Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1591

Cover Renegade Immortal 1

1591. ตอนที่เจ้าไม่ตื่น

หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเขียวสว่างดูงดงามยิ่ง คันร่มราวกับก้านต้นไม้ แม้แต่ผืนร่มก็ดูเหมือนใบไม้ที่มีเส้นบางๆ เป็นลวดลายเหมือนเส้นใย รวมๆ แล้วดูประหลาดยิ่ง

ผิวพรรณของนางเป็นสีชมพูดูน่ารัก คิ้วเรียวงามจับจ้อง สายตาแพรวพราว นางเปล่งสัมผัสความน่ารักที่ดูแตกต่าง

ตอนนี้ม่านฝนแบ่งนางและหวังหลินออกจากกันโดยมีสายฝนตกลงในแม่น้ำให้สาดกระจายไปทุกที่ เวลาเดียวกันฟ้าดินดูเหมือนกลายเป็นหนึ่ง แม้แต่ภูเขาสีเขียวห่างออกไปก็ดูไม่แปลกแยกและเป็นส่วนหนึ่งของภาพเหตุการณ์นี้

ขณะที่หวังหลินมองดูสิ่งต่างๆ ทั้งหมด ใบหน้าจึงพลันเป็นสีแดง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาจากหมู่บ้านและไม่เคยเห็นหญิงสาวน่ารักเพียงนี้ เทียบกับสหายที่เล่นด้วยกันในหมู่บ้านกับหญิงสาวนางนี้ คงเป็นการเทียบคนธรรมดากับเซียน

เดิมทีนางมีท่าทีมืดมน แต่หลังจากเห็นหวังหลินจ้องนางเข้าจึงหน้าขึ้นสี นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ความคิดเปลี่ยนกระทันหันดุจสภาพอากาศ

“เฮ้เจ้าหนอนหนังสือ เจ้ามองพอแล้ว” นางยิ้มและเปล่งเสียงไพเราะเข้าไปในหูหวังหลิน

ใบหน้าหวังหลินซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายบัณฑิต จึงกลายเป็นสีแดงยิ่งขึ้นจนแม้แต่หูก็ยังแดงระเรื่อ เขารีบโค้งให้หญิงสาวบนเรือ

“ข้าเสียมารยาท หวังว่าแม่นางจะไม่ถือสา”

หญิงสาวหัวเราะดังลั่น นางกำลังจะเอ่ยขึ้นมาแต่กลับมีเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลดังออกมาจากในเรือ

“น้องหญิง!”

ขณะที่เสียงดังออกมา กระโจมมุมหนึ่งบนเรือถูกเปิดขึ้นให้เห็นร่างหญิงสาวบอบบาง เมื่อใบหน้าของนางเข้าไปในตาหวังหลิน สายฝนในโลกดูเหมือนหยุดชะงัก

ชุดราตรีสีม่วง ดวงตาเปล่งประกายดุจจันทรา ราวกับรูปลักษณ์ของนางทำให้โลกหมดสีสัน ราวกับรูปลักษณ์ของนางได้ดูดกลืนแสงทั้งหมดในโลกไปสิ้น ราวกับนางเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในโลกนี้ได้

นางงดงามมาก แต่ในแววตากลับแฝงความเศร้าสร้อยซึ่งดูเหมือนจะมีทั้งความเศร้า เหน็ดเหนื่อยและลังเล ใครที่เห็นสายตาคู่นี้คงรู้สึกสงสารจับใจ

นางมองสตรีชุดกระโปรงเขียวแฝงท่าทีรำคาญ

สตรีชุดกระโปรงเขียวยิ้มขึ้นและดึงสตรีชุดม่วงเข้ามา นางชี้หวังหลินและเอ่ยเสียงไพเพราะ

“พี่หญิง บัณฑิตคนนี้หยาบคายจริงๆ ตอนแรกเขาพูดจาไร้มารยาท จากนั้นก็จ้องข้า แต่เขาดูค่อนข้างซื่อและน่าสนใจ”

สตรีชุดม่วงยิ้มออกมา สายตามองตามฝนไปหาหวังหลินที่กำลังซ่อนตัวจาก สายฝนบนฝั่ง เมื่อนางเห็นเขาจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากมองอีกครั้ง แววตาเกิดความงุนงง

“ข้ารู้สึกเหมือน…ข้าเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่งมาก่อน…”

หวังหลินหน้าแดงขึ้นกว่าเดิมเมื่อโดนสตรีสองคนจ้องมอง เขากระแอมหลายครั้งและคำนับฝ่ามือโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขารีบหันตัวห่างไปมองภูเขา ก้อนเมฆสีดำทำให้จิตใจที่เต้นแรงกลับกลายเป็นสงบนิ่ง

