152. เบิกเส้นทางโลหิต
ขณะที่หยดโลหิตสีทองลอยออกมาจากหน้าผากซางก้วนโม่พลางปล่อยแสงอันอ่อนโยน ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งขณะเดียวกันเขายื่นมืออกมาจับโลหิตหยดนั้น
ภายหลังตรวจสอบมัน หวังหลินกลืนลงคอโดยไม่ลังเล หยดโลหิตอยู่ภายในจิตสำนึกของเขาและล้อมรอบด้วยขอบเขตจวี่ ตอนนี้เพียงเขาแค่คิดก็สามารถสังหารซางก้วนโม่ได้ทันที
เช่นกัน หากหวังหลินตาย ซางก้วนโม่ก็ตายไปด้วย
จิตวิญญาณโลหิตเป็นเหมือนห้ามอย่างหนึ่ง แม้ว่าคนคนหนึ่งจะดูเหมือนมีจิตสำนึกอันแข็งแกร่ง แต่มันกลับบอบบางอย่างมาก เมื่อครอบครองจิตวิญญาณโลหิตหลายหยด มันอาจทำให้ผู้ครอบครองเข้าสู่ภาวะสับสนจนเกิดผลที่ตามมาอย่างไม่คาดคิด
ดังนั้นการเก็บจิตวิญญาณโลหิตของคนอื่นไว้เป็นเพียงเครื่องวัดชั่วคราวเท่านั้น และเหล่าเซียนหลายคนไม่ได้ชอบที่จะทำเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามหลายพันข้อในการทำเรื่องเช่นนี้
อีกด้านหนึ่งจิตวิญญาณโลหิตจะถูกแบ่งออกมาได้หากเซียนเต็มใจเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแม้ผู้ควบคุมจะมีวิชาแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจบังคับมันออกมาได้
ซางก้วนโม่ถูกบังคับให้จนมุม เขารู้ว่าหวังหลินไม่ยกโทษให้ง่ายๆและแทบจะไม่เหลือทางหนีทีรอดให้ เหตุผลที่เขาขอร้องให้ยอมรับเป็นศิษย์ก็เพื่อหาเหตุผลให้หวังหลินไว้ชีวิต
แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าหวังหลินทั้งไม่ได้ใส่ใจเขาเลย มีเพียงเขาที่ส่งจิตวิญญาณโลหิตออกมาเอง หลังจากเห็นหวังหลินรับจิตวิญญาณโลหิตของเขาไปในที่สุดจิตใจก็สงบลงเล็กน้อย
หวังหลินมองเขาอย่างเยือกเย็นก่อนจะหันกลับไปและพูดกับมู่หนาน “นำทางข้าต่อ”
หลังจากหวังหลินสังหารผู้อาวุโสของสำนักปิศาจรบคนแรก เขารู้ได้ว่าเขาต้องกวาดล้างพวกมันออกให้หมด หากเพียงสังหารศิษย์คนเดียวคงไม่เป็นปัญหา ทว่านับตั้งแต่ที่เขาสังหารผู้อาวุโส พวกมันต้องควานหาตัวเขาอยู่แน่ๆ หวังหลินไม่ได้เป็นเด็กที่อ่อนต่อโลกอีกต่อไป เขาเติบโตขึ้นแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากเขาสังหารเถิงลี่ทำให้หวังหลินคิดได้หลายอย่าง นับตั้งแต่ที่เขาสังหารไปหนึ่งคน เขาอาจจะต้องสังหารคนไปสิบคนด้วยเช่นกัน เมื่อสังหารไปสิบคน เขาอาจจะต้องกวาดล้างทั้งสำนัก
มีเพียงการกวาดล้างทั้งสำนักเท่านั้นจึงจะสามารถป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ด้วยความคิดนี้เขาจึงอุ้มลี่มู่หวานและเหาะเหินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันพลังงานแรงโน้มถ่วงก็สร้างเป็นมือขนาดใหญ่สองข้างจับมู่หนานและมู่เป่ยโยนไปข้างหน้าเช่นกัน
สองพี่น้องใบหน้าซีดเผือดแต่ไม่กล้าคร่ำครวญขณะที่ทั้งสองนำทางด้วยศีรษะที่ก้มลงต่ำ
ส่วนซางก้วนโม่เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากและรีบติดตามไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เขาสาปแช่งอย่างขมขื่นในใจแต่ไม่กล้าแสดงมันออกมาขณะที่กลัวว่าเจ้าอสูรร้ายตนนั้นจะคิดสังหารเขาอีกครั้ง
