1457. หายไปหนึ่ง?
ขณะที่หวังหลินทำแท่นให้เป็นระดับห้าได้สำเร็จ ด้านแผนที่ส่วนที่หกนั้น เมฆหมอกไม่ได้หนาแน่นแต่ก็มีรอยแยกอวกาศมากมาย หากระมัดระวังน้อยไปอาจถูกพวกมันฉีกกระชากได้
ที่นี่มีแท่นหินขนาดหกหมื่นฟุตที่มีหัวกะโหลกกระจัดกระจายอยู่รอบๆ แม้จะดู ยุ่งเหยิงแต่มันกลับสร้างเป็นค่ายกลกะโหลก!
ในกลางแท่นหินมีชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ เนื้อตัวชุ่มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต
ชายชราสวมชุดสีดำ เรือนผมครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว ใบหน้าสับเปลี่ยนไปมาระหว่างแก่ชราและชายหนุ่ม กลางหน้าผากเป็นอักขระรูปดวงจันทร์แต่มันไม่ใช่ของ เผ่าจันทรา มันแทบดูเหมือนผนึกมารมากกว่า!
หากร่างอวตารของปรมาจารย์เต๋าเมียวหยินอยู่ที่นี่ เขาคงตกตะลึงและระมัดระวังอย่างยิ่ง คนผู้นี้คือหนึ่งในห้าปรมาจารย์ที่บาดเจ็บสาหัสในดินแดน ตกสวรรค์จากก่อนหน้านี้ เขาคือจอมมารเก้าสวรรค์
จอมมารเก้าสวรรค์พลันลืมตาขึ้นมา ดวงตากะพริบสับเปลี่ยนระหว่างสีดำและสีขาว
“คนที่หก…” น้ำเสียงเขาแหบพร่า ฟังดูราวกับกระบี่สองเล่มเฉือนกันเอง
ในแผนที่แห่งที่สี่ สายหมอกพรั่งพรูออกมาเกิดเสียงราวกับเหล่าภูตผีกำลังโหยหวนอยู่ข้างใน เสียงโหยหวนนี้สั่นสะเทือนจิตใจผู้คนและเต็มไปทั่วบริเวณ ที่นี่ไม่มีเซียนมากนัก ขณะที่สายหมอกสั่นสะเทือน มีแท่นขนาดห้าหมื่นฟุตกำลังทะยานไปข้างหน้า
บนแท่นหินเป็นชายร่างกำยำ ร่างกายท่อนบนเปล่งสัมผัสแห่งพลังอำนาจ ดูราวกับมีเงาหมาป่าตัวยักษ์ร้องคำรามอยู่ข้างหลัง
แท่นหินนี้ถูกชะโลมด้วยโลหิตแห้งๆ บนร่างเขามีรอยแผลหลายแห่ง เขาเป็นเซียนขั้นที่สามจากเผ่าหมาป่าสวรรค์ที่มาที่นี่ด้วยขณะไล่ตามหวังหลิน!