‘หวังหลิน อาา หวังหลิน เจ้าอ่านหนังสือไปหลายเล่ม เจ้าไปมองหญิงสาวสองคนแบบนั้นได้อย่างไร? สงบนิ่งไว้ดีที่สุด เมื่อฝนหยุดตก ข้าควรจะเดินบนทางของข้าต่อไป’ หวังหลินสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไปและจึงค่อยสงบจิตใจ

สตรีชุดม่วงมองหวังหลินชั่วครู่และเอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่าน ข้ากลัวว่าฝนจะตกไปถึงพรุ่งนี้ ในเมื่อโชคชะตาทำให้เราเจอกัน ท่านมาหลบฝนบนเรือดีไหม? ท่าน้ำถัดไปมีที่ให้พักพิง”

แม้คำพูดของนางจะบางเบา แต่มันกลับทะลุสายฝนและแผ่กระจายออกไป

“นี่…” หวังหลินลังเลอยู่เล็กน้อยและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก้อนเมฆสีดำกำลังปกคลุมท้องฟ้า สายฝนดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดในอีกไม่นาน มันอาจจะกินเวลาทั้งคืน

“เราอนุญาตให้เจ้ามาหลบฝนบนเรือของเราถือว่ามีเจตนาที่ดี ใยเจ้ายังลังเลอีก? เจ้าคิดว่าเราจะกินเจ้าหรืออย่างไร?” สตรีชุดกระโปรงเขียวเห็นหวังหลินลังเลและจึงจ้องมองมา

“น้องหญิง” สตรีชุดม่วงอดไม่ได้ที่จะมองผู้เป็นน้อง

หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้า พลางหยิบกระเป๋าไม้ไผ่ขึ้นมา เดินถือร่มผ่านทางเดินเปียกแฉะไปหาเรือ

น้ำและดินผสมเข้าด้วยกัน ขณะที่เขาย่ำไปทำให้โคลนย้อมขึ้นมาถึงปลายกางเกง สายฝนทำให้พื้นดินลื่นขึ้นและชายฝั่งก็เอนเอียงเล็กน้อย ขณะที่เดินขึ้นไปบนเรือ หวังหลินไถลลื่นและกำลังจะตก

กลิ่นหอมละมุนเข้าไปในจมูกของเขา ร่างที่กำลังหล่นของหวังหลินถูกร่างบอบบางช่วยเหลือ ซึ่งเป็นสตรีชุดม่วง ฝ่าเท้าของนางเตะใส่พื้นเบาๆ และกระโจนเป็นวงโค้งสวยงามไปบนเรือพร้อมกับหวังหลิน

“ขอบคุณมาก แม่นาง” หวังหลินยืนอยู่บนเรือ ใบหน้าแดงเถือก

“ท่านไม่ต้องสุภาพก็ได้ นั่งเถิด” สตรีชุดม่วงลดมือและนั่งลงหัวเราะคิกคัก สตรีกระโปรงเขียวเก็บร่มไปและนั่งลงข้างๆ สตรีชุดม่วง เริ่มการสังเกตหวังหลิน

หัวใจหวังหลินเต้นรัว ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยลนลานขนาดนี้ หลังจากวางกระเป๋าไม้ไผ่ลงจึงนั่งตรงข้ามสตรีสองคน ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อจากความเขินอายแล้ว

“ท่านไม่ต้องประหม่า” พอสตรีชุดม่วงเห็นรูปลักษณ์ของหวังหลิน นางยิ้มพลางยกแขนขึ้นไปจุดตะเกียง

แสงไฟกะพริบและสว่างขึ้นไปในห้อง

ยิ่งสตรีชุดเขียวมองหวังหลินยิ่งพบว่าน่าสนใจ ทำให้หวังหลินรู้สึกเขินอายยิ่งกว่าเดิม

“ข้าเป็นบัณฑิตนามว่าหวังหลิน ข้ายินดีที่พบแม่นางทั้งสองคน ต้องขอบคุณที่อนุญาตให้พักอยู่บนเรือ” หวังหลินสูดหายใจลึกก่อนจะลุกขึ้นและคำนับฝ่ามือให้หญิงสาวทั้งสอง

เรือล่องไปบนแม่น้ำอย่างสบายๆ แม้ทั้งสามคนแค่หาที่หลบฝน ยังคงได้ยินเสียงสายฝนกระทบหลังคา เสียงสายฝนกระทบเรือและแม่น้ำค่อยๆ ผสานกันเป็นเสียง อันไพเราะ

ขณะที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม เรือค่อยๆ ซ่อนตัวอยู่ในสายฝน แสงอ่อนๆ โผล่ออกมาจากเรือและเปล่งความอบอุ่นที่มิอาจอธิบายได้ออกมาจากสายฝนอันหนาวเย็น