“มนต์แห่งความตาย…วิชาที่เขาใช้ต้องเป็นมนต์แห่งความตายแน่! การเชี่ยวชาญวิชาเซียนที่โหดร้ายเช่นนั้นมันไม่ง่ายเลย” ซางก้วนโม่ประเมินหวังหลินในใจขณะที่ลอบมองไปด้วย
ลี่มู่หวานรู้สึกอารมณ์ซับซ้อนอย่างมาก เธอไม่เคยคิดว่าหวังหลินจะบรรลุขั้นแกนลมปราณได้จริงๆ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่เขาพูดมาไม่เคยโกหก
“เผชิญหน้ากับเซียนขั้นต่ำกว่าแกนวิญญาณแรกกำเนิด เขาเป็นอมตะหรือไงกัน”
เธอรู้สึกราวกับตัวเองกำลังฝันเมื่อคิดเรื่องหลายปีที่ผ่านมาที่ใช้ชีวิตในทะเลปิศาจ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างจากชีวิตธรรมดาของเธอเมื่อก่อนอย่างมาก
ลี่มู่หวานคนก่อนเป็นเพียงเซียนคนหนึ่งที่ฝึกฝนวิชาปรุงยาเท่านั้น เมื่อไหร่ที่เธออกมา พี่ชายของเธอจะออกมาพร้อมกับเธอด้วย เมื่อมีพี่ชายอยู่รอบๆจะไม่มีอันตรายร้ายแรงเกิดขึ้นเลย
ด้วยพรสวรรค์ด้านการปรุงยาและค่ายกลของเธอ ลี่มู่หวานเป็นที่รักของเหล่าผู้อาวุโสและเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนในสำนัก มีคนหลายคนในรุ่นเดียวกันต่างไล่ตามเธอแต่กลับไม่มีใครสักคนที่กุมหัวใจเธอไว้ได้
ครั้งแรกที่เธอพบหวังหลิน ทั้งเธอและพี่ชายเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นซุนโย่วค่ายและเกิดเรื่องเข้าใจผิดกัน เมื่อคิดเรื่องนั้น หากครั้งก่อนทั้งคู่ต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ไม่เพียงแต่พี่ชายของเธอจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ด้วยความเข้าใจของเธอต่อหวังหลินในขณะนี้ เธอรู้ได้ว่าหากทั้งสองสู้กัน มีเพียงผลลัพธ์เดียวคือถูกหวังหลินสังหาร แม้แต่ความน่ารักของเธอก็คงไม่มีผลอะไรต่อหวังหลิน
“เขาเป็นคนไม่มีหัวใจ…” ลี่มู่หวานมองหวังหลินและถอนหายใจ หลังจากหลายปีที่ผ่านมานี้ เธอรู้ได้ว่าหวังหลินไม่ได้คิดร้ายกับเธอ นอกจากนั้นในสายตาเขา เธอเป็นเพียงเตาปรุงยาเท่านั้น
ลี่มู่หวานรู้สึกขมขื่นในใจ ความขมขื่นนี้รุนแรงขึ้นและรุนแรงขึ้นจนกระทั่งมันกระจายไปทั่วร่างกาย หวังหลินขมวดคิ้วขณะที่เขามองลี่มู่หวานและพูดอย่างเยือกเย็น “ไม่ต้องกังวล เมื่อข้าเสร็จเรื่องที่นี่ ข้าจะพาเจ้ากลับกองทัพฮัวเฝิน”
ใบหน้าลี่มู่หวานกลายเป็นซีดจางขณะที่เธอกัดริมฝีปากล่างและพยักหน้า
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ ไม่นานนักในที่สุดสองพี่น้องที่นำทางมาหยุดตัวลง ใบหน้าของทั้งคู่มัวหม่นและยุ่งเหยิงขณะที่เงาเซียนมากกว่าร้อยคนปรากฎจากสายหมอกด้านหน้า แต่ละคนจ้องไปที่คำขนาดใหญ่สีแดง ‘ลงโทษ’ เหนือศีรษะหวังหลิน ความโลภมากปรากฎขึ้นในแววตาแต่ในความโลภนั้นมีเสี้ยวของความหวาดกลัวซ่อนอยู่
หวังหลินมองกลุ่มเบื้องหน้าอย่างเยือกเย็นและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นำทางต่อไป หากใครกล้าขวางทางเรา ฆ่ามันซะ!”