ขณะที่แท่นหินทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางเขาจึงเคร่งเครียด ทว่าดวงตาพลันส่องสว่างและใช้แขนขวาสร้างผนึกกดลงบนแท่นหิน เสียงดังสนั่นกึกก้องในจิตใจ
ครู่ต่อมาสีหน้าท่าทางยิ่งมืดมน
‘มีแท่นระดับห้าปรากฏขึ้นอีกแห่ง! ข้าอยากรู้จริงๆว่ามันเป็นเซียนขั้นที่สามคนไหน…’
ลึกเข้าไปภายในทะเลหมอก มีแท่นหินปิดผนึกลอยอยู่มากมาย เหนือพวกมันมีแท่นขนาดห้าหมื่นฟุตกำลังทะยานผ่านสายหมอกอย่างรวดเร็ว
บนแท่นหินมีสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางสวมชุดสีขาว เส้นผมยาวสีดำพลิ้วไสวไปตามสายลม แต่สีหน้านางไม่แยแสสิ่งใด
ขณะที่ทะยานไปข้างหน้า นางขมวดคิ้ว ท่าทีเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบชั่วครู่
‘เขาเป็นใคร…หรือว่าจะเป็นเมียวหยิน…’ นางขบคิดชั่วขณะก่อนจะทะยานไปข้างหน้าต่อไป
กระทั่งลึกเข้าไปในสุสานโบราณ ลึกมากกว่าทุกคนมีพื้นที่แห่งหนึ่งที่ไม่มีสายหมอก ที่นี่มีเพียงอากาศไหลเวียนซึ่งสามารถทำให้ทุกอย่างฉีกขาดได้
เสียงคำรามกึกก้องพร้อมกับร่างสูงหลายร้อยฟุตตนหนึ่งก้าวออกมา เขาไม่ได้เร็วนักและมีอากาศไหลเวียนเข้ากระหน่ำใส่ร่างอย่างต่อเนื่อง สร้างรอยบาดแผลและทำให้เขาร้องคำรามโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
ด้านหลังเขาเป็นแท่นหินขนาดมากกว่าหมื่นฟุต มีสตรีชุดชมพูนั่งอยู่บนแท่น นางมีเสน่ห์น่าหลงใหลและสามารถทำให้ทุกคนจิตใจปั่นป่วน
“พี่ใหญ่ต้าเสินรวดเร็วยิ่ง น้องจะเข้าไปในส่วนลึกของสุสานได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ พี่ใหญ่นะ” สตรีชุดชมพูเผยอปากและยิ้มออกมา ดวงตางดงามเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และมีน้ำเสียงน่าหลงใหล เมื่อน้ำเสียงของนางเข้าสู่โสตประสาท จะทำให้หัวใจเกิดความรู้สึกจั๊กจี้
“หุบปากไปเลยนางแม่มด!! เจ้ามันน่าเบื่อ หากเจ้าทำตัวหนวกหู ข้าจะ…”
ก่อนที่ต้าเสินจะกล่าวจบ เสียงหัวเราะของนางดังลั่นอีกครั้ง แม้แต่ร่างก็เริ่มสั่นเทาไปกับเสียงหัวเราะราวกับนางคือดอกไม้
“ข้าชอบความป่าเถื่อนของท่านนะ…เราหยุดก่อนไหมและท่านระบายความโกรธมาลงที่ข้าเถอะ…ตกลงหรือไม่…”
เส้นโลหิตบนใบหน้าต้าเสินปูดโปน เขาร้องคำรามและไม่สนใจนางอีก พลางก้าวเดินไปข้างหน้า
ทั้งสองค่อยๆหายวับเข้าไปไกล มีเพียงเสียงหัวเราะชวนเคลิบเคลิ้มดังลั่น
ในแผนที่ส่วนที่ห้า หวังหลินกำลังขบคิด เขากำลังถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากแท่น ทว่าได้ยินเสียงเก่าแก่เริ่มดังสนั่นอยู่ในใจ
“การได้สุสานระดับห้ามานั่นหมายความว่าเจ้าสามารถเปิดประตูก่อกำเนิดและกลายเป็นคนที่สามารถสืบทอดมรดกของข้าได้…ระดับเก้าคือระดับสุดท้าย หากเป็นคนที่มาจากเผ่าพันธุ์ข้าจะสามารถเข้าสู่ประตูก่อกำเนิดและพบเจอมรดกของข้า หากไม่ใช่เผ่าพันธุ์ข้าก็จะเข้าสู่ตำหนักปฐพีของข้า…ข้าผู้นี้…เย่โม่”
น้ำเสียงดังกึกก้องในใจหวังหลิน เมื่อเขาหายไป ความคิดหวังหลินจึงกลายเป็นหนึ่งกับสุสานโบราณ นอกจากนี้เขาสามารถสัมผัสกลิ่นอายเบาบางอีกสี่แห่งได้!
