป็นรูปร่างของเจ้าปิศาจสายตาของมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังแต่ในไม่ช้าก็ถอนหายใจออกมาและกลับเข้าไปในกระบี่เหินในกระเป๋าหวังหลินอย่างเชื่อฟัง
หวังหลินจ้องไปที่ร่างเซียนคนนั้น ความคิดหนึ่งแว่บผ่านในใจเขาจากนั้นหยิบเอากระเป๋าของเขาและสะบัดมือร่างกายถูกไฟเผาและกลายเป็นเถ้าถ่านแต่ภายในเถ้าถ่านมีเงาระยิบระยับชิ้นหนึ่ง แกนทองคำแกนทองคำหดตัวอย่างรวดเร็วและสีเริ่มสลัวลง มันดูราวกับกำลังจะหายไป
หวังหลินจับไปที่แกนทองคำและวางมันเข้าไปในปากโดยไม่ลังเล จากนั้นก้าวถอยหลังและจมดิ่งลงผืนปฐพี
หวังหลินจมลงไปมากกว่าพันฟุตและนั่งลงขัดสมาธิ เขาเริ่มกำลังย่อยแกนพลังแกนพลังนั้นเหือดหายไปและพลังปราณพรั่งพรูออกมาจากร่างกายเขาทันที
พลังปราณนี้มีอำนาจรุนแรงเกินที่ร่างกายหวังหลินจะควบคุมไหวดังนั้นโลหิตจึงไหลออกจากปากและจมูกหวังหลินชี้ไปที่คิ้วตัวเองและลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าปรากฎออกมาเขาจับมันและหายตัวเข้าไปในมิติของลูกปัด
ภายในมิติฝืนลิขิตฟ้าหวังหลินลอยไปที่วิญญาณเซียนของซือถูหนานทันทีและเริ่มฝึกฝนเขาเริ่มมีโลหิตออกทั่วร่างกายและเส้นเลือดเริ่มมองเห็นผ่านเนื้อหนัง
ฝ่ามือหวังหลินสร้างเป็นผนึกอันหนึ่งเขาตั้งท่าแปลกประหลาดที่มือหนึ่งอยู่บนหน้าผากและอีกมือหนึ่งบนหน้าท้องท่านี้เป็นวงจรอันสมบูรณ์แบบ
พลังปราณจำนวนมากไหลผ่านร่างกายเขาอย่างรวดเร็วและการหมุนวนเป็นวงกลมแต่ละครั้งได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเขา
สองเดือนผ่านไปภายในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ทันใดนั้นหวังหลินลืมตาขึ้นทว่าดวงตาเขาสลัวราวกับเมฆและมันใช้เวลาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสดใสอีกครั้ง
“หินหยกจากสำนักมารปิศาจได้เล่าว่าเซียนสามารถยกระดับการฝึกฝนตัวเองโดยการกลืนกินแกนพลังได้นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง ตราบใดที่ข้าปฏิบัติตามผนึกและคำร่ายในหินหยกแย่นักหากข้าใช้วิธีฝึกเซียนเช่นเดียวกับพวกเขาจะดูดซับได้มากกว่ายี่สิบในร้อยส่วนของแกนพลังปราณตอนนี้ข้าเพียงดูดซับได้สิบส่วนเท่านั้น”
หวังหลินยืนขึ้นและตรวจสอบระดับฝึกตนของตัวเอง เขาลอบคิด ’ข้าเพียงดูดซับแกนพลังปราณแค่สิบส่วนแต่มันช่วยให้ข้าทะลวงผ่านขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางไปสู่จุดสูงสุดของขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายเท่าเทียมกับขั้นแกนลมปราณเทียมแล้ว’
สองเดือนในมิติฝืนลิขิตฟ้ามันราวๆสิบวันภายนอกเท่านั้นเมื่อหวังหลินออกมาจากลูกปัด เขาเคลื่อนร่างออกไปด้วยวิชาหลบหนีปฐพีทันทีตอนนี้มันเป็นเวลายามดึกแล้ว
หวังหลินมาถึงจุดที่เกิดการต่อสู้ มีศพวางไว้อย่างสละสลวยและเส้นพลังปราณได้ถูกดึงออกจากพื้นโดยใครบางคน ทิ้งไว้เป็นรอยเหวลึก
หลังจากตรวจสอบเล็กน้อย เขารีบมุ่งหน้าไปที่ภูเขาที่สมาพันธ์ฮัวเฝินอยู่เมื่อมาถึงตีนเขา เขาออกมาจากพื้นและกระโดดขึ้นกระบี่ของตัวเอง
มีเซียนจำนวนมากลาดตระเวนทั้งพื้นที่แห่งนี้เมื่อพวกเขาเห็นหยกหวังหลินที่ใช้บันทึกจำนวนการสังหารของเขาไม่มีใครหยุดเขาเลย หวังหลินมุ่งตรงไปหนึ่งในสิ่งก่อสร้างข้างยอดเขาซึ่งเป็นสถานที่ที่เฟิ่งหลวนเรียกเขาครั้งสุดท้าย
มีสตรีสองคนขั้นแกนพลังปราณกำลังฝึกฝนอยู่ภายนอกพวกเขาลืมตาขึ้นขณะที่มีคนเดินเข้าไปหาแต่เมื่อสังเกตได้ว่านั่นเป็นหวังหลิน พวกเขาหลับตาลงอีกครั้งหวังหลินยืนอยู่ข้างนอกสิ่งก่อสร้างและกล่าวเสียงดัง “ศิษย์มาทักทายท่านอาจารย์”
“เข้ามาข้างใน” น้ำเสียงเฟิ่งหลวนดังออกมาอย่างอ่อนโยนภายในสิ่งก่อสร้าง
หวังหลินเดินเข้าไปโดยไม่พูดจาและเห็นเฟิ่งหลวนนั่งบนเก้าอี้หินมีอีกคนหนึ่งอยู่ข้างเธอ หยางเสินเขาพยักหน้าให้หวังหลินก่อนละสายตากลับไปข้างนอกและขมวดคิ้วขึ้น
ใบหน้าเฟิ่งหลวนดูเหนื่อยอ่อนขณะที่เธอมองไปที่หวังหลินและถามขึ้น “มีอะไร?”