ซางก้วนโม่ตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสของเขาและต้องทำให้อย่างดีที่สุด เขากระโดดออกมาและร่อนลงเบื้องหน้ามู่หนานและมู่เป่ยพลางยิ้มให้ “กลุ่มขยะเซียนพื้นฐานลมปราณจงฟังข้าให้ดี ใครก็ตามที่กล้าขวางเส้นทางของพวกเราจะต้องตาย!”
เมื่อพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไป เหล่าเซียนทั้งหมดเคลื่อนไหวออกเป็นทาง ไม่มีใครวางแผนจะทำอะไรในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาทั้งหมดเพียงต้องหารเห็นว่าคนแบบไหนที่กระตุ้นให้อาญาสิทธิ์สั่งตายทำงาน
ร่างสิบคนที่ถูกเอ็นมังกรจับไว้ด้านหลังหวังหลินทำให้ร่างแต่ละคนสั่นเทา แม้พวกเขาต้องการจะก่อเรื่องก็คงลังเลลังจากเห็นศพพวกนั้น
ทว่าข่าวของอาญาสิทธิ์สั่งตายร้อยวันหมื่นปิศาจได้กระจายเร็วมาก ในไม่ช้าทุกคนในรัศมีห้าล้านลี้รอบเมืองหนานต้าวรู้เรื่องนี้และเริ่มมาดูหวังหลินรอบๆมากขึ้น เหล่าเซียนค่อยๆปรากฎตัวเพิ่มขึ้นในท้องฟ้า
ระหว่างทางหวังหลินพบเจอเซียนพวกนี้ทุกที่นับตั้งแต่นั้น เนื่องจากเหล่าเซียนทั้งหมดปรากฎตัวขึ้นส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขา หวังหลินเริ่มใจร้อนหลังจากเห็นสายตาความโลภทั้งหมดพวกนั้นเขายิ่งอยากฆ่ามันทั้งหมด
มีเซียนจำนวนมากที่ติดตามพวกเขาด้านหลังด้วยเจตนาร้าย
จิตใจของมู่หนานและมู่เป่ยกลัวจนตัวสั่น ระหว่างทางพวกเขาพบคนที่ระดับฝึกตนสูงกว่าจำนวนมาก แม้กระทั่งเฒ่าชราที่ปกติไม่เคยแสดงอาการก็ติดตามด้านหลังพวกเขา
นี่ทำให้ทั้งคู่เริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้กระทั่งซางก้วนโม่เริ่มหงุดหงิด หากเดินทางต่อไปคงได้รับความสนใจจากเซียนนอกพื้นที่หนานต้าวแน่ๆ นอกจากนั้นมันคงยากที่จะบอกว่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอาจจะปรากฎตัวขึ้น
เขาเริ่มกังวลอย่างมากและลอบสงสัยว่าทำไมเจ้าอสูรร้ายถึงไม่เริ่มสังหารเสียที หากเป็นเขาคงเริ่มสังหารและใช้พลังอำนาจที่แท้จริงเพื่อข่มสถานการณ์นี้ ยิ่งมีคนรวมตัวมากขึ้นก็จะยิ่งซับซ้อน
เซียนนับไม่ถ้วนล้อมรอบพวกเขาทำให้ลี่มู่หวานรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่หลังจากมองหวังหลินเธอก็สงบใจลงมากบ้าง
สายตาหวังหลินเริ่มหนาวเย็นพร้อมกับในที่สุดเขาหยุดลงและมองเซียนรอบด้านด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้า น้ำเสียงเปล่งออกมาต่อเหล่าฝูงชนรอบด้าน “ใครก็ตามที่ยังอยู่ที่นี่หลังจากสามลมหายใจจะต้องตาย!”