‘บัญชาโบราณ เย่โม่…’ ความคิดหวังหลินสั่นคลอน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้ยินชื่อนี้ ครั้งแรกมาจากวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรก! เขาจำชื่อนี้ไว้ได้จากวิหครุ่นแรก
“ข้าไม่รู้เรื่องการบ่มเพาะของเทพโบราณมากนัก แต่ในช่วงชีวิตของข้า พลังอำนาจของเหล่าเทพโบราณนั้นสั่นสะเทือนสวรรค์ ตอนนั้นถึงแม้เย่โม่แห่ง บัญชาโบราณจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าราชันย์สวรรค์โบราณ ท่านราชันย์ก็ยังหวาดกลัวเขา…”
หวังหลินขบคิดอยู่นาน จากนั้นดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า
ด้วยไหวพริบของหวังหลินจึงรู้ว่าสี่กลิ่นอายนี้คือเหล่าแท่นระดับห้าหรือสูงกว่าเช่นเดียวกับเขา
“ข้าสามารถสัมผัสตัวตนของแต่ละคนได้หลังจากได้รับแท่นระดับห้า ดังนั้นอีกฝ่ายก็สัมผัสได้เช่นกัน…”
“สุสานบัญชาโบราณแห่งนี้ประหลาดยิ่ง ตำหนักปฐพีที่เสียงกล่าวถึงนั้นคือที่ไหน…”
หลังขบคิดเล็กน้อย หวังหลินดวงตาส่องสว่างและระงับความปั่นป่วนจากน้ำเสียงนั้น เขามองดูแท่นด้านล่าง ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าในสุสานบัญชาโบราณ เหล่าแท่นหินคือหัวใจสำคัญ!
‘ตามที่เสียงกล่าวมา ข้าต้องทำให้แท่นหินบรรลุระดับเก้าก่อนคนอื่นๆ…’ หวังหลินมองเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอก ตามแผนที่แล้วตรงนั้นคือตำแหน่งที่ป่าลึกลับตั้งอยู่
‘ทันหลางค้นพบใบไม้โบราณและรูปปั้นที่นั่น เขายังบอกว่าหลังจากสัมผัสรูปปั้นก็เกิดวังวน พอเข้าวังวนไปก็ออกไปจากสุสานและปรากฏตัวในดินแดนชั้นนอก! ข้าสงสัยว่ายังมีวังวนอยู่ที่นั่นหรือไม่…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าต้องไปเยี่ยมป่านั่นดูสักครั้ง!’
หลังจากคิดขึ้นในใจ หวังหลินควบคุมแท่นหินให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เขาพยายามฟื้นพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
หวังหลินแพร่กระจายกลิ่นอายออกมาด้วยและทำให้อสูรร่างมนุษย์จำนวนมากโผล่ออกมาจากสายหมอก เมื่อพวกมันเข้าใกล้ แสงโลหิตกะพริบวาบและพวกมันตายไปอย่างโหยหวน พลังชีวิตเข้าสู่ร่างหวังหลินทำให้อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว
หวังหลินสังหารต่อไปตามทาง หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงหวังหลินก็ทิ้งซากศพไว้จำนวนมากจนถูกสายหมอกกลืนกิน
หลังจากนั้นไม่นานแท่นหินก็ค่อยๆหยุดลง ด้านหน้าแท่นหินไม่มีหมอกแต่กลับเป็นแสงสีเหลืองรุนแรงยิ่งจนเกิดการบิดเบือน
หวังหลินลืมตาขึ้นมามองดูการบิดเบือนด้นหน้า ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปแต่เมื่อสัมผัสกับการบิดเบือนมันก็กระเด็นกลับมาด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้น แสงสีเหลืองกะพริบวูบวาบ ไม่นานนักภาพประทับใบไม้ก็ปรากฏขึ้นมา
ภาพประทับดูเหมือนกับใบไม้โบราณไม่มีผิด!