หวังหลินไม่ได้พูด เขาเพียงโยนหินหยกออกมา เฟิ่งหลวนจดจ้องเธอยังไม่ได้ตรวจสอบหยก เพียงหลังจากสัมผัสวิญญาณของเธอเข้าไปในหินหยกใบหน้าเธอก็กลายเป็นประหลาดใจ
หยางเสินหยิบหยกจากเฟิ่งหลวนและตรวสอบมันด้วยสัมผัสวิญญาณของเขาใบหน้าเขาสดใสขึ้นพลางยิ้มขึ้นทันที “ไม่เลวเจ้าสังหารเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณจำนวน 61 คนและเซียนขั้นแกนลมปราณหนึ่งคนหากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป เมื่อนั้นเจ้าจะมีโอกาสได้รับเม็ดยาเส้นทางสวรรค์แต่ข้าอยากรู้นัก ก่อนนี้เจ้าเพียงอยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางเจ้าทะลวงถึงด่านแกนลมปราณเทียมรวดเร็วแบบนี้ได้เช่นไร? และกระทั่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสังหารเซียนขั้นแกนลมปราณได้หนึ่งคนเจ้าทำมันได้เช่นไรกัน?” เมื่อใกล้จบ น้ำเสียงเขากลายเป็นรุนแรงมากขึ้น
หวังหลินคาดไว้แล้วว่าจะมีคำถามเช่นนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมาที่นี่ใบหน้าเขาสงบนิ่งขณะที่พูดอย่างนิ่งเฉย “เซียนขั้นแกนลมปราณคนนั้นได้รับบาดเจ็บหนักสาหัสโดยคนอื่นๆก่อนที่กำลังจะหนีข้าเพียงโชคดีจับเขาได้และได้แกนพลังปราณมาจากนั้นข้าก็ใช้วิชาของสำนักมารปิศาจเพื่อกลืนกินแกนของเขาให้ทะลวงสู่ขั้นแกนพลังปราณเทียม”
“วิชากลืนกิน…” ดวงตาหยางเสินทะลวงผ่านร่างหวังหลินเขาสังเกตเห็นร่องรอยของแกนพลังปราณข้างในตัวเขานี่ทำให้เขาเชื่อเรื่องราวของหวังหลินและหลงเหลือแต่เพียงความเงียบ
เฟิ่งหลวนมองหวังหลินอย่างมีเลศนัย จากนั้นโยนหินหยกกลับไปให้เขาเธอกล่าวขึ้น “นี่เป็นแผนที่ส่วนที่สองข้านับเซียนขั้นแกนลมปราณเท่ากับเซียนขั้นพื้นฐานลมปราจำนวนสิบคนหากเจ้าสังหารเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณได้ร้อยห้าสิบตนเมื่อนั้นให้เจ้ามาหาข้าเพื่อรับส่วนที่สาม”
หวังหลินพยักหน้าเขาตรวจสอบหยกด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่ามันเป็นแผนที่จริงๆหากเขารวมแผนที่สองแผ่นเข้าด้วยกันมันทำให้เขาเข้าใจพื้นที่รอบๆแคว้นฮัวเฝินอย่างแจ่มชัด
ฮัวเฝินมีอาณาเขตติดต่อกับทะเลปิศาจจากแผนที่ไม่มีแคว้นจ้าวอยู่รอบๆฮัวเฝิน จากคำอธิบายบนแผนที่มีอีกทวีปหนึ่งในอีกด้านหนึ่งของทะเลปิศาจเขาเชื่อว่าแผนที่ส่วนที่สามจะเป็นข้อมูลบางส่วนของอีกทวีปนั้น
ทั้งยังมีรายละเอียดของทะเลปิศาจเช่นกัน แต่หวังหลินไม่ได้ใส่ใจมันมากนักขณะที่เขาถอนสัมผัสวิญญาณออกมา
หยางเสินมองหวังหลินในทางที่ดีและพูดขึ้น “เหล่าเซียนของซวนหวู่มีการรวมตัวกันในการต่อสู้ครั้งใหญ่หากเจ้าต้องการยอดเพิ่มขึ้น นี่เป็นโอกาสดีที่สุดของเจ้า”
หวังหลินกำลังจะพูดออกมาทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องหนึ่งออกมาจากข้างนอก หยางเสินและเฟิ่งหลวนหายตัวไปทันทีพร้อมกับพวกเขาพุ่งออกไป
หวังหลินรีบเดินออกมาและเห็นเซียนขั้นวิญญาณแรกเริ่มคนนั้นมีบาดแผลเต็มตัวพลังปราณรั่วไหลออกทุกหนแห่ง เซียนคนนั้นพูดขึ้น “เหล่าสหายเซียนค่ายกลผนึกแคว้นถูกทำลาย…อสูรอัคคีกำลังมาที่นี่..”