‘หวังหลิน…ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน…แม้แต่ชื่อเขาก็ยังรู้สึกคุ้นเคย…’ สตรีชุดม่วงมองดูหวังหลิน ความสงสัยจากก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“เอ๋? เจ้าชื่อหวังหลิน? ข้ารู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…” สตรีชุดเขียวมองหวังหลินอย่างละเอียดและขบคิด

นางคิดอยู่นานและในที่สุดก็เงยหน้ายิ้มให้หวังหลินและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะ “ประหลาด ข้าไม่คิดว่าข้าเคยเจอเจ้ามาก่อนและข้าไม่เคยได้ยินชื่อเจ้า…”

“ข้าชื่อฉีเฟย และนี่พี่หญิงโจว ส่วนชื่อนาง เจ้าควรจะถามเอาเอง” ฉีเฟยขยิบตาดูน่ารัก

“ข้าชื่อว่า โจวลี่” สตรีชุดม่วงเอ่ยบางเบา แววตายังคงสับสนโดยเฉพาะตอนที่ฉีเฟยรู้สึกว่าชื่อหวังหลินฟังดูคุ้นเคย นางแค่ไม่รู้ว่าทำไม

กาลเวลาผ่านไปช้าๆ ก้อนเมฆในท้องฟ้าลดน้อยลง ดวงจันทราผุดขึ้นเป็นบางครั้งแต่ก็โดนปกคลุมในเวลาไม่นานอีก

สายฝนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝนตกลงมาแทนที่เสียงทุกอย่าง สายลมพัดหวิวและชุ่มชื้น ทำให้แสงเทียนส่ายไปมา

หวังหลินรู้สึกหนาว แต่เห็นสตรีสองคนดูปกติราวกับไม่รับรู้ถึงลมหนาวเลย สายฝนรุนแรงและม่านด้านนอกเรือมืดสนิท

ขณะที่หวังหลินมองออกไป พลันเข้าสู่ภวังค์

ในกลางคืนมืดมิดและแม่น้ำเงียบสงัด ราวกับเรือลำนี้เป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ สตรีงดงามสองคนในเรือเปล่งสัมผัสความรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง

ร่างกายหวังหลินสัมผัสความหนาวเย็นในห้วงภวังค์ ทัศนวิสัยพร่ามัวและรู้สึกง่วงนอน แต่เขาอดทนมันไว้ ใช้แผ่นหลังพิงผนังและเอ่ยขึ้น “แม่นางทั้งสองพูดกันเองว่าเป็นน้องหญิงและพี่หญิง ทั้งแม่นางโจวยังกระโดดขึ้นบนเรือโดยพาข้าไปด้วย ท่านสองคนต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก่งกาจเป็นแน่”

“เราไม่ใช่คนจากโลกยุทธภพ เจ้าน่าสนใจจริงๆ เจ้าหนอนหนังสือ เราเป็นคนที่บ่มเพาะสู่เส้นทางแห่งเซียน เป็นเซียนจริงๆ…” เสียงเลือนลางดูห่างไกลออกไป หวังหลินยิ่งเริ่มง่วงนอน

เขารู้สึกราวกับมีคนพูดเรื่องสำนักเหิงยั่ว…

“ข้ากำลังฝันอีกแล้วใช่หรือไม่…” หวังหลินหลับตาและสลบไป

เรือสั่นไหวเล็กน้อยและเทียนไขสั่นไปด้วย ฉีเฟยมองแม่นางโจวด้วยสีหน้างุนงง

“พี่หญิง เขาเป็นแค่คนธรรมดา ทำไมท่านถึงใช้วิชาทำให้เขาหลับ?”

แม่นางโจวมองดูหวังหลินที่กำลังหลับ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าต้องเคยเจอเขามาก่อน! แต่ข้าจำไม่ได้ว่าที่ไหน แม้แต่เจ้าก็พูดว่าชื่อเขาฟังดูคุ้นๆ”

“หวังหลิน…หวังหลิน…” ฉีเฟยขมวดคิ้วและมีแววตางุนงงไปด้วย

ต่อมาแม่นางโจวส่ายศีรษะและถอนหายใจ “ช่างมันเถอะ อย่าคิดเรื่องนี้เลย บางทีเราคงเจอกันเมื่อชาติที่แล้ว…”

“ชาติที่แล้ว?” ฉีเฟยหัวเราะและมองดูท้องฟ้ามืดมิดด้านนอก

“พี่หญิงถึงเวลาแล้ว เราต้องไปพบหวังจัว ตอนนี้จ้าวสำนักสังเกตแสงสีทองทางทิศตะวันออกและคำนวณว่าอาจจะมีสมบัติเกิดขึ้นในอีกไม่นาน สำนักจำนวนมากอาจจะไปค้นหา แม้ระดับบ่มเพาะของเราไม่ได้สูงพอเข้าร่วมได้ มันก็ยังเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version