จบคำพูดเขาหลบตาลง ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ เขาลืมตาพร้อมกับสายฟ้าแดง หวังหลินสลับจับลี่มู่หวานที่แขนเธอไปที่เอวของเธอแทน ไม่มีเวลาเพลิดเพลินกับความรู้สึกอ่อนนุ่ม ทันใดนั้นเขาพุ่งไปข้างหลัง
สัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่กระจายออกอย่างบ้าคลั่งและแสงสีทองพุ่งออกจากปาก มันหายตัวไปหลังจากกระพริบวูบวาบสองสามครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินเริ่มการสังหารจำนวนมากอย่างสนุกสนาน
การสังหารเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณในอาณาเขตของขอบเขตจวี่เป็นเรื่องง่ายราวกับบดขยี้มด หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนนับไม่ถ้วน เหล่าเซียนที่เหลือเริ่มหวาดกลัวและถอยหนีอย่างรวดเร็ว
แม้แต่เซียนส่วนใหญ่ที่ใช้พลังปราณทั้งหมดของตัวเองเพื่อหลบหนี แต่ก่อนที่จะหนีไปได้ไกลกลับมีแสงสีทองกระพริบวาบบนศีรษะและระเบิดออกทันที
ใบหน้าหวังหลินเยือกเย็นและโหดเหี้ยม สายตาอันเยือกเย็นของเขากวาดผ่านเซียนแต่ละคน พวกมันจะเลือดออกจากทวารทั้งเก้าและตายอย่างน่าสมเพช
ทุกครั้งที่ร่างหนึ่งร่วงหล่นจากท้องฟ้า เส้นเอ็นมังกรด้านหลังเขาจะแตกกิ่งก้านสาขาและนำร่างนั้นกลับมา
ความเร็วของหวังหลินไม่มีตกแต่กลับรวดเร็วมากขึ้น เป้าหมายหลักของเขาคือเซียนขั้นแกนลมปราณในขณะที่เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น
เพียงชั่วขณะเท่านั้นไม่มีเซียนคนไหนที่มีความโลภหลงเหลืออยู่ ความโลภถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว ด้วยการสังหารทุกครั้ง คำว่า “ลงโทษ” ยิ่งมีสีแดงเข้มขึ้นจนกระทั่งมันราวกับเปลวไฟอันแสงสว่างในความมืดมิด มันแดงราวกับโลหิต
นอกเหนือจากนั้น เหล่าเซียนทั้งหมดที่กำลังหนีต่างหวาดกลัวแสงสีทอง ทุกครั้งที่มันปรากฎขึ้นจะมีคนตายอย่างลึกลับ
เพียงหนึ่งชั่วโมงสั้นๆ เซียนส่วนใหญ่ที่กำลังหนีกลับถูกสังหารโดยกระบี่ผลึก และมีจำนวนคนนับไม่ถ้วนที่ตายโดยขอบเขตจวี่ของหวังหลิน
มีศพมากกว่าหนึ่งพันศพพันกันในเอ็นมังกรเบื้องหลังหวังหลิน เส้นเอ็นราวกับกรงแห่งความตายติดตามหวังหลินไป
ขณะเดียวกันในสายหมอกห่างไปนับห้าร้อยลี้ ร่างของเซียนมารจำนวนเจ็ดหรือแปดร่างยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครพูดแต่ความกลัวในสายตาพวกเขาทุกนาทียิ่งชัดเจนขึ้น