หวังหลินยื่นแขนขวาออกไปและปรากฏใบไม้โบราณ เขาโยนใบไม้ให้ลอยเข้าหาแสงสีเหลืองบิดเบือน ไม่นานมันก็ร่อนใส่เงาประทับ
เกิดเสียงดังลั่นและมีรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนราวกับมันกำลังพังทลาย สร้างเป็นช่องว่างขึ้นในพริบตา
หวังหลินเก็บแท่นหินไปโดยไม่ลังเลและเข้าไปในช่องว่าง หลังจากเขาหายไปช่องว่างก็ปิดและกลายเป็นอากาศบิดเบือนสีเหลืองอีกครั้ง
กลิ่นอายร่วงโรยพุ่งเข้าใส่หวังหลิน มันแฝงรสชาติแห่งความตายเอาไว้ด้วย หวังหลินปรากฏตัวขึ้นมาในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้แห้งเหี่ยว เป็นภาพที่น่าตกตะลึงยิ่ง
‘เป็นที่นี่เอง…’ หวังหลินกวาดสายตาผ่านไป ที่นี่เหมือนกันกับที่ทันหลางอธิบายไม่มีผิด หวังหลินพุ่งไปข้างหน้าเข้าหาใจกลางป่า
ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป แม้ด้วยความเร็วของหวังหลินยังต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะถึงใจกลางที่ไม่มีต้นไม้แห้งเหี่ยว!
เหนือพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้มีวังวนหนึ่งกำลังลอยอยู่ มันดูเหมือนนำทางไปสู่ดินแดนอีกแห่ง!
หวังหลินร่อนลงห่างจากวังวนในระยะพันฟุต เขามองบนพื้นดินด้านล่างวังวนและเห็นช่องเว้าออกมา ราวกับเคยมีรูปปั้นอยู่ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว…และตอไม้ ขนาดใหญ่ที่ไม่แห้งเหี่ยว
‘ใบไม้โบราณเป็นสมบัติที่ทรงพลังมาก ในเมื่อมันเกิดขึ้นที่นี่ มันต้องมีทางอื่นจะได้มันมาอีก!’ หวังหลินล่าถอยและมาถึงข้างๆต้นไม้แห้งเหี่ยวต้นหนึ่ง เขาวางแขนขวาลงไปและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าสู่ต้นไม้เพื่อตรวจสอบ
ทว่าขณะที่สัมผัสวิญญาณเข้าสู่ต้นไม้ หวังหลินจึงร้องอุทานออกมา รู้สึกว่าสัมผัสวิญญาณของเขาเข้าไปในต้นไม้และเข้าสู่พื้นดินด้านล่าง ทำให้เขาเห็นบางอย่างที่น่าตกตะลึง
หวังหลินรีบถอนแขนขวาออกมาและกระโจนขึ้นสู่อากาศ จากนั้นมองลงไป
รูปร่างของป่าขนาดใหญ่แห่งนี้คือรูปร่างของหัวกะโหลก!
‘เป็นแบบนี้เอง!’ สายตาหวังหลินแทงทะลุผ่านต้นไม้แห้งเหี่ยวเข้าไปและมองดูด้านล่าง ในแววตากะพริบเย็นเยียบพลางสะบัดแขนให้ปรากฏกระบี่โลหิต มันพุ่งเข้าสู่พื้นดินด้านล่าง!
ปราณกระบี่ร้องหวนพุ่งลงไป!
ตอนนี้ในสุดเขตของแผนที่แห่งที่สี่ ชายร่างกำยำแห่งเผ่าหมาป่าสวรรค์ได้ตามแผนที่มาและเข้าสู่แผนที่แห่งที่ห้า
เขามีสีหน้าท่าทางน่ารังเกียจและมีแววตาแห่งความโลภ หลังจากเข้าสู่แผนที่แห่งที่ห้า พลันสะบัดแขนและปรากฏใบไม้โบราณขึ้นในฝ่ามือ!!
‘ข้าใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อขโมยมาได้สองใบ แต่อีกใบกลับถูกหลิงตงชิงไป มันยังหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีก…ใบไม้นี้ดูธรรมดามาก หากข้าไม่เห็นว่ามันมีพลังคล้ายกับเผ่าทำลายผนึกตอนที่ข้าไล่ล่าไอ้เซียนน้อยบัดซบนั่นหละก็ ข้าคงไม่รู้ว่า มันสำคัญมาก!’
‘สุดเขตของแผนที่แห่งที่ห้ามีอักขระใบไม้อยู่ บางทีมันอาจจะมีอีก!’ ชายร่างกำยำ เลียริมฝีปากและควบคุมแท่นหินให้ทะยานไปข้างหน้า